ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
[[แบกกระเป๋า นั่งรถไฟ ไปนอนดูดาว... งบ 1700 ก็ไปนอนดูทางช้างเผือกได้!]] อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว (Phu Soi Dao National Park) จ.อุตรดิตถ์
    • โพสต์-1
    Vichhy •  ตุลาคม 27 , 2559

    ก่อนหน้าที่จะไปภูสอยดาวครั้งนี้ เผอิญผมได้มีโอกาสไปเห็นรีวิวท่านหนึ่งซึ่งได้มีการลงรูปถ่ายทางช้างเผือกที่เค้าถ่ายมาด้วยตัวเอง
    ตอนนั้นสิ่งที่วิ่งเข้ามาในสมองผมอันดับแรกเลยคือ "เห้ยยยยยย เจ๋งว่ะ อยากไปเห็นอะไรแบบนี้บ้างว่ะ" อากาศหนาวๆ นอนดูดาวบนที่สูง ดาวแบบ ดาวววววจริงๆ เป็นล้านๆ ไม่ใช่ดาวกิ๊กก๊อก 3-4 ดวงแบบในกรุงเทพฯ

    แล้วมารู้ตัวอีกทีผม ก็มายืนอยู่ที่สถานีรถไฟหัวลำโพงซะแล้ว...

    (ต้องขอบอกก่อนว่า อาจจะยาวไปซักนิดนึงนะครับ เพราะผมเก็บรายละเอียดเกือบๆหมดเลย)

    • Vichhy  #uraiwan enjoy your trip kab ^^ 01 พฤศจิกายน 2559 16:50:06
    • uraiwan  มีแผนจะไปสิ้นปีนี้ค่ะ 01 พฤศจิกายน 2559 16:46:19
    • Vichhy  @Tong ใช่ครับ เหนื่อยแต่คุ้มมากๆ ครับ ซักครั้งนึง แนะนำเลยครับ ^^ 01 พฤศจิกายน 2559 13:28:53
    • Tong  ต้องเดินเท้าขึ้นไป 6 กม. โอ้พระเจ้า ++ แต่ถึงแล้วก็คุ้มค่า ใช่ไหมครับ 01 พฤศจิกายน 2559 11:47:27
    • โพสต์-2
    Vichhy •  ตุลาคม 27 , 2559

    Day 1 (ศุกร์ 21 ต.ค.59)

     

    17.25 น.   ผมเดินทางมาถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินศูนย์วัฒนธรรมฯ เพื่อนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปหัวลำโพงในราคา 35 บาท 

    ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 20 นาทีก็มาถึงหัวลำโพง วันนี้คนเยอะมาก น่าจะเป็นเพราะเป็นวันหยุดยาวด้วย บวกกับประชาชนที่เดินทางจากต่างจังหวัดเพื่อมาที่ท้องสนามหลวงด้วย

    มหาศาลครับ!

     

    ดีที่ผมฝากเพื่อนซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้สบายๆ ครับ แค่รอเวลาเพื่อนร่วมทริปจะมาถึง ทริปนี้มีผู้ร่วมทริปอีก 3 คน ชายล้วนหล่อล่ำทุกคน 

    เนื่องจากรถไฟขบวนที่ผมจะไป ออกประมาณ 2 ทุ่ม มีเวลาเหลืออีก 2 ชั่วโมง (มาเร็วไปไหม) ผมเลยออกมาเติมพลังงานก่อนเดินทางที่ร้านลาบด้านนอกหัวลำโพงก่อน 555


    ประมาณ 2 ทุ่ม ก็ถยอยขึ้นรถกันแล้ว ในโบกี้มีคนพอประมาณ รถที่ผมขึ้นคือขบวน 107 ออกเวลา 20.10 น. เวลาถึง 2.36 น. ราคา 179 บาท ต่อคน ปลายทางเด่นชัย  แต่เราต้องลงสถานีพิษณุโลกนะครับ

    Let' go!

