ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
    • โพสต์-1
    Nina •  กุมภาพันธ์ 02 , 2559

    สวัสดีค่ะ

    ก่อนอื่นขอถือโอกาสนี้ขอบคุณ Amari อย่างเป็นทางการ ที่ให้เราได้ผ่านการคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 นักรีวิวของโครงการ Discover “Hua Hin” The Amari Way


    ซึ่งนักรีวิวทั้ง 3 คนจะได้รับบทบาทและการนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ได้แก่ ...
    1) เส้นทางนักเที่ยว
    2) เส้นทางนักชิม
    3) เส้นทางสำหรับครอบครัว



    ครอบครัวลูกเล็กวัย 5 ขวบอย่างเรา ได้รับมอบหมายใน”เส้นทางสำหรับครอบครัว”ค่ะ (อาจจะมีนายแบบตัวน้อย มาเสนอหน้าทักทายในรีวิวนี้เป็นระยะ) เพราะฉะนั้นแล้วรีวิวนี้จึงเน้นกิจกรรม-ที่เที่ยว-ที่พักในแบบการท่องเที่ยว เดินทางแบบครอบครัวนะคะ และด้วยโปรแกรมที่อัดแน่นด้วยกิจกรรมมากมาย จึงขอแบ่งออกเป็นตอนๆ เพื่อไม่ให้ยืดยาวมากจนเกินไปค่ะ


    เริ่มต้นการเดินทาง ....... เป็นเรื่องราวที่ประทับใจมาก เลยอยากจะขอเล่าสักหน่อย เพราะตั้งแต่เคยผ่านการคัดเลือกทำงานรีวิวมาบ้าง เดินทางด้วยตัวเองตลอด แต่ครั้งนี้สำหรับ Discover “Hua Hin” The Amari Way เขาส่งรถมารับถึงบ้านเลยค่ะ >.< !

    ในเส้นทางสำหรับครอบครัว เขาให้เลือกได้ด้วยว่าต้องการเป็นรถเก๋งหรือว่ารถตู้ แต่ครอบครัวเราก็มีกันอยู่แค่ 3 คนพ่อ-แม่-ลูกก็เลยเลือกรถเก๋งค่ะ เพื่อความคล่องตัว ... คนขับเองก็ใจเย็นและสุภาพมากๆ เนื่องจากเรามีลูกเล็ก(แถมแสบซนอีกต่างหาก) คอยจะป่วน บางทีก็ปีนข้ามไปมา แต่โชคดีว่าพี่คนขับก็มีลูกเล็กวัยขวบกว่าเช่นกัน เขาก็เลยเข้าใจในความป่วนของเจ้าตัวซน

    ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

    PORTO CHINO
    ถนนพระราม 2
    https://www.facebook.com/portochino  

    ระหว่างการเดินทางบนส้นทางถนนพระราม 2 เราหยุดแวะพักกันที่ Life Style Mall อย่าง Porto Chino … ทันทีที่เห็นป้าย McDonald ด้านหน้ามอลล์ คุณลูกหมีตะโกนออกมาทันทีว่า"เฟรนฟรายซ์ !!"

    เอ่อ ไปไหนไม่รอดค่ะ -.-“ จบอยู่ที่ร้าน McDonald ด้านหน้านั่นแหละ

    ++ ดูหน้าตาเด็กดีใจได้ทั้งเฟรนซ์ฟรายซ์,โค๊กและไอศกรีม ..ไหนบอกแค่เฟรนซ์ฟรายซ์ไม่ใช่หรือคะคุณลูก !? ++


    ส่วนตัวแล้ว เราชอบร้าน Starbucks ที่นี่ค่ะ ที่ทราบมาเหมือนจะเป็นร้านแบบ Drive Thru แห่งแรกในประเทศไทยด้วย และเป็น Starbucks แห่งแรกในเอเซียที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED ระดับ Gold ซึ่งเป็นมาตรฐานการออกแบบและการสร้างอาคารอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม


    แวะพักสักครู่หนึ่งก็ออกเดินทางกันต่อค่ะ เพราะวันแรกนี้มีโปรแกรมเยอะทีเดียว

    ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    • โพสต์-2
    Nina •  กุมภาพันธ์ 02 , 2559

    CAMEL REPUBLIC

    CAMEL REPUBLIC
    ถนนนเพชรเกษม ซ้ายมือ ก่อนถึงทางแยกไปชะอำ
    จันทร์ – ศุกร์ เวลา 1000 – 1800 น.
    เสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 0900 – 1830 น.
    https://www.facebook.com/camelrepublic   



