- จุดเด่น:
- ลานสนภูสอยดาว ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร ความงดงามของป่าสนและดอกหงอนนาคสีม่วงอ่อน
- จุดด้อย:
- การเดินทางที่ค่อนข้างลำบาก ลาดชันและ การเดินเท้ากว่า 6.5 กิโลเมตร
- ข้อสรุป:
ภารกิจ พิชิตลานสนภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
วันที่ 18-19 ก.ค. 58
โดยแกงส์ลูกหมู ผู้ชายนวลๆ 5555 (ท่านผู้นำเผ่าผมเป็นคนตั้งชื่อนี้นะครับ)
เราเป็นมนุษย์เงินเดือนที่แสนธรรมดา นั้งทำงานหน้าคอมพ์กันทั้งวัน กับชีวิตที่รีบเร่งในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวาย เกิดความคันที่อยากจะออกไปสัมผัสธรรมชาติ หลังจากที่นั้งทะเลาะกันมาเกือบเดือน เราก็สรุปกันได้ว่าเราจะไปพิชิต "ภูสอยดาวดินแดนแห่งหมอกเที่ยงวัน" จากนั้นเราก็หาข้อมูลกัน (ข้อมูลการเดินทางเราก็สืบๆ และรวบรวมมากจากกระทู้เก่าในพันทิปครับ ซึ่งข้อมูลครบถ้วนทั้งหมดแล้ว กระทู้นี้ผมขอผ่านเรื่องรายละเอียดไปเลยนะครับ เพราะผมก็อธิบายไม่ค่อยเก่ง หาจากกระทู้เก่าๆของท่านอื่นๆจะแจ่มกว่าครับ อิอิ)
แต่กว่าเราจะไปกันได้ก็หลังจากนั้นอีกเกือบเดือน จนมาเคาะกันที่ 18-19 ก.ค. 58
ไปเป็นผู้พิชิตลานสนภูสอยดาว 1,633 เมตร จากระดับน้ำทะเลด้วยกันนะครับ
จากข้อมูลที่หากันมาได้คือ อุทยานเริ่มเปิดช่วงปลายเดือนมิถุนายน แล้วช่วงที่จะเจอหมอกฟุ้งๆคือช่วงกรกฏาคม
จะรอช้าอะไรระครับ เมื่อเดอะแกงส์พร้อมเราก็โทรจองแล้วเดินทางกันเลย
ออกจากบางกอกกันได้ก็เกือบสองทุ่ม รถจะติดอะไรอย่างงี้
"จะลางานทำไมละ ไปคืนวันศุกร์ ขึ้นภูวันเสาร์ ลงมาวันอาทิตย์ วันจันทร์ทำงานต่อเลย"
ท่านผู้นำเผ่าผมกล่าวไว้ก่อนที่จะเดินทางกัน
สรุปหลังจากลงภูสอยดาวดาวมา ก็เหลือแต่ท่านผู้นำเผ่าที่ไปทำงานต่อ นอกนั้นต้องลาเปื่อยกันอีก2วัน เลยคร้าบบบบ
การเดินทาง: เราใช้เส้นทาง บางกอก-นครสวรรค์-พิษณุโลก-ชาติตระการ-ภูสอยดาว ครับ
ทริปนี้อากู๋พาไป ต้องขอบคุณอากู๋ด้วยนะครับ
ถึงชาติตระการประมาณตี2 มีโมเตล อยู่ด้านขวามือก่อนเข้าตัวอำเภอ ชื่อวิษณุ...อะไรสักอย่างเนี้ยะแหละครับ 350บาท
พักเอาแรงกันก่อนเพราะไม่มีใครรู้เลยว่า ชะตากรรมที่จะพบในเช้าวันเสาร์ จะต้องพบกับอะไรบ้าง
ณ เช้าวันเสาร์ ที่ 18 ก.ค. 58
เราออกจากที่พักกันประมาณ6โมงเช้า กะว่าชิวๆอีกนิดเดียวถึงอุทยาน (หัวหน้าเผ่าผมบอกงั้น)
เพื่อความชัวร์ ไหนดูอากู๋หน่อยดิ ฉิบหา.....อีกเกือบ 80 โล (พึ่งพาได้ดีจริงๆหัวหน้าเผ่าเรา --")
จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะไปถึงอุทยานสัก7โมงเช้า เริ่มเดินกันสัก8โมงเช้า
ผิดคาดสิครับ 555
แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เรายังไม่ได้เตรียมสะเบียงเลย แวะตลาดก่อนดิ (ป๋า นายเสบียงของเรากล่าว)
เป็นตลาดที่มีขนมครกขายเยอะมาก ทั้งชาวบ้าน ชาววัง 4-5เจ้าได้มั้ง แต่บ้าบิ่นอร่อยเว่อร์ครับ อย่าลืมแวะซื้อด้วยนะครัช
แวะเดินตลาดป่าแดงกันเกือบชั่วโมงเลยครับ ได้เสบียงมาเยอะพอสมควร คร่าวๆประมาณ 4 มื้อที่เราต้องเตรียมไป
ก่อนออกจากตลาด ผุ้คุมตลาดก็เข้ามาคุยด้วยครับ ถามว่าจะไปไหน ไอ่เราก็บอกว่ากำลังจะไปภูสอยดาว คุยกันได้สักพักก็เก็บค่าคุ้มครองเป็นบ้าบิ่นชิ้นนึง แล้วเขาก็เดินจากไป
หลังจากออกจากตลาดมา เราก็เปิดวาร์ปโตเกียวดริฟ เพื่อไปถึงอุทยาน ติ่ง ติ่ง ติ่ง ติ่ง ติ๊ง ติ่ง อายุวันโน...