    การมากับเพื่อนก็มีข้อดีตรงที่เราจะไม่มีเวลาเหงาเลยฮะ คุยแม่งไปเรื่อยเปื่อย ว่าจะนอนก็ไม่ได้นอนกัน ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าต้องใช้แรงในการเดินเท้ากันแต่เช้า - -"

    ประมาณเที่ยงคืน เริ่มเข้าเขตนครสวรรค์ เลยจัดมาม่าคัพไปคนละถ้วย คราวนี้หลับสบายฮะ
    (แต่ราคามาม่าบนรถไฟนี่แอบแพง สนนราคาอยู่ที่ 25 บาท แต่ก็ เอาวะ! ช่วยๆ ลุงคนขาย แกหูไม่ค่อยดี)

     

    ตี 2.50 น.    ไชโยววววววววววว วันนี้การรถไฟไทยพาเรามาถึงที่หมายเร็วเลทไปแค่ 10 นาทีนิดๆ ตอนนี้เวลา ตี 2.50 ก็ถึงสถานีพิษณุโลกแล้ว บางคนก็ขออาบน้ำจากสถานีรถไฟพิษณุโลกไปเลย ที่นี่เค้ามีห้องน้ำให้อาบ คิดคนละ 15 บาท แต่ผมยังขอหมักไว้ก่อน รอขึ้นไปอาบน้ำสดชื่นข้างบน 555

    สถานีรถไฟพิษณุโลกกกกกก
     

    จากสถานีนั่งรถกะป้อต่อไปที่ บขส. เก่า คิดคนละ 20 บาท ประมาณ 10 นาทีก็ถึง


     แค่ก้าวขาลงจากรถก็จะมีพี่ๆ ลุงๆ วิ่งเข้ามาถาม ภูไหม? ภูไหม? ตอนแรกตั้งใจจะนั่งรถทัวร์จาก บขส. รอบตี 5 ไปลงอำเภอชาติตระการ แล้วเหมารถจากชาติตระการไปอุทยานต่อ แต่ที่ บขส.เค้าจะมีพี่ๆ ที่คอยบริการรถ(กระบะ) จาก บขส. ไปส่งถึงอุทยานเลย ราคาก็จะแพงกว่า นั่งรถทัวร์จาก บขส. ไปลงอำเภอชาติตระการ แล้วไปเหมารถต่อไปอุทยานหน่อย เจรจากันได้ที่ 750 ต่อคน ราคานี้คือรวมทั้ง ไปและกลับจากอุทยานพี่เค้าก็จะมาส่งถึงสถานีรถไฟเลย เผอิญมีน้องอีก 2 คน ที่เค้าก็หารถจาก บขส. ต่อไปอุทยานเหมือนกันเลยมาแจมกันครับ นั่งท้ายกระบะกันไป 6 คน

    สอบถามคุณลุงคนขับได้ความว่าต้องนั่งไปเป็นระยะทางร่วมๆ 200 กิโล กว่าจะถึงอุทยาน แต่คุณลุงเค้าจะแวะตลาดชาติตระการให้เราลงไปซื้อของกัน

    เวลาตอนนี้ ประมาณตี 4 ระหว่างทางยังมึดอยู่เลย

     

    ตี 5.15 น. เราก็มาถึงตลาดชาติตระการ ตลาดที่นี่จะเป็นของสดซะเยอะ พวกเราก็แวะซื้อของกินนิดหน่อย
    กับเครื่องดื่มที่นี่เลย เพราะแต่ละคนก็เอาพวกอาหารแห้ง ข้าวสาร อาหารกระป๋องเตรียมมาจากบ้านกันอยู่แล้ว

    แนะนำครับเอามาเองได้จะประหยัดลงไปเยอะครับ

    จากตลาดชาติตระการ เราต้องไปต่ออีกประมาณ 70 โล นั่งท้ายกระบะกันไปต่อเหมือนเดิม แต่คราวนี้่เริ่มสว่าง วิวทิวทัศน์เริ่มสวยงาม อากาศเริ่มดี 

    เพลงของพี่ตูนดังขึ้นมาในหัวเลย "ชีวิตยังคงสวยงามมม" จริงๆด้วย
    สุดด่ะ!!

