ครั้งหนึ่งในชีวิต พวกเราได้พิชิต
“ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง” มันเป็นประโยคบอกเล่า ที่ใครได้อ่านหรือได้ฟัง ก็จะคิดถึงบรรยากาศและความทรงจำ ครั้งที่เราได้ถ่ายรูปกับป้ายแห่งนี้
ภูกระดึง เป็นสถานที่มีเล่าขานยาวนานนับสิบๆปี เกิดมาทั้งทีต้องพิชิตภูกระดึง และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้ง ที่พวกเราตั้งมั่นเพื่อไปพิชิตภูเขาแห่งนี้ กับระยะทางตั้งแต่ทางขึ้นจนถึง สถานที่ต่างๆ ทุกย่างก้าวที่เราก้าวเดินนั้น มันสร้างความสุข ความสนุก มิตรภาพ ความทรงจำ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ลมหายใจถี่แบบจะเป็นลม หรือทุกอิริยาบถ ที่เราได้ก้าวเดินและมองไปนั้น มันสร้างความทรงจำให้เราตลอดเวลา นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราอยากไปสัมผัสสถานที่แห่งนี้สักครั้งในชีวิต
'4 เดือน ก่อนเวลาเดินทาง"
มันเป็นความคิดแว๊ปแรกเข้ามาในหัวสมองอีกครั้ง ว่าอยากไปภูกระดึงอีกซักครั้ง เนื่องจากผมและแฟนก็ได้ไปสัมผัสสถานที่แห่งนี้กันมาแล้ว แต่ความรู้สึกก็อยากไปอีกครั้ง ก็เลยลองถามเพื่อนๆในกลุ่มไลน์ ว่ามีใครสนใจ ไปภูกระดึงบ้าง ก็มีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อนัท ยกมือคนแรก ว่าไปค่ะ โอ้วในหัวผมตอนนั้น ฮ่าๆๆ มีเพื่อนร่วมทริปแล้ว จากนั้นก็มีเพื่อนอีก 2 คน คือ เมย์ และ โอ บอกว่าพร้อม ไปด้วยยยย สรุปได้ว่า เรามีแก๊งค์เดินทางไปด้วยกันทั้งหมด คือ 5 คน คือ ผม แฟนผม นัท เมย์ โอ ได้ข้อสรุปว่าจะเดินทางกันไปหลังปีใหม่ เพราะเพราะผมและแฟนยุ่งเกี่ยวกับการเตรียมงานแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2651 ที่ผ่านมา ก็เลยได้วันที่ลงตัวคือ 4-6 มกราคม 2562 นี่แหละ เพราะคิดว่าใบเมเปิ้ล ยังคงแดงอยู่
"4 มกราคม 2562" วันเดินขึ้นภู
ก่อนหน้าวันเดินทาง 1 วัน ทุกคนต่างเดินทางมาคนละพื่นที่เพราะทำงานต่างสถานที่กัน นัทนั่งรถทัวร์จากกรุงเทพมาลงที่ผานกเค้า เมย์นั่งเครื่องมาจากเชียงใหม่เพื่อลงขอนแก่น และต้องนั่งรถจากขอนแก่นเพื่อมาลงผานกเค้า ส่วน โอ ขับรถมาจากพิษณุโลกโลกเพื่อมาเจอ ผมและแฟนที่หล่มสัก เพชรบูรณ์และขับรถไปเจอเพื่อนๆที่ผานกเค้า นั่นก็คือร้าน เจ๊กิม
เรานัดรวมตัวกันที่ร้านเจ๊กิมกันประมาณ 6 โมงเช้าเพื่อเตรียมตัวและหาอะไรกินกันรองท้องก่อนไปทำภาระกิจที่ตั้งมั่นไว้