ถึงอุทยานกันเกือบ9โมง ไม่รอช้ารีบเตรียมกระเป๋า และของที่จะฝากลูกหาบขึ้นไป
ขอข้ามรายละเอียดส่วนตรวจคนเข้าเมือง และค่าเสียหายที่ทำการอุทยานนะครับ เพราะข้าศึกผมบุกมาถึงปากแม่น้ำอริวดีละ
หลังจากจัดแจงของเสร็จก็มาเติมพลังกันก่อนขึ้นภู (ได้ข่าวว่าเพิ่งจัดที่ตลาดไปแล้วนะ ถามจริงหนูจะกินกันอีกเหรอลูก?)
ที่ทำการอุทยานมีร้านค้าสวัสดิการนะครับ มีอาหารสั่งตาม เครื่องดื่ม และอาหารแห้งบริการ ราคาก็ไม่เกินจริงครับ อุดหนุนเขากันหน่อยเนอะ ^^
โม้ซะยืดเลย เรามาถึงทางขึ้นลานสนภูสอยดาว โดยที่เราจะเริ่มเดินจากน้ำตกภูสอยดาวเนี้ยะแหละครับ
ระยะทางเดินเท้าประมาณ 6.5 กิโลเมตร เราใช้เวลาเดินขึ้นกันประมาณ 7 ชั่วโมงครับ ขาแทบลากเลยครับ
เอาบรรยากาศน้ำตกภูสอยดาวมาให้ชมกันก่อนนะครับ
เสี่ยหมีเราบอกว่า บรรยากาศฟินสุดๆ ชอบๆ หารู้ไม่ว่าทางข้างหน้าที่เจอมันโหดร้ายยิ่งนัก เปรียบเหมือนกุหลาบงามมักแฝงด้วยหนามอันแหลมคม 5555
ตลอดระยะทาง 6.5 กิโลแม้ว เราได้สัมผัสกับบรรยากาศป่าที่ชื้นๆแฉะๆ มีทั้งฝน และหมอกปกคลุมเป็นระยะๆ เสื้อกันฝนใส่ๆถอดๆ ใส่ก็ร้อน ถอดฝนก็ตก --" โอ้ยยยยยได้ฟินสมใจไหมละครัช
ผมขอแนะนำพระเอกของทริปนี้ก่อนนะครับ "เสี่ยหมี" ทริปนี้จะเป็นทริปที่ธรรมดาไปเลยถ้าไม่มีเสี่ยหมีร่วมทริปนี้ด้วย
เสี่ยหมีเป็น ผู้ชายนวลๆ อบอุ่น น่ากอด สปอร์ต ใจดี กทม. นะครัชแหม่
ตลอดการเดินทางทุกๆ 5 ก้าวจะต้องหยุดให้เฮียหมีพัก แรกๆหินทุกก้อน ที่เสี่ยเดินผ่านจะต้องถุกเสี่ยนั้ง หลังๆเข้าบันไดเสี่ยก็นั้ง พื้นเสี่ยก็นั้ง
จากตะคริวกินขาซ้าย แล้วก็ย้ายไปขาขวา ทีนี้ก็ขึ้นไปถึงหัวเข่า เสี่ยบอกอีกนิดจะถึงไข่ละ
แต่ต้องยอมรับใจนักเลงของเสี่ยจริงๆ ที่สามารถขึ้นไปพิชิตลานสนได้ ร่างกายไม่ใช่อุปสรรค ถ้าใจเราเกินร้อย
ผมอยากให้เสี่ยหมีเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่อยากไปพิชิตลานสน มันไม่ได้ลำบากอย่างที่เขาๆว่ากันครับ แต่ลำบากมากกกกก
ตลอดทางเดินเท้า 6.5 กิโลแม้ว บรรยากาศดีมากเลยครับ มีหมอกปกคลุมเป็นระยะ โอ้ยฟินมากเลยครัช
ไม่พูดพร่ำมากดีกว่า เอาบรรยากาศ 2 ข้างทางมาให้ดื่มด่ำไปพร้อมๆกันดีกว่านะครับ