    • โพสต์-3
    Vichhy •  ตุลาคม 27 , 2559

    Day 2

    8.00 น. เรามาถึงที่หมาย จุดลงทะเบียนตรงที่ทำการ แล้วทางอุทยานจะขับรถไปส่งเราตรงทางขึ้น ด้วยรถที่คล้ายๆ รถอีแต๋น 

     

    เสียค่าเข้าคนละ 40 บาท ค่ามัดจำขยะคณะละ 200 บาท ถ้าเอาเต๊นท์ไปเองจะเสียแค่ค่ากางเต๊นท์คนละ 30 บาท ต่อคนต่อคืน 

    ถ้าจะไปเช่าอะไรต้องบอกทางเจ้าหน้าที่เค้าเลย เช่น เต๊นท์ ที่รองนอน ถุงนอน หมอน ผ้าห่ม เตาแก๊ส เตาถ่าน ถัง ขัน เค้ามีให้เช่าหมดครับ หรือเช่าเพิ่มเติมด้านบนเค้าก็มีเจ้าหน้าที่อยู่ แต่แนะนำแจ้งเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ด้านล่างไปดีกว่า เพราะถ้าไปช่วงคนเยอะมีสิทธิ์ของหมดได้

    ค่าลูกหาบเค้าคิดเป็นกิโลกรัม กิโลกรัมนะครับไม่ใช่กิโลเมตร - -"  โลละ 30 บาท ขั้นต่ำ 20 โล (แต่ก็เห็นบางคนไม่ถึง 20 โล เค้าก็ไปให้นะ)

     

    เก็บไว้ให้ดีนะครับ บัตรนี้ต้องเอาไปใช้ข้างบนด้วย แล้วตอนลงมาก็ต้องคืนบัตร

     

    รถอีแต๊นจากที่จุดลงทะเบียนไปยังจุดเริ่มต้นเดิน

     

    9.00 น.  เริ่มเดิน!! ลุยยยย!!!

    ภูสอยดาวถ้านับจากระดับน้ำทะเลถึงยอดเขาสูงสุดเลยจะอยู่ที่ความสูง 2,102 เมตร แต่ลานกางเต๊นท์ ลานสน จะอยู่ที่ความสูง 1,633 เมตร ระยะทางเดินเท้าประมาน 6.5 กิโลเมตร 

    เนินที่ต้องผ่านทั้งหมดมี 5 เนิน คือ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และเนินมรณะ เป็นเนินสุดท้ายก่อนจะถึงลานสน

     

    เดินมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ต้องพักกันแล้ว เหนื่อยกว่าที่คิดไว้(มากกกกกกก) ละดันห้าวไม่จ้างลูกหาบกันด้วย แต่ละใบหนักๆ ทั้งนั้น ประมาณ 9.45 น. พวกเราก็เริ่มพักกินอาหารเช้ากัน น่าจะก่อนถึงเนินส่งญาติอีก 555

     

    จะรีบบอกทำไม? อีกตั้งไกล -*-

     

    ในที่สุดก็มาถึงป้ายเนินส่งญาติ คือ...แบบ...กางเต๊นท์ตรงนี้เลยได้ไหมวะ 555 แค่เนินแรกก็เหนื่อยขนาดนี้แล้ว
    ทางเดินชันใช้ได้ 8/10 

     

    แต่พี่ลูกหาบไม่มีท่าทีเหนื่อยเลยนะฮะ เดินกันเหมือนเดินเล่นสนามหญ้าหลังบ้าน....