    นั่งหลับๆตื่นๆมาสักพัก (มีคนขับรถให้ดีแบบนี้นี่เอง) เราก็มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกสำหรับการเดินทางครั้งนี้ค่ะ นั่นก็คือ Camel Republic ... ถึงแม้จะชื่อว่า”สวนอูฐ” แต่ที่นี่มีอะไรมากกว่าอูฐค่ะ โดยหลักๆแล้วจะมี 2 โซนด้วยกันคือ โซนสวนสัตว์และโซนเครื่องเล่น ไม่นับรวมร้านค้าต่างๆ ซึ่งมีทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านขนมและร้านอาหาร

    ++ โซนเครื่องเล่น ++


    ส่วนตัวแล้ว เราเคยมาที่นี่ 2 ครั้งแล้วค่ะ และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ...
    ครั้งที่ 1 – 14 สิงหาคม 2014
    ครั้งที่ 2 – 15 ตุลาคม 2014
    ครั้งที่ 3 – 26 พฤศจิกายน 2015 (ครั้งนี้)



    Camel Republic เริ่มเปิดให้บริการเมื่อกลางปี 2557 ตอนที่เรามาครั้งที่ 3 เปิดมาได้ประมาณปีกว่าแล้วค่ะ และการเปลี่ยนแปลงอย่างแรกที่เห็นคือ “ราคาค่าเข้าชม” ... เดิมทีราคาค่าเข้าชมคนละ 120.-บาท แต่มีการปรับราคาลดลงเหลือคนละ 80.-บาท เริ่มเมื่อ 1 พฤษภาคม 2558 (สำหรับเด็กส่วนสูงต่ำกว่า 100 ซม.เข้าชมฟรีค่ะ) นอกจากนี้ยังมีราคาแบบ package ต่างๆแบบรวมเครื่องเล่น สำหรับรีวิวนี้จะเน้นที่โซนสวนสัตว์เป็นหลักค่ะ เนื่องจากว่าลูกหมียังเล็กอยู่ เลยไม่สามารถเล่นเครื่องเล่นอะไรได้มากนัก (แต่จริงๆเขาก็มีโซนเครื่องเล่นสำหรับเด็กเล็กนะคะ แต่ลูกเราก็ขี้กลัวซะเหลือเกิน)

    ++ ภาพเก่า จากครั้งที่ 2 ++


    การเปลี่ยนแปลงอย่างที่ 2 “ความร่มรื่นย์”ค่ะ ... อาจจะด้วยเพราะต้นไม้ที่เริ่มโตและใหญ่ขึ้น เลยทำให้มีร่มไม้ไว้หลบร้อนมากขึ้น

    จำ ได้ว่าตอนได้ยินชื่อ Camel Republic ครั้งแรก รู้สึกดีจังที่บ้านเราจะมีอูฐให้ได้ใกล้ชิด ได้ทดลองขี่เหมือนประเทศทางแถบตะวันออกกลางบ้าง หลังจากที่เห็นแต่ฟาร์มแกะเกลื่อนทั่วบ้านทั่วเมืองตามกระแส ... ส่วนตัวเราชอบอะไรที่แปลกใหม่ ฉีกแนวคิดเดิมๆ สร้างจุดเด่นเป็นของตัวเองและมีจุดขายที่ชัดเจน

    ไม่ได้กลับมาปีกว่า สัตว์ที่นี่ออกลูกออกหลานเยอะแยะมากมาย อย่างอูฐ 2 ตัวในภาพด้านล่างนี้ก็เป็นลูกอูฐที่เกิดและโตที่นี่ค่ะ แต่เขายังไม่ได้รับการฝึกเพื่อให้ขี่และพาเดินได้ ก็เลยรับหน้าที่ในการโชว์ตัวรับอาหารไป ซึ่งอาหารสัตว์ที่นี่จะแยกขาย ไม่ได้รวมกับค่าตั๋วเข้าชม สนนราคาถุงละ 20-40.-บาทแล้วแต่ประเภทของอาหารของสัตว์แต่ละชนิดค่ะ





    ปกติ แล้วเรามักจะป้อนอาหารสัตว์โดยการยื่นให้ตรงๆแบบยาวๆด้วยความเคยชิน จนมาครั้งนี้ถึงได้ตาสว่าง เมื่อเจ้าหน้าที่สอนว่าวิธีให้ที่ถูกต้อง คือให้ถือตามขวางที่ปลายด้านหนึ่ง แล้วเขาจะทานอาหารจากปลายอีกด้านหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อป้องกันปากหรือฟันเขางับโดนมือด้วยค่ะ (ผิดวิธีมาตลอดสินะเรา -.-“)



    โดย แนวคิดของสวนสัตว์ที่นี่ เขาพยายามจัดพื้นที่แล้วเลี้ยงสัตว์ให้เหมือนเขาได้อยู่ในบ้านของเขาเอง แต่หากใครจะซื้ออาหารป้อน ก็สามารถเปิดประตูกรง เดินเข้าไปใกล้ชิดกับเขาได้ ... จากที่ได้สัมผัส สัตว์ที่นี่ค่อนข้างเชื่องค่ะ และมีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างดีในบ้านของพวกเขา ทุกๆหลัง

    ++ แพะแองโกล่าหรือแพะภูเขา ผู้ซึ่งมีนิสัยชอบปีนป่ายบนที่สูง ++


    บ่อเลี้ยงหงส์และเป็ด ...