ผานกเค้าจุดนัดรวมตัวของพวกเรา จากนั้นเมื่อเรากินข้าวเช้าเสร็จก็ขับรถมุ่งไปสู่ อุทยานแห่งชาติ ภูกระดึงระยะทางจากร้านไปที่อุทยานก็ประมาณ 10 กิโลเมตร แต่ถ้าใครไม่ได้ขับรถมาหรือไม่มีรถส่วนตัว ตรงร้านเจ๊กิมก็มีรถสองแถวสีแดงคอยบริการอยู่บริเวณนั้น เมื่อเมื่อเราไปถึงอุทยานก็ทำเรื่องแจ้งจำนวนคนขึ้น และทำเรื่องขอเช่าเต้นท์จากนั้นเราก็เตรียมสัมภาระเพื่อไปจุดที่พี่ลูกหาบคอยบริการต่อไปนี่คือหลักกิโลที่ 0 กิโลเมตร อยู่ด้านหน้าที่ทำการบริเวณตรงลานจอดรถ เพื่อยืนยันว่าพวกเรามาถึงแล้ว และพร้อมจะขึ้นไปพิชิต 555
หลังจากที่เราแจ้งจำนวนคนและเช่าเต๊นท์ต่อเจ้าหน้าที่ก็ไปจุดบริเวณที่ทำการชั่งกะเป๋าเพื่อให้พี่ลูกหาบช่วยแบกของเราขึ้นไป โดยขั้นตอนเราต้องซื้อป้ายแท็กหมายเลขกระเป๋าที่เจ้าหน้าที่ กรอกชื่อ เบอร์โทร ของกระเป๋าแต่ละใบ จากนั้นก็นำไปชั่งบนกิโล ซึ่งค่าบริการน้ำหนักที่ลูกหาบคิดนั้น กิโลกรัมละ 30 บาท เท่านั้นเองครับเมื่อทุกอย่างพร้อม คนพร้อม กายพร้อม ใจพร้อม เริ่มเข้าสู่ประตูมุ่งสู่ดินแดนที่มีมนต์ขลังของความ สุข สนุก เฮฮา เมื่อยล้า อ่อนแรง
สิ่งที่ช่วยได้มาเวลาเดินป่า คือ ไม้ค้ำ มันจะช่วยพยุงตัวเราเดินง่ายขึ้นและช่วยผ่อนแรงต่างๆจึงมีความจำเป็นอย่างมากเวลาเดินจุดหมายแรกที่เราตั้งเป้าคือ ซำแฮก ระยะทางประมาณ 1.1 กิโลเมตรจากฐานด่านล่าง ซำแฮกเป็นที่เลื่องลือกันว่า เป๊บซี่อร่อยที่สุด พวกเราก็อยากพิสูจน์ว่าอร่อยที่สุดจากคำกล่าวขานนั้นจริงหรือไม่ เมื่อเดินผ่านไปเรื่อยก่อนถึงซำแฮกเป็นพื้นที่ที่ต้องเดินชันขึ้นไปเรื่อยๆด้านข้างก็มีป่าไผ่ที่สวยงามให้เราได้มองอย่างกะทุ่งสีทอง เดินไป ชมไป ความเมื่อยเหนื่อยล้า ด้วยสภาพร่างกายที่เข้าสู่เลข 3 กลางๆ ความกระหายน้ำเริ่มมาเยือน ความมุ่งมั้นสู่ซำแฮกก็เริ่มถี่ขึ้นตามลมหายใจ เมื่อไหร่จะถึงว๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา เหนื่ยเว้ยย 55555
เมื่อมุ่งหน้าไปเรื่อยๆเราก็เห็นหลังคาร้านค้า โอ้วววววถึงแร้วววววว เย่ๆๆๆ ซึ่งแรกที่คิดถึงคือ เป็บซี่ !!!เราพักที่ซำแฮก ดืมน้ำ ถ่ายรูป พักขา ให้ร่างกายได้ลิ้มรสสิ่งที่เฝ้าตามหา แปปนึง
จากนั้นเราก็เริ่มมุ่งหน้าสู่ซำต่างๆเพื่อขึ้นไปสู่หลังแป เพื่อไปถ่ายรูปกับป้าย
ผ่านทุกซำ แวะกินทุกซำที่มีของกิน ฟินเว่ออออ 555จากนั้นเราก็มุ่งหน้าด้วยความอิ่ม เป้าหมายคือ หลังแป !!!