    ระหว่างทางได้เพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันมากมายฮะ เดินกันไปบ่นกันไป พักกันไป เรื่อยๆ ชิวๆ ครับ เห็นบ่นกันทุกกลุ่ม 555

    จุดพักครับก่อนเนินปราบเซียน นั่งพักกันเป็นร้อย ถอดใจกันเป็นล้าน

     

    กว่าจะถึงเนินปราบเซียน หลายคนรอบตัวบ่นจะเป็นลม แต่ระหว่างทางก็เจอทั้งทางชันและทางลาดสลับกันไป

     

    ป่า ป่า ป่า เดิน เดิน เดิน

     

    เดินไปพักไป ไม่รีบครับ คือถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ลังเลที่จะจ้างลูกหาบ คุ้มค่ากว่าจริงๆ -*-

    ประมาณ 13.45 น. เราเดินมาได้ประมาณครึ่งทาง!! ครึ่งทางครับ 4 ชั่วโมงกว่า T-T ทำเวลาได้ดีจริงๆ แล้วเราก็พักกันที่เนินพักใหญ่อีกครั้ง เนื่องจากสมาชิกเกือบทุกคนเป็นตะคริว (ยกเว้นผมนะ เพราะผมขาแข็งแรงมาก555)

     

    คือ...เพื่อนๆ เห็นยอดเขาสูงๆ ลิบๆ นั่นไหมครับ นั่นละครับ เนินมรณะ แต่กว่าจะไปถึงเนินมรณะ เราต้องผ่านเนินป่าก่อ เนินเสือโคร่งก่อน แล้วจะถึงเนินมรณะ

    แต่อย่าเพิ่งคิดว่านั่นคือจุดหมายปลายทางของเรา เพราะลานสนต้องเลยเนินมรณะไปอีก 1 โล
    ...พูดได้คำเดียวว่า สุดยอด ไปเลยเลยฮะ!

     

    ผ่านเนินป่าก่อไปแล้ว อีกนิด

     

    เนินเสือโคร่ง ส่วนตัวคิดว่าเนินนี้โหดที่สุดละนะ ถ้ามาแบบแบกเป้มาเองไม่จ้างลูกหาบ ต้องใช้มือปีนเกือบตลอด

     

    และสุดท้ายเนินมรณะ  มรณะจริงๆ เกือบตายกว่าจะผ่านมาได้

    แต่วิวตรงเนินนี้ต้องยอมรับว่ามันสุดๆ สุดยอดจริงๆ 

     

    ธรรมชาติช่างสวยงาม ยิ่งตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มไปอยู่ตำแหน่งใกล้ตกแล้วด้วย

     

    17.00 น. ในที่สุดเราก็มาถึงลานสน ใช้เวลาในการเดิน 8 ชั่วโมงเต็ม!  ลานสนเป็นลานกว้างๆ เป็นทุ่งดอกไม้ รู้สึกจะเป็น ดอกหงอนนาค (สีชมพูๆ ม่วงๆ) เหมาะสำหรับคนชอบถ่ายรูปดอกไม้ แมลง 

    ดอกหงอนนาค

     

    มาถึงเราก็เดินไปติดต่อทางเจ้าหน้าที่ด้านบน ละเค้าก็บอกให้เราหาที่กางเองได้เลย วันนี้คนเยอะ เกือบจะเต็มเลยทีเดียว

    ผู้คนมหาศาลล้านแปด!

     

    และเราก็เริ่มกางเต๊นท์ หาฝืน ก่อเตาทำกับข้าว

     

    ถ้าจะอาบน้ำเค้ามีให้เช่าถังกับขันนะครับ ไปเสียค่าใช้จ่ายวันลง คือต้องตักน้ำจากลำธารข้างๆ ลานกางเต๊นท์ และไปอาบในห้องน้ำแบบเซอร์ๆ 

    ลำธารที่ใช้ตักน้ำอาบ

     

    ห้องน้ำก็ประมาณนี้ แยกชายหญิง

    และก็กลับมาเริ่มทำอาหารเย็นกัน มื้อแรกที่ทำกินกันเองคือ ไข่เจียว ข้าวต้มหมู และก็ปลากระป๋อง ง่ายๆครับ แต่รู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ

    อาหารหลักสิบ บรรยากาศหลักล้าน

     

    นั่งล้อมวงกินกับเพื่อนๆ ที่เหนื่อยด้วยกันมาทั้งวัน อากาศหนาวๆ จิบเบียร์ที่อุส่าแบกกันขึ้นมา ชิวๆ
    สุดด่ะ!

