มาต่อกันเลยครับ

กับช่วงต่อของการเดินทาง ตะลุยภูสอยดาวคนเดียว ภาคนี้เป็นภาคจบ

ของการเดินทางครั้งนี้แล้วครับ

"การที่เราเดินทางคนเดียว ไม่ใช่ว่าเราเก่ง แต่เราแค่ต้องการเรียนรู้ขีดจำกัดของตัวเรา"

ภาคแรก : http://www.thetrippacker.com/th/review/location/8378

ภาคสอง : http://www.thetrippacker.com/th/review/location/8393

แฟนเพจ : ที่นั่น มันมีอะไร?

https://www.facebook.com/Therewithwhat

ทำไมต้องตั้งชื่อ ตอนสุดท้ายแบบนี้

เดี๋ยวๆ อย่าพึ่งเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่หมายถึงเอาปืนไปล่าช้างนะครับ

มันคือการล่า(ทาง)ช้างเผือก ผมหมายมั่นตั้งใจจะมาที่ภูนี้เพื่อจะเก็บภาพ แต่อุปสรรคมันเกิดขึ้นจนได้55

ไปติดตามต่อกันเลยครับ

ความเดิมตอนที่แล้ว

พระอาทิตย์ตกลงไปแล้ว พาตัวผมที่หนาวสั่นจากอากาศที่หนาว(โคตรๆ) ท้องก็เริ่มหิวแล้วเพราะใช้พลังมาทั้งวัน55 

กลับไปถึง ทางกลุ่มพี่เขาก็กางเต็นกันเสร็จหมดแล้ว ผมก็ไปช่วยพวกเขาทำกับข้าว ก่อไฟ ช่วยส่องไฟฉายให้ กลุ่มพี่ผู้หญิงก็ช่วยทำกับข้าวดูน่ารักดี ทางด้านพี่ผู้ชายก็ชวยจัดของ ดูเป็นภาพที่อบอุ่นดีจัง(อิจฉาพวกเขาจัง เทียบกับผมแล้วหัวเดียวกระเทียมลีบ55) กลุ่มพี่พี่ก็ใจดี้ดี แบ่งหมูกับผักกาดมาให้ แกบอกเอามาเยอะกินไม่หมด ขอบคุณแรงๆเลย555(เอ้ากราบบบ) มาม่ากากๆจะได้ไม่กากอีกต่อไป

ระหว่างนั้นพี่ผู้ชายคนหนึ่งก็เอาเบียร์มาให้ผมกิน(มารู้ทีหลังว่าเป็นรุ่นพี่ที่จบสถาบันเก่าเหมือนกันอีก) ซะหน่อยครับเพราะอากาศมันหนาวกินเบียร์หน่อยจะได้อุ่นๆ(อ้างไปงั้นแหละจริงก็อยากกิน55) มาม่าผมส่งกลิ่นหอมอบอวลมากเลยครับแฮะๆ ทางกลุ่มพี่ๆก็ชวนไปนั่งกินข้าวด้วย เพราะผมช่วยเขาทำ รออะไรล่ะฮะ ไปสิ กินคนเดียวมันไม่อบอุ่นกินหลายๆคนอบอุ่นกว่า อาหารเยอะมาก อิ่มครับๆ กินกันเลยทีเดียว ได้เห็นการแบ่ง(แย่ง)กันกิน55 หลังจากทีคุยสัพเพเหระ พึ่งได้รู้ กลุ่มพี่ๆ ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย เป็นเพื่อนของเพื่อนแล้วก็เพื่อนของเพื่อนแฟนแล้วก็แฟนของเพื่อน(สรุปพึ่งมารู้จักกันที่นี่เกือบทั้งหมด555) แปลกดี แต่ก็กวนตีนกันสนุกเฮฮาดี ผมก็กวนตีนเขาบ้างแต่ก็แรกใจอยู่(เพราะกินไปเยอะ55) 

มีเสียงกรี๊ดดด ออกมาจากกลุ่มเต้นต์นักท่องเทียว

"ส่งสัยมีคนเข้าเต็นต์ผิดว่ะ" ทั้งวงฮา

"มีนะมืงง เข้าเต็นผิดแต่เงียบก็มีนะ"

"เฮ้ย ออกมาทีได้น้องสอยดาวกันเลยทีเดียว" ผมนี่ขำก๊ากเลยครับ

"แล้วถ้าเป็นผู้ชายเข้าเต็นต์ผิดที่เป็นของผู้ชายอะ"

"แล้วถ้ามันเงียบอะมืงงง" วงสนทนาตกอยู่ในความเงียบเหมือนเล่าเรื่องสยองขวัญกันเลยที่เดียว . . .