และแล้วมาก็มาถึง ป้ายในตำนานที่ผู้คนทั่วสารทิศหลั่งไหลเพื่อจะถ่ายรูปคู่กับป้ายแห่งนี้ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก มันมีความรู้สึกภาคภูมิใจ ดีใจ เมื่อย เหนื่อย ล้า ผสมผสานรวมๆกันมา แต่ทุกความรู้สึกมันรวบรวมและเผิดให้เห็นอยู่ทุกคนคือ ใบหน้าและรอยยิ้ม สังเกตุได้ว่าทุกคนที่ได้เคียงคู่กับป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง"มันเป็นประโยคบอกเล่าสั้นๆที่แฝงด้วยความภาคภูมิใจ ความเหนื่อยล้า และอ่อนแรง แต่พอมายืนตรงจุดนี้ปุ๊บ เรี่ยวแรงที่หดหายเหมือนได้ถูกเติมเต็มมาจากพลังงานบางอย่างที่อยู่ในป้ายแห่งนี้ มันอธิบายได้ยากจริงๆ..
เมื่อได้รับพลังจากป้ายแห่งนี้เราก็เดินทาง มุ่งหน้าสู่ที่ทำการ อีก 3.5 กิโลเมตร เส้นทางที่เหลือก็เป็นพื้นราบทรายละเอียด สองข้างทางรายล้อมไปด้วย กลุ่มเฟริ์น ที่ออกมาเรียงรายทักทายอยู่สองข้างทางทำให้พวกเราได้สัมผัสถึงธรรมชาตืที่งดงามจริงๆ
เราใช้เวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อไปสู่ลานกางเต๊นท์ โดยระทางวันนี้ 9 กิโลเมตร จากด้านล่างสู่ลานกลางเต๊นท์ พวกเราใช้เวลาทั้งหมด 5 ชั่วโมงครึ่ง โอ้ววววว!!!!!
พวกเราถึงด้านบนประมาณ บ่าย 3 โมง ก็แจ้งและติดต่อเช่าอุปกรณ์เครื่องนอนต่างๆต่อเจ้าหน้าที่ หลังจากได้รับกระเป๋าจากลูกหาบเรียบร้อย สิ่งที่ต้องต่อสู้กับช่วงเวลาหนาวเย็นด้านบนในเวลาพลบค่ำคือ การอาบน้ำ โอ้ววววว!!!!ครั้งก่อนที่ผมมายังมีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ครั้งนี้ ไม่มี NOOOOOOOOOOOO โอ้วว ความเย็นยะเยือกมาเยือน 555 แต่ด้วยเป้าหมายเราหลังจากอาบน้ำยิ่งใหญ่กว่า ก็คือการกินหมูกระทะ จึงทำให้เรามีแรงผลักดันต่อการต่อสู้กับความหนาวเย็น ....สู้โว้ยยยยยยยย!!!!
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เราก็ได้ไปหาร้านเพื่อกินหมูกระทะกัน เพิ่มความฟินซะหน่อย
หลังจากได้รับไออุ่นจากเตาย่างหมู ความอิ่มเริ่มมาเยือน อาการง่วงเริ่มตามมา พวกเราก็ได้ทำธุระส่วนตัว กินยาคลายกล้ามเนื้อ เตรียมพร้อมต่อการพักผ่อน เพื่อไปต่อสู้กับภาระกิจต่อไปในวันพรุ่งนี้
"5 มกราคม 2562 วันที่เดินทางไกลที่สุด"
จากความเหนื่อยล้าเมื่อวาน ช่วงระหว่างกินหมูกระทะ เราก็ตกลงกันว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น
ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตีสี่ครึ่ง เพื่อเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้น โดยการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นนั้น เจ้าหน้าที่จะทำการนัดกันเวลา ตีห้า หน้าจุดที่ทำการ เพื่อเดินไปผานกแอ่น ประมาณ 1.8 กิโลเมตร โดยสิ่งจำเป็นคือ ไฟฉาย เพราะต้องใช้ไปยังสถานที่ต่างๆในเวลาที่ไม่มีแสงสว่าง