    แต่ด้วยความเหนื่อยพอดึกหน่อยก็เดินออกไปดูดาว แล้วก็รีบนอนกันเลยครับ เพลียจัด

       
    • โพสต์-4
    Vichhy •  ตุลาคม 27 , 2559

    Day 3


    ตื่นประมาณ 7 โมงเช้า เนื่องจากล้าจากเมื่อวาน เลยไม่ได้ตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นเลยT^T

    ตื่นมาก็กาแฟกันซักหน่อย อากาศหนาวเย็น หมอกลงนิดๆ

     

    อาหารเช้า...เผอิญน้องอีก 2 คนที่มาแจมทริปด้วยกันตั้งแต่นั่งรถกระบะจาก บขส. กางเต๊นท์ติดๆกัน เลยแชร์ๆ อาหารเช้ากัน (ส่วนใหญ่กินของน้องเค้า)

    มื้อเช้าเน้นผักฮะ

     

    กินเสร็จก็พักผ่อนกันตามอัธยาศัย จนถึงประมาณ 11 โมง เราก็เดินไปเล่นน้ำตกกัน น้ำตกสายทิพย์ มีทั้งหมด 9 ชั้น
    ผมเดินลงไปแค่ชั้น 2 ก็ขี้เกียจลงไปแล้วครับเพราะทางค่อนข้างชันมาก อยากเก็บแรงเอาไว้เดินลงเขาพรุ้งนี้มากกว่า
    เลยเล่นกันอยู่แค่ชั้นแรก ก็โอเคแล้วนะ

    น้ำเย็นชื่นใจ!

    ประมาณบ่ายโมงก็กลับมาที่เต๊นท์ ทำอาหารเที่ยงรับทานกัน
    นี่ฮะ อาหารเที่ยงของพวกเรา มาม่า! ใส่ไส้กรอก!!

    กินเสร็จก็ง่วงครับ กิจกรรมยามบ่ายของเราคือนอน 555

    ตื่นมาประมาณ 4-5 โมง เราก็เดินไปหลักกิโลกัน ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร ขอเรียก หลักกิโลไทย-ลาว ละกัน

    ก็ถ่ายรูปกันไปครับ

     

    ขากลับพวกผมเดินอ้อมไปอีกทางนึง เพื่อจะไปจุดชมพรพอาทิตย์ตก มีคนมารอถ่ายรูปกันเยอะพอสมควร แต่ค่อนข้างผิดหวัง พระอาทิตย์ขี้อายมาก เจอแต่เมฆหมอก 

    แต่ก็ไม่ใช่ว่าวิวจะไม่สวยนะฮะะะะะะะะ

    สวยงามตามพระอาทิตย์ตก

    แอบไปสอบถามวิธีถ่ายทางช้างเผือกกับพี่ช่างภาพแถวนี้มาแล้ว คืนนี้เจอกัน!

    กลับมาเต๊นท์เราก็มาทำอาหารเย็นกินกันครับ

     

    หลังกินข้าวเย็นประมาณ 2 ทุ่ม ผมก็ออกไปตรงเนินที่หลายๆ คนเค้าไปรอรถ่ายรูปกัน แทบจะทุกคนที่ไปถ่ายรูป คืออยากได้ภาพทางช้างเผือก ผมก็เป็น 1 ในนั้น เลยขอยืมกล้องน้องผู้ร่วมทริป  มาถ่ายทางช้างเผือกซะหน่อย 

    คือ ผมถ่ายดาวไม่เป็นหรอก แล้วก็ไม่เคยถ่ายด้วย ครั้งนี้คือครั้งแรกจริงๆ แต่อยากลองดู แล้วก็ออกมาง่อยตามภาพ 555

    วันนี้ท้องฟ้าเปิด โชคดีจริงๆ ความจริงสามารถมองเห็นลางๆ ได้ด้วยตาเปล่าเลยด้วยซ้ำ สวยงามมากครับ เสียดายที่ผมเป็นถ่ายรูปไม่สวย เลยถ่ายทอดออกมาไม่สวยเท่าของจริง... 