    มา ครั้งนี้แอบตกใจเพราะเป็ดเต็มบ่อ แถมช่วงนี้เป็นช่วงฤดูออกไข่ด้วยค่ะ ไข่เยอะมากจนเจ้าหน้าที่ต้องเก็บออกและให้ฝ่อไปเอง เนื่องจากว่าไม่มีพื้นที่มากเพียงพอในการรองรับการขยายพันธุ์ของบรรดาฝูง เป็ด

    ++ ภาพเก่าจากครั้งแรก จะเห็นว่าสระยังโล่งๆ ไม่เยอะมาก ++


    ++ ภาพเก่าจากครั้งแรก จะเห็นว่าสระยังโล่งๆ ไม่เยอะมาก ++




    ++ ภาพจากครั้งล่าสุด น้องเป็ดว่ายน้้ำเล่นเต็มสระ ++


    ++ ทางซ้ายมือ เป็นเป็ดวู๊ดดั๊ก ++


    อัลปาก้า ...
    ขอบอก ว่าเราเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าอัลปาก้าคือแกะชนิดหนึ่ง ด้วยเพราะลักษณะของขนปุยๆเหมือนเจ้าแกะ เพียงแต่คอยาวกว่า ... จนถึงวันนี้ได้ตาสว่างอีกรอบว่า อัลปาก้าคือ”อูฐ”สายพันธุ์หนึ่งค่ะ เจ้าตัวใหญ่เชื่องและเป็นมิตรมาก เดินเข้าหาลูกหมีทันทีที่เห็นหน้า ส่วนคุณลูกหรือคะ? วิ่งหนีก่อนเลยค่ะ กว่าจะตั้งหลักผูกสัมพันธ์กันได้ ... แหม ! เขาก็แค่อยากทักทายด้วยนิดหน่อยเอง





    ยีราฟ ...
    เจ้า สัตว์รูปร่างสูงยาว มีลิ้นที่หนาและหยาบมาก เขาจึงทานใบไม้ได้หลายชนิด รวมถึงใบประเภทมีหนาม ... แต่ยีราฟที่นี่เขาจะทานกล้วยค่ะ โดยจะเสียบไม้อำนวยความสะดวกให้



    ++ ยังแอบกลัวอยู่ ขอยืนหลบหลังกำแพงนิดนึง ++


    กรงนก ...
    และ แล้วก็มาถึงมุมโปรดของลูกหมีเขาล่ะค่ะ ต้องบอกว่าตอนมาถึงคุณลูกวิ่งเข้าหากรงนี้ก่อนเลย จนพอใจถึงยอมออกมาทักทายเล่นกับสัตว์ตัวอื่นๆบ้าง



    ดารา เด่นของจุดนี้คือ “นกซันคอนัวร์” ด้วยความที่เขาแสนเชื่อง จะบินลงมาเกาะแขนและทานอาหารจากมือ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างหลงเสน่ห์ในความเชื่องของเจ้านกชนิดนี้ล่ะค่ะ (แม่หมีเลยกระเป๋าฉีก หมดค่าอาหารนกไป 200 กว่าบาทหรือมากกว่า 10 ถุง)

    ไม่เจอกันปีกว่า บรรดาน้องนกโตกันขึ้นเยอะเลยค่ะ โดนเกาะแขนที 4 ตัวพร้อมกันนานๆนี่ มีแอบเมื่อยแขนนะ เพราะตัวใหญ่และหนักขึ้นเยอะ





    ฟลามิงโก้ ...
    อีก หนึ่งกิจกรรมแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอจากที่อื่นมาก่อน คือการป้องอาหารนกฟลามิงโก้ ... อาจจะดูไม่แปลกนะกับคำว่าป้อนอาหารสัตว์ แต่สำหรับนกฟลามิงโก้ เราไม่เคยเจอจากที่อื่นมาก่อนเลยจริงๆค่ะ