ระหว่างที่นั่งคุยกัน ผมก็แหงนมองฟ้า เพื่อหา(ทาง)ช้างเผือก ดาวตกครับ! 

"เฮ้ยพี่ๆ ดาวตก"

"โหย ไม่เห็นมีเลยเลยวะ" ไม่ทันขาดคำ แสงสว่างเป็นเส้นตัดผ่านท้องฟ้าเป็นทางยาวสีขาวสว่าง ตกอีกแล้วครับ!!! ผมรู็สึกโชกดีมากที่ได้เห็นดาวตกอีกครั้ง

"มึงๆ มาอธิฐานกันๆ" ผมฟังแล้วก็กลับมาคิด ใครเป็นคนเริ่มต้นการขอพรเวลาเห็นดาวตกด้วยนะ แต่คำตอบคงไม่สำคัญ เพราะเวลานี้พรที่มีค่าที่สุดคือผมได้เห็นความสวยงามของดาวบนภูนี้ มันมีค่าที่สุดแล้ว ^^ ระว่างนั้นก็ขอตัวไปถ่ายรูปทางช้างเผือก แต่ก็ลองชวนพี่ๆไป แต่เหมือนกับยังคุยกันสนุกอยู่ ผมเลยเดินจากมาเพียงคนเดียว 

ผมโชกดีอย่างหนึ่ง ช่วงที่ผมาในปฏิทิน เป็นวัน แรม 4 ค่ำ ซื้งเป็นช่วงหลังจากออกพรรษา ผมก็หวั่นใจว่าถ้าพระจันทร์มาก็จบเลยทางช้างเผือกที่สวยงามจะโดนกลบด้วยแสงจากพระจันทร์ แต่แล้ว พระจันทร์แอบไปหลบที่ไหนไม่รู้ครับ 55 ดวงดาวเรียงตัวกันเป็นเส้นยาวพาดผ่านขอบฟ้า ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมยิ้มครับ ยิ้มในความมืดเหมือนคนโรคจิตร555 ฟินนนมากกกกกก!!!

เอาละงานก็เข้าครับ เพราะการเก็บภาพทางช้างเผือกจะต้องใช้ขาตังกล้องช่วยในการถ่ายซึ้ง พังไปเอาไงดีวะ โหมดปรึกษาตัวเอง(แม่งบ้าชัดๆ ใครเป็นเหมือนผมเวลาอยู่คนเดียวคงจะเข้าใจ55)

"เมื่อตอนพระอาทิตย์ตกเคยลองถามขอยืมขาตั้งกล้องขาวบ้านมานี่หว่า"

"แต่ดั้นนน ลืมถวามว่าเต็นต์อยู่ที่ไหน 555"

"กะไปเดินส่องไฟฉายหาทุกเต็นต์ก็ไม่ดีเดี๋ยวเขาอวยพรให้"  

"จะใช้ความหน้าด้านบุกไปขอยื่มคนที่ไม่ได้ใช้ที่เต็นต์ ก็เดี๋ยวเจอแจกตีน"

เมื่อคิดอะไรไม่ออก ก็วางบนกระเป๋า เอาละกัน ลองดู มันจะดีมั้ยวะ

ผลที่ได้

ฮึ่มมมมมมมม ผลที่ได้มันสุดๆครับ เอาล่ะถึงเวลาเล่นกล้องกันละ

ลองเอาไฟฉายส่องดู

ถ่ายรูปคนอื่นมาเยอะ ถ่ายรูปตัวเองบ้าง ^^ ผมมานั่งมองดวงดาวบนฝากฟ้า ตัวเรามังช่างเล็กนิดเดียวถ้าเทียบกับความยิ่งใหญ่ของจักรวาล ปัญหาที่เราเจอไม่ว่ามันจะใหญ่แค่ไหน มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องนิดเดียว "เพราะตัวของเราไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล" ระหว่างที่ผมถ่ายรูป ผมก็นั่งเหม่อมองบนท้องฟ้าไป แต่ใจผมกลับไปคิดถึงเรื่องอื่นแทน "บางที่การที่เรามองท้องฟ้า เราไม่ได้มองมันจริงๆ แต่เรามองความทรงจำผ่านท้องฟ้า" 