    แต่การได้มาเห็นดาวเป็นล้านๆดวง และก็ทางช้างเผือกยังงี้ ก็สมใจกับที่ตั้งใจแล้ว คุ้มครับ!

    กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้ว แบตกล้องหมดซะงั้น ! T^T

     

     รูปนี้เป็นรูปฝีมือของอาจารย์โก๊ะ ที่ถ่ายอยู่ใกล้ๆ และเป็นคนสอนวิธีถ่ายให้ผมวันนั้น จารย์เค้าเซียนมากจริงๆ ขอบคุณรูปสวยๆ จากจารย์โก๊ะและน้องกิ่ง ด้วยนะครับ ^^

     เลยกลับมาที่เต๊นท์ประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง แล้วก็นั่งจิบเบียร์ชิวๆ กันไปประมาณ 5 ทุ่มก็เข้านอน พรุ้งนี้จะตื่นเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้

         
    • โพสต์-5
    Vichhy •  ตุลาคม 27 , 2559

    Day 4

    ผมตื่นตี 5  ลุกขึ้นมาแบบงัวเงียและนอนไม่เต็มที่ เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวเต๊นท์ข้างๆ คุยกันทั้งคืน เล่นซะนอนไม่ค่อยหลับเลย -*-

    เดินไปจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นตรงหลักไทย-ลาว ผิดหวังฮะ ไม่เห็นพระอาทิตย์เนื่องจากเมฆเยอะมากกกก
    (ทริปนี้พระอาทิตย์เป็นสิ่งหายากมากๆ) รอจน 6.15 น. ก็เลยกลับดีกว่า (คุณหลอกดาวT-T)

    กลับมาก็ล้างหน้าแปรงฟันตรงเต๊นท์เลย แล้วก็เก็บของเก็บเต๊นท์ เก็บขยะ เตรียมตัวจะทำมาม่าเป็นอาหารเช้าก่อนเดินลง ปรากฏว่า ฝนตก! ตอนแรกทำท่าจะตกเบาๆ ซักพักรุนแรงเลยทีเดียว

    ตอนก่อนตกหมอกลงเยอะมาก


    9.00 น. เริ่มเดินลง ฝนตกแรงสลับเบามาเรื่อยๆ ชุดคลุมกันฝนได้ใช้ประโยชน์แล้ว (แนะนำครับ ควรพกมา)

    ขาลงเราใช้เวลาเดินน้อยครับ เพราะกระเป๋าเบาแล้วก็ทางลงไม่เหนื่อยเท่าตอนขึ้นมา แต่ต้องแบกถุงขยะที่หนักเกือบ 10 โล ลงไปด้วย 


    ใกล้ๆ จะถึงด้านล่างแล้ว เราก็แวะเล่นน้ำตกชำระล้างร่างกายกันอีกที

    12.30 น. ทำเวลาได้ดี เที่ยงครึ่งเราก็มาถึงด้านล่างกันแล้ว ลงมาถึงร้องไชโยกันเลยทีเดียว น้ำตาแทบร่วง T^T

    ลงมาก็หาน้ำหาท่า หาข้าวกินกันก่อนเลย มีร้านอาหารอยู่ตรงหน้าทางเดินขึ้น ผมก็รีบพุ่งตัวเข้าไป
     

    ข้าวกะเพราเนื้อไข่ดาวอร่อยที่ซู้ดดดดดดดด ราคา 55 บาท แต่ไม่รู้ด้วยความเหนื่อยหรือไม่ได้โดนอาหารแบบนี้มานาน รู้สึกอร่อยเป็นพิเศษจริงๆ