    เท่า ที่สอบถามดู เขาใช้เวลาฝึกอยู่นานเหมือนกันค่ะ กว่าจะยอมมาทานอาหารจากมือ ซึ่งอาหารของเขาจะผสมน้ำและใส่มาในขัน เวลาเขารุมล้อมเข้ามาทานคือจิกครึ่กๆๆๆ อารมณ์เหมือนเครื่องปั่นยังไงยังงั้นเลย ... เปียกเลอะเทอะกันไปบ้าง แต่มาถึงตอนนี้คุณลูกหมีสนุกแบบไม่ยอมถอยแล้วค่ะ เลอะยังไงก็ยอม



    บ่อปลาคาร์ฟ ...
    มีกิจกรรมป้อนอาหารปลาคาร์ฟเช่นกันค่ะ โดยป้อนผ่านขวดนม และในอนาคตเขามีแผนเพิ่มกระต่าย รอบๆบ่อปลาด้วยค่ะ



    .
    .
    .

    เกือบ จะบ่ายโมงแล้ว เรามานั่งทานเครื่องดื่มเย็นๆคลายร้อน รอเวลาไปขี่อูฐต่อค่ะ ... ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่รอมานานมากทีเดียว เพราะตอนมาที่นี่ 2 ครั้งแรก ยังไม่มีกิจกรรมขี่อูฐ เพราะอูฐยังอยู่ระหว่างการฝึกและยังไม่พร้อมให้บริการ ซึ่งครูผู้สอนต้องจ้างมาจากต่างประเทศกันเลยทีเดียว การขี่อูฐยังถือเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่สำหรับบ้านเรา และคาดว่าจะมีที่นี่ที่เดียวในประเทศไทยค่ะ ที่มีอูฐที่ผ่านการฝึกแล้ว ให้ได้ทดลองขี่กัน

    อูฐที่นี่เขาจะมีเวลาทำงานค่ะ ไม่ใช่ว่ามาถึงเวลาไหนก็จะขี่ได้เลย เขามีเวลาทำงานมีเวลาพักเหมือนคน เป็นการสร้างนิสัยให้เขาด้วยค่ะ ซึ่งเราไปถึงช่วงเขาพักเที่ยงพอดี ก็เลยต้องรอเวลากันสักนิดนึง

    เมื่อพร้อมจะขี่อูฐแล้ว ทางผู้ดูแลก็จะแต่งตัวให้อูฐ รวมถึงคนจูงก็จะแต่งตัวด้วยค่ะ ... ก่อนจะขึ้นขี่อูฐ เขาก็จะเข้ามาทักทายและขอทำความคุ้นเคยกับเราก่อนค่ะ โดยการขอดมมือ ... ถ้าสังเกตเบาะรองนั่งบนหลังอูฐ จะเห็นว่านั่งได้ 2 คนพร้อมกัน เพราะเขาสามารถรับน้ำหนักได้ถึง 4 เท่าจากน้ำหนักตัวเขาเอง เลยสามารถขี่ได้ 2 คนพร้อมๆกัน และนิสัยอีกอย่าง เขาจะทำตามอูฐตัวหน้าค่ะ เช่น การเดินหรือหยุด เพราะฉะนั้นแล้ว จึงสามารถใช้เชือกผูกเดินตามกันและใช้คนจูงเพียงคนเดียว



    เส้น ทางการขี่อูฐด้านใน มีการตกแต่งสถานที่ให้ได้บรรยากาศเหมือนกลางทะเลทรายค่ะ มีต้นตะบองเพชร และในอนาคตจะมีเส้นทางที่ยาวขึ้น โดยการเดินออกไปด้านนอก บริเวณใกล้ๆลานจอดรถ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างค่ะ



    ด้าน ในมีการจำลองสถานที่ให้เหมือนกับการตั้งแคมป์พักแรมหรือโอเอซิสกลางทะเลทราย และไฮไลท์ของเราอยู่ที่ตรงนี้ล่ะค่ะ คือตอนขึ้นขี่อูฐน่ะไม่ลำบาก แต่จะลงจากหลังอูฐยังไงคะ !?!? ... เขาจะสั่งให้อูฐนั่งลงค่ะ แต่ตอนที่อูฐนั่งเนี่ยต้องมีเทคนิคค่ะ มิเช่นนั้นอาจจะหน้าคมำ กลิ้งลงไปได้เลย



    น้อง อูฐเขาจะนั่งโดยการย่อขาหน้าลงก่อน ซึ่งจะทำให้เรากลิ้งไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นก่อนเขาย่อเข่าลง เราจะต้องเอนหลังไปด้านหลังให้มากที่สุด (เพื่อไม่ให้หน้าคว่ำ) แล้วเหยียดแขนให้ตรง ... เราเคยขี่ม้า ขี่ช้างมาก่อนนะคะ แต่ยอมรับว่าตอนน้องอูฐนั่งลงนี่หวาดเสียวจริงๆ คือ เอนหลังสุดๆแล้ว แต่หน้ายังเกือบจะคว่ำได้ (โปรดดูสีหน้าจากภาพประกอบ แอบเกร็งจริงๆ 555++)