ช่วงเวลานั้นผมอยู่คนเดียว ท่ามกลางแสงดาวและลมหนาว ถามว่าตอนนั้น ผมเหงามั้ย 

"เหงาครับ แต่เพราะความเหงาถึงทำให้เราอยู่กับตัวเอง ทำให้ได้คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา อะไรที่เราต้องการจริงๆ ทบทวนความทรงจำ ทั้งที่มีความสุขและทุกข์"

ลมพัดเมฆมมาแล้วครับ บังทางช้างเผือกหมด

ได้เวลากลับไปนอนเต็นต์แล้วครับ เพราะกะว่าเช้าจะมาดูพรอาทิตย์ตกดิน ^^

กลับมาที่เต็นต์ กลุ่มนั้นทะยอยกลับเขาเต็นไปนอนแล้ว แต่ยังมีกลุ่มพี่ผู้ชายนั่งผิงไฟอยู่ ก็เข้าไปนั่งผิงไฟกะเขาก่อนไปนอนซะหน่อย ระหว่างผิงไฟก็จิบเบียร์ไป นั่งพูดคุยแลกเปลียนกันระหว่างคนแปลกหน้า บางที่กำแพงระหว่างผู้คนคือความกลัวใช่รึเปล่า? อากาศหนาวมากแล้ว ลมก็พดมาเอื่อยๆ ในที่สุดพระจันทร์ก็ออกมาจากกลุ่มเมฆ สว่างไสว บดบังแสงดาว นับล้านด้วง เหมือนจะบอกว่า"ฉันเป็นตัวจริงนะยะ ดาวดวงอืนหลบไป 55" (คิดได้เนอะ)

"ดึกแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะครับพี่" ซดเบียร์กระป๋องสุดท้าย แล้วก็เข้าไปซุกตัวในถุงนอนอุ่นๆ หากมีคนมาลำบากกะเรา นอนหนาวไปด้วยกันก็คงจะดีนะ คงจะอุ่นหน้าดู แล้วก็หลับไป . . .

ตี 2 !! ผมสะดุ้งตื่น ฝนตกครับบบบบบ!! เฮ้ยยย ฝนมันจะตกได้ยังไงวะ เช็กสภาพอากาศก่อนมา กรมอุตุก็บอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีฝน ดันมาตกวันที่ขึ้นไปซะงั้น 555 ตีลีตาเหลือกออกไปเก็บรองเท้ากับเสื้อผ้าที่ตากไว้ โชกดีเพราะฝนกำลังตกเลยไม่เปียกมาก กลับเข้าเต็นต์ได้ ผ่านไป 5 นาที ฝนหยุด!! เฮ้ย สวรรค์แกล้งรึเปล่าวะเนี่ย นี่มันฝนไล่หมาชัดๆ55 ช่างมัน ซุกตัวในถุงนอนต่อ ช่วงที่กำลังจะหลับ เสียงของลมพัดมาครับ ไม่ใช่เบาๆนะครับ คือแรงมากกกก เสียงเหมือนพายุพัดเลย หล่อนสิครับ อากาศว่าหนาวแล้ว หนาวลงไปอีก 55 ทะลุถุงนอนกันเลยทีเดียว แล้วเรื่องที่จะไปดูพระอาทิตย์ลืมไปได้เลย เพราะเมฆมาหนามาก ไม่เห็นดาวเลย ล่มครับล่มแล้ว แสงแรกของพรุ่งนี้ 555