    แล้วเรานั่งรถอีแต๋นไปลงอุธยานต่อ คืนขยะได้ค่ามัดจำคืน 200 แล้วก็อาบน้ำล้างตัว ลุงรถกระบะที่จะไปส่งเราที่สถานีรถไฟมารอเราอยู่แล้ว

    ได้ประกาศนียบัตรด้วย เสีย 30 บาทถ้าต้องการ แต่ต้องแจ้งก่อนเดินขึ้นนะครับ

     

    ประมาณเกือบๆ บ่าย 3 เราก็เริ่มออกจากอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว กัน (ลาก่อนนนนนนนนนนนนนนนน)
    นั่งท้ายกระบะเหมือนเดิมครับ เจอฝนบ้างแห้งบ้าง ก็ลุยๆ กันไป

    กว่าจะถึงสถานีรถไฟก็ 6 โมงเย็น มาถึงสถานีก็ซื้อตั๋วรถไฟกลับ ได้ขบวนที่ 108 ออกจากสถานีพิษณุโลกเวลา 22.09 น. ถึงกรุงเทพฯ สถานีบางซื่อ เวลา 4.44 น. แต่ผมก็ทำใจไว้แล้วว่าเลทแน่ๆ ค่าตั๋วขากลับถูกกว่าขามา 1 บาท 178 บาทต่อคน 


    ระหว่างรอรถไฟที่กว่าจะมาก็เกือบๆ 4 ชั่วโมง พวกผมเลยออกไปหาข้าวกินกันแถวสถานีเจอร้านข้าวราดแกง
    เกลี้ยงจาน ให้เยอะอีกตะหาก 40 บาท เท่านั้น! ลองดูครับเดินออกจากหน้าสถานีไปทางซ้ายมือ 50 ม. ร้านอยู่ทางขวา


    แล้วก็หาซื้ออะไรเย็นๆ มานั่งจิบรอเวลาครับ ฉลองปิดทริป และ มิตรภาพใหม่ที่เราได้เจอระหว่างทาง
    ขอบคุณน้องบอสและน้องคูนด้วย ถ้าไม่เจอพวกน้องพวกพี่ 4 คน อาจจะตีกันตายก็ได้ 555

    กล่องนี้เพื่อมิตรภาพล้วนๆ มิได้เป็นอย่างอื่น

    22.09 น. รถไฟมาตรงเวลา มาถึงเราก็รีบจับจองที่นั่งที่นอนกัน
    หลับครับ หลับยาวววววววววว

    5.00 น. ประมาณตี 5 รถก็มาถึงสถานีบางซื่อ พวกผมลงที่สถานีนี้ แล้วต่างคนก็แยกย้ายกันกลับ ^^

      ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ อาจจะยาวหน่อย แต่อยากให้ทุกคนได้รายละเอียดครบถ้วน อาจจะตกหล่นไปบ้างต้องขออภัยด้วยครับ และก็หวังว่าคงจะได้อะไรจากการรีวิวครั้งนี้ของผมบ้างสักนิดก็ยังดี อย่างน้อยก็ก้อขอให้อ่านแล้วมีความรู้สึกอยากไปเที่ยว สัมผัสอากาศหนาว นอนดูดาว อย่างผมบ้างก็ยังดี

    ผมถือว่าการแบกเป้ไปเที่ยวครั้งนี้ของผมเป็นประสบการณืที่มีค่ามากทีเดียว อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของผม (เพราะเข็ดกับการเดินขึ้นเขานี้มาก 555)  

     

    สุดท้ายนี้ขอฝากรีวิวอีกอันหนึ่งของผมด้วยครับ ขอบคุณครับ 

    http://www.thetrippacker.com/th/review/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2KohTaoTurtleIsland/9824  