    ++ ตอนแรกกลัวไม่ยอมขี่อูฐ พออูฐนั่งเฉยๆล่ะ วิ่งมาขอลองขี่บ้างเชียว ++


    ต้องขอขอบคุณทาง Camel Republic สำหรับโอกาสได้ลองขี่อูฐครั้งแรกในชีวิตค่ะ

    ++ ระหว่างถ่ายรูปเล่นในโอเอซิส น้ออูฐก็นั่งรอใกล้ๆอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ++


    ปิด ท้ายกันด้วยเครื่องเล่นสักหนึ่งชนิด เรียกว่า Eagle Zipline นั่งขึ้นไปชมวิวสวยๆด้านบน ก่อนจะปล่อยเก้าอี้ไหลลงมาตามสลิง ... สนุกสนานกันจนเลยเวลา เดินทางกันต่อค่ะ ยังไม่ถึงหัวหินเลย ^^”




     
    • โพสต์-3
    Nina •  กุมภาพันธ์ 02 , 2559

    Alpaca Restaurant - สาขาชะอำ


    ALPACA RESTAURANT
    – สาขาชะอำ -

    พิกัด : เลยแยกไฟแดงทางเข้าหาดชะอำ (มุ่งหน้าไปทางหัวหิน)
    มาประมาณ 4 -5 กม. ติดกับโครงการ The Energy
    เปิดให้บริการทุกวัน 11.00น.- 22.00น.
    https://www.facebook.com/AlpacaRestaurant
    http://www.alpacarestaurant.com

    :+: :+: :+: :+: :+: :+: :+: :+:

    ต่อจาก Camel Republic มุ่งหน้าสู่หัวหิน
    เป้าหมายมื้ออาหารกลางวันของเรา
    อยู่ที่ร้านอาหารเปิดใหม่บนเส้นทางผ่านไปยังหัวหินค่ะ



    พิกัดเลยทางแยกเข้าหาดชะอำมาประมาณสัก 4-5 กม.
    ร้านโดดเด่นอยู่ริมถนนทางซ้ายมือ ด้วยสนามหญ้าหน้าร้าน
    และภาพวาดสีสันสดใสของเจ้าอัลปาก้า



    ร้านที่สาขาชะอำ ถือเป็นสาขาที่ 2 ของร้านนี้ค่ะ
    โดยสาขาแรกอยู่ที่อ.โพธาราม จ.ราชบุรี



    โดยส่วนตัวแล้ว เราไม่เคยทานร้านนี้มาก่อนทั้ง 2 สาขาค่ะ
    แต่ก็เคยอ่านเจอบทความและรีวิวของร้านนี้มาบ้าง

    สำหรับสาขาชะอำ เพิ่งเปิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558
    ตอนที่เราไปคือปลายเดือนพฤศจิกายน เปิดได้ไม่ถึง 1 เดือนค่ะ

    ภายในร้านมีทั้งส่วน indoor ห้องแอร์และ outdoor รับลมธรรมชาติ
    ตกแต่งทันสมัย สวยงาม





    เด่นด้วยภาพวาดบนผนัง
    และการหยิบจับอุปกรณ์ประมงมาประดับตกแต่งร้าน





    ช่วงเย็นเวลาประมาณ 1700 – 1900 น.
    ทางร้านจะปล่อยเจ้าอัลปาก้าออกมาเดินเล่นที่บริเวณสวนหน้าร้านค่ะ
    และสามารถซื้ออาหารป้อนอัลปาก้าได้ตามอัธยาศัย
    (แอบเสียดายว่าเราไปถึงบ่าย 2 เลยไม่ได้ยลโฉมน้องอัลปาก้าเลย)

    ++ ลานสนามหญ้าหน้าร้าน ที่ตอนเย็นๆทางร้านจะปล่อยอัลปาก้าออกมาเดินเล่นค่ะ ++


    สำหรับรายการอาหารมื้อนี้ ไม่ได้ถ่ายเน้นแต่ละเมนูนะคะ
    ขอเสนอเป็นแบบภาพรวม คร่าวๆมีดังนี้ค่ะ
    ต้มยำกุ้งมะพร้าวอ่อน (250.-บาท), ผัดผักบุ้งซอย (140.-บาท),
    เมี่ยงกุ้งสด, หมึกไข่นึ่งมะนาว, ไข่เจียวหมูสับ (ของคุณลูก)