ตื่นมาตอนเช้าเพราะแสงมันแยงตา ผมก็ไปทำะุระส่วนตัว เดินไปยังห้องน้ำ แม่เจ้า!! น้ำโคตรเย็นครับ แค่ล้างหน้า หน้าชากันเลยทีเดียว55 "ไปๆ เก็บภาพบรรยากาศยามเช้ากันได้แล้ว"(อยากมีคนมาไล่ให้เราไปทำแบบนี้บ้างก็คงจะดีนะครับ^^)

ยามเช้า ณ จุดเดิม ที่เปลียนไปคือภาพตรงหน้าครับ

ภาพตรงหน้ามันสวกว่านี้ครับ ผมถ่ายทอดความงามของมันมาไม่ได้ทั้งหมด อยากรู้ต้องเดินทางไปค้นหาเอง^^ สูดอากาศให้เต็มปอด ปล่อยความรู้สึกไปกับสายลม ^^  ใกล้จะถึงเวลาที่เราจะต้องกลับ กลับไปสู่ความเป็นจริง ชีวิตที่แสนวุ่นวายยุ่งเหยิง อยากจะเก็บภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำของเรา อากาศตรงนี้เย็นและลมพัดแรงมาก น่าแปลก ที่ๆผมอยู่ มักจะมีแค่ผมคนเดียว(หรือเขาไปที่อื่นกันหมดก็ไม่รู้55) นั่งรับลมหนาว แสงแดดมาแล้ว พาความอบอุ่นเข้ามา ผมนั่งอยู่ตรงนี้นานมากๆ มองอะไรไปเรื่อย มีนักท่องเที่ยวเดินผ่านผมไปหลายคน ผมก็ส่งยิ้มไปให้พวกเขา แล้วก็ผ่านไป

มันสบายใจดีนะครับเวลานั้น ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องกังวล ไม่เอาความคิดไม่ดีขึ้นมาด้วย ไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไร ฟังเสียงลมที่บอกกับเรา ต้นหญ้าที่พริ้วไสว 

ไม่ว่าช้าหรือเร็ว จะจากมาหรือกลับไป ที่ตรงนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา ในความรงจำของเรา เราไม่อาจจะเอาที่เหล่านี้กลับไปได้ เราทำได้แค่บันทึกมัน เก็บลงในความทรงจำ 

ถึงเวลาจะต้องกลับกันแล้ว ผู้คนต่างมีทางเดินของตัวเอง ผมเองก็เช่นกัน ผมก็จะเดินไปยังเส้นทางของผมและเดินทางต่อไป กลับมาถึงเต็นต์ จัดเต็มก่อนกลับ 55 ทางกลุ่มพี่ๆแบ่งใข่ต้มมาให้ แล้วก็ชวนกันเดินกลับด้วยกัน ผมก็ตอบตกลงเพราะขาผมที่ปวดก็เกรงว่าจะเป็นตะคริว แล้วไปคนเดียวก็คงเหงาหูหน้าดู ^^ 

เก็บของเตรียมลงภูดีกว่า หากใครไปต้องนำของที่เช่าไปเอาไปคืนที่ทำการนะครับ  เก็บขยะลงไปด้วย

พร้อมจะลงเขาแล้ว มาเป็นกานด้าฟกันเลยที่เดียว55(ไม้เท้านี้มีประโยชน์ตอนลงนะครับเพราะช่วยยันตัวไม่ให้หัวเข่าของเรารับน้ำหนักตอนเดินลงมากเกินไป)

ก่อนลง ชิบห_ย ตอนขึ้นแทบตาย ตอนลงพลาดทีตายแน่ๆ เนินแรกก็เนินมรณะละ 555 

แวะน้ำตกซะหน่อย 

น้ำตกนี้ชื่อว่า "น้ำตกสายทิพย์"(พึ่งมารู้ทีหลังว่ามีอีกน้ำตกอยู่ทางฝั่งลาว มีใบเมเปิลด้วย ร้องไห้หนักมากกก จะให้ขึ้นไปก็คงไม่ไหวแล้ว คราวหน้าละกัน)

ทางลงค่อนข้างชันแหละลื่นระมัดระวังตอนลงด้วยนะครับ^^

ช่วงระหว่างขาลง ไม่ได้ถ่ายอะไรมานะครับเพราะแบตร์ของกล้องผมจะหมดแล้ว ปวดปลายเท้ามากครับเพราะเวลาเดินลงปลายเท้าจะจิกตลอดทำให้ข้อนข้างปวดมาก เดินได้ข้อนข้างช้า 