    • Vichhy  @Kochasak ขอบคุณครับ 05 มกราคม 2560 15:33:00
    • Kochasak  ต้องไปให้ได้สักครั้งนึงครับ ผู้เขียน ๆ รีวิวไว้ได้ดีมากครับเหมือนเรากำลังติดตามไปด้วยเลย ขอบคุณครับที่นำเรื่องดีๆ มาเล่าให้ฟัง พรุ้อมรูปถ่ายสวย ๆ มาให้ชม เยี่ยมมากๆ 04 มกราคม 2560 14:04:35
    • โพสต์-6
    Vichhy •  ตุลาคม 27 , 2559

    เพิ่มเติมครับ

    แนะนำ

    • ระยะทางเดินค่อนข้างไกลและชันครับ ยิ่งถ้าฝนตกจะเดินลำบากมาก คนที่จะไปภูสอยดาว ต้องทำใจและฟิตร่างกายนิดนึงครับ ระยะทางไม่ธรรมดาจริงๆ
    • ส่วนตัวผมว่าควรจ้างลูกหาบนะ คุ้มครับเชื่อผม การเดินแบกเป้หนัก10-20 โลขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องสนุกครับ คอนเฟิร์ม! ถ้าพอมีตังก็จ้างเถอะครับ ระหว่างเดินควรพกของให้น้อยที่สุด
    • เสื้อกันฝนจำเป็นครับ ได้ใช้แน่นอน
    • ข้างบนไม่มีไฟฟ้าและน้ำนะครับ เตรียมตัวไปให้พร้อมและทำใจนิดนึง (มีน้ำฝนที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ครับ)
    • ขาตั้งกล้องจำเป็นสำหรับคนชอบถ่ายรูปครับ
    • ยาสามัญประจำบ้านและสเปรย์กันยุงโคตรสำคัญครับ ไม่ค่อยมียุงเท่าไหร่ครับ ส่วนใหญ่เป็นแมลง

    Enjoy your trip ครับ ^^

     

    สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้

    วันแรก
    - ค่ารถไฟฟ้าใต้ดิน                            35 บาท
    - ค่าน้ำ 2 ขวดใหญ่                           11 บาท (หาร4)
    - ค่ารถไฟ                                      179 บาท
    - ข้าวกล่องบนรถไฟ                         ฟรี
    - ค่ามาม่าบนรถไฟ                           25 บาท
    - รถกะป๊อ                                      20 บาท/คน
    - ค่าเหมารถไปอุทยาน                    750 บาท/คน (ไป-กลับ)
    - ค่าเหล้า เบียร์                              200 บาท/คน
    - ข้าวเหนียวไส้กรอก                       30 บาท

    วันที่ 2
    - ค่าเข้าอุทยาน                              30 บาท /คน
    - ค่ากางเต๊นท์                                60 บาท /คน (2 คืน)
    - ค่าประกาศนียบัตร                        30 บาท
    - ค่าถ่าน (เช่าบนลานกางเต๊น)           50 บาท
    - ค่าเช่าถัง, ขันน้ำ                          40 บาท (2 คืน)

    วันที่ 3
    - ค่าข้าวกะเพราเนื้อไข่ดาว               55 บาท
    - ลูกชิ้น                                       10 บาท
    - ข้าวราดแกง                                40 บาท
    - ค่ารถไฟกลับ                             178 บาท / คน
     

    รวม 1,743 บาท ครับ

     

    **หมายเหตุ** ถ้าคุณเป็นคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์ จะลดไปได้อีกนะครับ

    • kae  สุดยอดคะ ตามๆๆๆๆ 09 สิงหาคม 2560 13:06:40
    • Kochasak  ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่างบก็ตรงแอลกอฮอร์เนี่ยแหละครับ 04 มกราคม 2560 14:05:02
    • Bank  สุดยอดครับ 01 พฤศจิกายน 2559 20:22:41
    • Tada  สุดยอดเลยครับ รวม 1,743 บาท ><b 28 ตุลาคม 2559 13:53:55