    แอบสะดุดตากับผัดผักบุ้งที่หั่นมาเป็นเส้นๆเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยว
     เพราะเคยเห็นโฆษณามีดหั่นผักบุ้งแบบนี้ในเว๊บไซต์
    แต่ยังไม่เคยเห็นร้านไหนหั่นแบบนี้มาก่อน

    สนนราคาค่าเสียหาย ไม่แน่ใจนัก (จำราคาได้แค่บางเมนูที่เขียนไว้ข้างต้น)
    เพราะทาง Amari เขาดูแลดีจริงๆสำหรับทริปนี้
    อาหารมื้อนี้ เขาจัดให้ค่ะ



    คุณลูกหมีรีบทาน แล้วก็รีบไปเล่นต่อ
    เพราะที่นี่เขามีโซนห้องเด็กเล่นให้โดยเฉพาะค่ะ
    พื้นห้องบุนิ่ม มีบ่อบอล เครื่องเล่นเด็กนิดหน่อย และสไลเดอร์
    อาจจะไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่ก็พอจะดึงดูดเด็กให้เล่นไม่ยอมเลิก

    ทานอาหารเสร็จ เลยยังไม่ได้ไปไหนต่อ
    โดนเด็กดึงไว้ ขอเล่นสนุกต่อ
    -.-“



    สำหรับมุมห้องเด็กเล่นนี้ จะเป็นห้องกระจก ติดแอร์
    และมีโต๊ะอาหารแบบนั่งติดกระจกอยู่ด้านนอก (open air)

    เราเห็นครอบครัวหนึ่ง นั่งทานข้าวอยู่ด้านนอก
    แล้วคอยนั่งดูลูกที่เล่นอยู่ในห้องแบบใกล้ๆ
    นับว่าอำนวยความสะดวกดีทีเดียวค่ะ
    (ใครมีลูกเล็กคงเข้าใจ เพราะบางทีเด็กติดเล่น
    พ่อกับแม่ต้องคอยผลัดกันเฝ้า เปลี่ยนกันทานข้าว)

    และแล้วก็ถึงเวลาเดินทางต่อ โดยยังไม่ได้เห็นหน้าอัลปาก้าเลย
    แต่ชอบที่นี่มาก กับความเอาใจใส่ลูกค้าที่มาเป็นครอบครัว
    เพราะไม่ได้มีแค่มุมห้องเด็กเล่น
    แต่ยังมีอุปกรณ์จาน-ชาม-ช้อน-ส้อม-แก้วน้ำ
    สำหรับเด็กโดยเฉพาะด้วยค่ะ

    หากมีโอกาสผ่านไปอีกครั้ง จะขอลองเป็นมื้อเย็นดูบ้าง
    เพราะอยากเห็นหน้าน้องอัลปาก้าค่ะ
    ^^



    ((… to be continued …))

    :+: :+: :+: :+: :+: :+: :+: :+:

    • โพสต์-4
    Nina •  กุมภาพันธ์ 03 , 2559

    Amari Hua Hin

    AMARI HUA HIN
    ที่ตั้ง : ทางไปเขาตะเกียบ
    https://www.facebook.com/amarihuahin
    http://www.amari.com/huahin

    :+: :+: :+: :+: :+: :+: :+: :+:

    แวะเที่ยว Camel Republic แวะทานมื้อกลางวันที่ Alpaca Restaurant แล้ว
    ก็ได้เวลาเดินทางสู่ที่พักค่ะ

    Amari Hua Hin - ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของแคมเปญ
    Discover "Hua Hin" The Amari Way
    ซึ่งมอบโอกาสให้เราเป็นผู้โชคดี 1 ใน 3 ของกิจกรรมนี้
    :)

    ส่วนตัวแล้ว เราไม่เคยเข้าพักโรงแรมในเครืออมารีมาก่อน
    เคยแต่ไปร่วมสัมมนาในโรงแรมอมารีที่กรุงเทพฯ

    และภาพของอมารีที่เราเคยเห็นผ่านตา ก็ถูกลบออกไป
    เมื่อย่างก้าวแรกที่มาถึงที่นี่ .... “อมารี หัวหิน”



    “อมารี สีสันและจังหวะแห่งเอเชียสมัยใหม่”
    คำจำกัดความนี้มีขึ้น
    หลังจากมีการ rebranding แบรนด์อมารีใหม่ในรูปโฉมที่ทันสมัยมากขึ้น

    และเราก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
    เพราะภาพลักษณ์ที่เราเคยมีต่ออมารีได้เปลี่ยนไป จากการได้มาสัมผัสในครั้งนี้

    นอกจากนี้ อมารี หัวหินยังถือเป็นโรงแรมต้นแบบของโรงแรมอมารีสาขาอื่นๆ
    หลังจากการมีการ rebranding
    (อมารี หัวหินเป็นโรงแรมสร้างใหม่ เปิดได้ประมาณ 3 ปี)
    .
    .