พอหน้าเลนส์เปียกฝน ผมก็หยิบเอาผ้ามาเช็ดๆหน้าเลนส์ แต่ก็ยังมีฝ้าๆอยู่เลยลองถ่ายต่อ แต่รูปที่ได้ออกมาเป็นแบบนี้เลยครับ
ก็สวยไปอีกแบบแฮะ
หากใครเคยมาพิชิตลานสนภูสอยก็คงจะพอทราบว่า เนินมรณะ เป็นเนินที่ชันและสูงที่สุดในการเดินเท้าครั้งนี้
เราต้องเดินขึ้นไปตามไหล่เขาที่ค่อนข้างชัน และสูงมาก เนินนี้เป็นเนินที่เสี่ยหมี และเราใช้เวลานานที่สุด เพราะเริ่มหมดแรงข้าวเหนียวมื้อเที่ยงกันแล้ว
แรกๆตอนถึงตีนเนิน ก็รู้สึกเฉยๆคงไม่ต่างจากเนินก่อนๆที่ผ่านมา เราก็เดินๆพักๆกันไปเรื่อยๆ
แต่สักพักกลุ่มหมอกที่ปกคลุมเราอยู่ก็เคลื่อนตัวออกไป เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นไม่ถึง3นาทีครับ
แล้วสิ่งที่หลุดออกจากปากทุกคนคือ สูงฉิบหา...
นี้คือสภาพอากาศก่อนที่เมฆกลุ่มนี้จะเคลื่อนตัวออกไปครับ
ค่อยๆออกไป
ออกไปแล้ววววว
แล้วนี้คือวิวที่เราได้เห็นจากเนินมรณะครับ แต่ก็มาเร็วเครมเร็วไปเร็วมากไม่ถึง3นาที
จะรออะไรกันละครัช ขอฉายภาพไว้เป็นที่ระทึกกันจั๊กหน่อย ว่าเราคือผู้พิชิตเนินมรณะ
หลังจากล้มลุกคลุกคลาน ได้แผลมาคนละที่สองที่ เราก็ขึ้นมาถึงลานสนกันสักทีครับ
7ชั่วโมงกว่าๆ กับ 6.5 กิโลแม้ว
แต่พอขึ้นมาถึงลานสนก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้เห็นบรรยากาศลานสนที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวบางๆ
สวรรค์บนดินมันเป็นอย่างงี้นี้เอง
ความรู้สักหน่อย
ลานสนภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว สูงจากระดับน้ำทะเล 1,633 เมตร อากาศเย็นสะบายตลอดปี จนได้รับสมยานามว่า "ดินแดนแห่งหมอกเที่ยงวัน"
จุดสุดยอดของการเดินทางขึ้นลานสนภูสอยดาวในหน้าฝนก็คงหนีไม่พ้นการได้มาชื่นชมความงามของราชินีแห่งป่าสน
ดอกหงอนนาค
จากที่คุยกับเจ้าหน้าที่ ปีนี้ไฟป่าขึ้นมาไม่ถึงลานสน ทำให้หงอนนาคบานน้อยกว่าปีก่อนๆหน่อยๆ ทั้งๆที่ช่วงนี้ควรจะบานเยอะแล้ว
แต่เท่าที่ฟังจากเจ้าหน้าที่ดู เจ้าหน้าที่ก็ไม่ค่อยอยากให้ไฟป่าขึ้นมาเพราะสนจะไหม้ตายไปทุกปี ปีละหลายๆต้น
เอาเป็นว่าหงอนนาคน้อยไม่เป็นไร แค่พอมีให้เห็นก็ชื่นใจละเนอะ สวยเวอร์ นี่พูดเลอ