หลังจากที่ได้ชื่นชมพระอาทิตย์ขึ้น เราก็เดินทางกลับมาที่เต๊นท์เพื่อเตรียมตัวสู่ภาระกิจที่สำคัญคือการ ไปดูใบเมเปิ้ล และดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก
เราเริ่มเดินจากร้านค้าตอนเวลา เกือบ 10 โมงเช้าเพื่อมุ่งหน้าไปดูใบเมเปิ้ล
จุดแรกที่เราพบใบเมเปิ้ลคือ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่เพื่อสัมผัสบรรยากาศและเก็บภาพต่างๆ ประมาณ 1 โชั่วโมงครึ่ง จากนั้นเราก็มุ่งหน้าเพื่อไปดูใบเมเปิ้ลอีกหนึ่งจุด คือ น้ำตกถ้ำใหญ่
เราใช้เวลาที่นี่เกือบ 2 ชั่วโมง บรรยากาศที่นี่สุดคำบรรยาย ใบเมเปิ้ลสีแดงมากๆสุดประทับใจที่สุด สาวๆในกลุ่มก็ได้ภาพเก็บความประทับใจกันไปหลายช็อต จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปตามจุดต่างๆ เช่น สระอโนดาต ผาเหยีบเมฆ เพื่อมุ่งหน้าสู่ผาหล่มสัก
พวกเราออกจากผาเหยียบเมฆประมาณบ่ายสามครึ่ง เพื่อมุ่งหน้าสู่ผาหล่มสัก ทุกย่างก้าวที่ก้าวเดินนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ว่าจะได้ไปสัมผัสบรรยากาศที่หลายๆคนอยากมาตรงจุดนี้และแล้วพวกเราก็มาถึง เราใช้เวลาเดินประมาณ ชั่วโมงนิดๆสู่ผาหล่มสักและแล้วเราก็ได้ไปถ่ายรูปตรงจุดนี้
เมื่อเราดึ่มด่ำบรรยากาศอย่างเต็มที่แล้วก็เดินทางกลับสู่ที่พัก เราเดินจากผาหล่มสักจนถึงที่พัก ใช้เวลาประมาณ สองชั่วโมง อาบน้ำ กินข้าว เพื่อพักผ่อนเดินทางกลับในวันต่อไป
"วันที่ 6 มกราคม 2562" เดินทางกลับด้วยความภาคภูมิใจ
จากเมื่อวานที่ใช้แรงเดินไปกว่า 29 กิโลเมตร ก็กะว่าเช้านี้จะตื่นสายซะหน่อย ซักแปดโมง ตื่นมาชิลๆ สบายๆ เพื่อจะได้นอนอย่างแต่ที่ ...แต่ พระเจ้า มีเสียงนาฬิกาปลุกจากเต้นข้างๆ ตอน 04.23 น ผมมั่นใจว่าทุกเต๊นท์ที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุงตื่นหมดแน่นอน ยกเว้นเต๊นท์ที่ตั้งปลุกนั่นแหละ เสียงนาฬิกาปลุกดังนานเกือบ 15 นาทีอย่างต่อเนื่อง จนเพื่อนข้างๆต้องลุกขึ้นไปปลุกเจ้าของโทรศัพท์ให้กดปิด โอ้วว!!!! เซง!!!!!
จากที่คาดว่าจะตื่นสาย สุดท้ายก็ตื่น ตอนนั้นเลย ก็รอเวลาให้พระอาทิตย์ขึ้น เราก็ทำธุระส่วนตัวและไปหาข้าวเช้ากินกัน
ก็หาของที่ระลึกซื้อโปสการ์ดเขียนหาตัวเองซะหน่อย จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินทางกลับ สู่ด้านล่าง ...ขอให้ภาพเล่าเรื่องนะค้าบบ
ด้วยระยะทางที่เราก้าวเดินทั้งหมด 47 กิโลเมตร ทั้ง 3 วันนั้นมันเป็นความสุขเล็กๆปนความเจ็บปวด เมื่อยล้า อ่อนแรง ที่แลกมาด้วยความชนะใจตนเอง มันจึงเหตุผลทั้งหมดว่าทำไมพวกเราต้องมาสถานที่แห่งนี้ นอกจากธรรมชาติที่สวยงาม ที่เราอยากจะมาสัมผัสนั้น อีกอย่างที่ได้รับคือ มิตรภาพต่างๆที่ได้รับ จากเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนร่วมทาง ลูกหาบ แม่ค้า พ่อค้า หรือใครที่เราได้เจอนั้น มันคือสิ่งที่หาได้ยากจากสถานอื่นๆจริงๆ นี่แหละ ภูกระดึง !!!
ธรรมศาสตร์ จันทรัตน์