แวะพักกินข้าวกันซะหน่อย บ่ายแล้ว

"น้องลงมามีกับข้าวกินรึยัง"

"ยังเลยครับ ^^"

"อะพี่แบ่งให้" น้ำใจพี่ช่างงามยิ่งนัก ผมนี่ซึ้งจนไม่รู้จะซึ้งยังไงแล้วครับ(กราบรัวๆ)

"น้องจะไปที่ไหนต่อมั้ย?"

"ผมจะเดินทางต่อครับ ไปน้ำตกชาติตระกาล"

"โชคดีนะน้อง"

"หวังว่าจะได้เดินทางร่วมกันกับพวกพี่อีกนะ"

ผมก็ให้พวกเขาจดเมลกะเฟสผมไว้เพื่อได้ติดต่อกันอีก

มิตรภาพที่ดีเกิดขึ้นได้หากเราเปิดใจ คนทุกคนก็สามารถกลายมาเป็นคนรู้จักได้ ขอบคุณพี่ๆทุกคนนะครับที่หยิบยื่น มิตรภาพทีดี ทำให้ทริปนี้มีความหมายมาก(กับข้าวอร่อยจริงๆ55)

ขอบคุณพี่ ยุธ ที่ช่วยผมจากการเป็นตะคริว 55

ขอบคุณพี่ นัด ที่เป็นตัวเชื่อมมิตรภาพครั้งนี้ จากคำทักทายเล็กๆสู่เพื่อนร่วมเดินทาง

ขอบคุณพี่ แพร ที่ช่วยถือถุงนอนขึ้นไปช่วยผมได้เยอะมาก

ขอบคุณพี่ ก๊อฟ ที่ยื่นรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะตลอดทาง และขนมปังชิ้นสุดท้าย

ขอบคุณพี่ แจ๊ก กับเรื่องราวการเดินทางของพี่และเบียร์กระป๋องแรก

ขอบคุณความบ้าและหน้าด้านที่คิดอยากจะไปภูสอยดาวของผม ที่ทำให้ผมได้เติบโตขึ้น 

เราต่างแปลกหน้ากันก่อนที่จะได้รู้จักกัน คำทักทายและรอยยิ้ม

เป็นกุญแจสู่เรื่องราวต่างๆ ไม่รู้จบ

 

 

ปล. ภาพน้ำตกชาติตระการ

เนื่องจากไปเป็นเวลา4โมงแล้วชั้นบนของน้ำตกจะปิด และ วังเวงมาก จึงถ่ายมาให้ดูแค่ ชั้นที่ 1 - 4 นะครับ(เสียดายมาก)

บทส่งท้าย

กระทู้นี้ไม่ใช่รีวิว รีวิวมีเยอะแล้วผมก็อยากจะสร้างบันทักการเดินทางของผมมากกว่า อาจจะไม่ละเอียดเรื่องที่พัก การติดต่อ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ขออภัยมาด้วยนะครับ

สิ่งที่ได้จากการเดินทางครั้งนี้

ผมว่า การที่เราเดินทางคนเดียว ไม่ใช่ว่าเราเก่ง แต่เราแค่ต้องการเรียนรู้ขีดจำกัดของตัวเรา

ว่าตัวเราทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน

เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่มี เขาใจในสิ่งที่เป็น ได้เรียนรู้โลกกว้าง จากเรื่องราวของผู้คนต่าง

สิ่งที่ผมทำอยู่ผมมีความสุขนะ และผมจะทำมันต่อไป

 

 

ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะครับ

กระทู้บันทึกการเดินทางนี้เป็นกระทู้แรกที่คิดจะทำ55

ติดตามการเดินทางของผมในครั้งหน้าด้วยนะครับ

ยังมีที่ที่เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง มีสิ่งไดๆรอยู่ที่นั่นบ้าง

มันจึงเกิดเป็นคำถาม ที่ทำให้เราต้องไปหาคำตอบ

เพราะ

"ที่นั่น มันมีอะไร?"