    บริเวณโถงต้อนรับหรือ lobby เป็นเพดานสูงโปร่ง
    ตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงิน-ขาว ให้ความรู้สึกของการมาเที่ยวทะเล

    ++ แอบมาเก็บภาพล๊อบบี้ยามดึก เพราะช่วงกลางวันคนเยอะตลอด ++


    ทราบมาว่า เนื่องจากอมารีหัวหินไม่ได้อยู่ติดชายหาด
    เลยพยายามนำสิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัวรอบๆ นำมาประดับตกแต่งรวมไว้ในโรงแรม
    ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล
    (นึกภาพตามง่ายๆ แบบเดียวกับที่พระราชวังมฤคทายวันค่ะ)

    การตกแต่งแบบคลาสสิก
    หากแต่ดูไม่เก่า มีความทันสมัยแฝงอยู่ในตัวเอง

    ได้บรรยากาศบ้านพักตากอากาศของเมืองหัวหิน ซึ่งเป็นที่นิยมในอดีตกาล
    เท่าที่สังเกต รูปภาพติดผนังที่นี่ จะเป็นสีขาวดำทั้งหมด
    ไม่เว้นแม้แต่ภาพวาดที่ประตูลิฟต์



    และทั้งหมด เป็นภาพที่สื่อความหมายของเมืองชายทะเล
    เมืองที่มีเสน่ห์มนต์ขลังมานับตั้งแต่อดีตกาล
    - หัวหิน -


    .
    .

    ครอบครัวเรามาถึงที่พักประมาณ 1600 น.
    ทำการเช็คอิน พร้อมด้วยผ้าเย็นและเครื่องดื่มเย็นที่ถูกเตรียมไว้ต้อนรับ

    โปรแกรมเดิมหลังจากมาถึงที่พัก คือจะมี Afternoon Tea เตรียมไว้ให้
    ที่ Coral Lounge ซึ่งอยู่ติดกับล๊อบบี้

    แต่เนื่องจากมาถึงค่อนข้างเย็นแล้ว
    ประกอบกับลูกหมีร่ำร้องอยากเล่นน้ำ ก็เลยเข้าห้องพักทันที

    ++ โถงหน้าลิฟต์ ++


    ตัวอาคารที่พักจะมีอยู่ 2 อาคารด้วยกัน
    และมีสระว่ายน้ำตรงกลาง

    ++ อาคารด้านซ้าย คือ ตึก 1 และอาคารด้านขวาคือ ตึก 2 ++


    ห้องพักที่นี่ แบ่งเป็น 3 แบบหลักๆ
    * Deluxe จำนวน 207 ห้อง
    * Family Suite จำนวน 8 ห้อง
    * Suite จำนวน 8 ห้อง
    (รวมเป็น 223 ห้อง)

    ////////////////////////////////////////////////////////

    • โพสต์-5
    Nina •  กุมภาพันธ์ 03 , 2559

    Family Suite

    :+: FAMILY SUITE :+:

    การเข้าพักครั้งนี้ เราได้ห้องพักแบบ Family Suite
    ซึ่งประกอบด้วย 1 ห้องนอนเล็ก + 1 ห้องนอนใหญ่ + มุมนั่งเล่น
    มี 1 ห้องน้ำ แต่จัดสรรพื้นที่ได้ดี และกว้างขวางค่ะ
    ซึ่งสามารถเข้าพักได้มากถึง 4 คน
    (พื้นที่โดยรวม 77 ตารางเมตร)

    ++ Master Bedroom ++


    ภายในห้องนอนเล็ก เป็นเตียงคู่ (twin bed)
    พร้อมโต๊ะทำงาน ซึ่งค่อนข้างจะเอนกประสงค์ทีเดียว
    นอกจากนี้ ยังมี stationery set เตรียมไว้ให้ด้วยค่ะ



    เราชอบไอเดียบานเลื่อนกระจกติดกับโต๊ะทำงาน
    เมื่อปิดบานเลื่อน ก็สามารถแทนโต๊ะเครื่องแป้งได้
    แต่เมื่อเปิดออก จะทะลุถึงโถงทางเดินทำให้มีพื้นที่ในการวางของมากขึ้น
    เมื่อเดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมสัมภาระจุกจิก

    ++ ยามเมื่อปิดบานเลื่อน ++


    ++ เมื่อเปิดบานกระจกออกและมองจากฝั่งด้านนอกเข้าไปยังห้องนอน ++


    ถัดไปยัง มุมห้องนั่งเล่น
    Welcome Fruits และโถขนมเล็กๆถูกจัดเตรียมไว้
    พร้อมกับเก้าอี้โยก



    ห้องนอนใหญ่เป็นเตียงเดี่ยวแบบ King Size
    พร้อมหมอนหนุนมากมายหลายใบ
    (อันนี้ก็ชอบเป็นการส่วนตัว เพราะสามีเป็นคนนอนหนุนหมอนสูงๆค่ะ)







    หัวเตียง ติดกับกระจกบานเลื่อนบานใหญ่ เปิดออกสู่ระเบียง
    ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทะเลได้ไกลๆ
    พร้อม iPod Dock ที่หัวเตียง

    ++ ระเบียงนี้ เป็นทั้ง sea view และ pool view ++


    ++ มุมระเบียง สามารถชมแสงแรกของวันได้ในยามเช้า ++


    ++ วิวจากด้านข้างระเบียง ++


    มีเครื่องเล่น DVD ให้ภายในห้องพัก



    ห้องน้ำแยกส่วนเปียก-ส่วนแห้งอย่างดี
    พร้อมอ่างล้างหน้า 2 อ่าง ตามประสาห้องใหญ่พักกันหลายคน



    ห้องอาบน้ำมีทั้งฝักบัว และ rain shower
    แต่ไม่มีอ่างอาบน้ำค่ะ

    อุปกรณ์ Bathroom Amenities ที่นี่ ใส่มาในขวดรูปทรงทันสมัย
    ทราบมาว่าเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในสปา
    (แอบเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชม Breeze Spa เลย)

    ส่วนห้องสุขา สามารถเปิดบานเกล็ด เพื่อชมวิวทะเลได้
    และคำถามที่มักจะโดนถามอยู่บ่อยๆเมื่อเขียนรีวิวที่พัก
    “มีสายชำระหรือไม่?”

    ขอตอบด้วยภาพๆนี้ละกันค่ะ
    (ชิงตอบก่อนเลย)
    v
    v


    Mini Bar ต่างๆ ตามมาตรฐานทั่วไป
    พร้อมกาต้มน้ำร้อน และชา-กาแฟบริการฟรี

    ในส่วนของตู้เสื้อผ้า ... ซึ่งน่าจะเรียกว่า Walk-in Closet มากกว่า
    มีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งเตารีด, ที่รองรีด, beach bag, ร่ม, ชุดคลุมอาบน้ำ,
    ตู้เซฟ, ไฟฉาย, เครื่องชั่งน้ำหนัก, แปรงขัดรองเท้า, ฯลฯ
    (ของเขาเตรียมให้เยอะจริงๆ)
    พร้อมทั้งกระจกบานใหญ่





    พื้นที่กว้างขวาง และเอื้อต่อประโยชน์ใช้สอย
    มีที่วางกระเป๋าเดินทางพร้อม

    มีบานเลื่อนเปิด-ปิด เหมือนห้องเก็บของเล็กๆอีก 1 ห้อง
    เลยสนุกเด็กหมีเขาล่ะ ... เอาไว้เล่นซ่อนแอบ
    ^^”

    ++ จ๊ะเอ๋ !!! ++


    โดยรูปแบบการตกแต่งและการออกแบบประโยชน์การใช้สอยแล้ว
    ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานทุกอย่าง

    เดินเก็บภาพในห้องอย่างมีความสุข
    เพราะมีมุมสวยๆให้เก็บภาพเยอะมาก

    ++ รูปประดับภายในห้องพัก ก็ยังคงเป็นโทนสีขาว-ดำ ++


    เกือบ 1800 น. พนักงานยก afternoon tea set มาบริการให้ถึงห้อง
    เนื่องจากเตรียมไว้ให้แล้ว



    เล่นเอาอึ้งไปพักนึงกับความอลังการ เพราะดูน่าทานมาก
    มีทั้งเบอร์เกอร์, สโคน, เค้ก, เอแคลร์, ถุงทอง ฯลฯ
    เสิร์ฟพร้อมชาร้อนอีก 1 กา
    (เซ็ทนี้สำหรับ 4 คน ราคา 800.-บาทเน็ท)







    คุณลูกเล่นน้ำเสร็จ กลับมาถึงห้องปุ๊ป !
    เห็นเจ้าสิ่งนี้วางอยู่ในห้อง คว้าเข้าปากเลยทันที
    ^^”

    แต่แอบมีโวยวายค่ะ เพราะเบอร์เกอร์เป็นไส้ลาบหมู
    รสชาติออกเผ็ด คุณลูกบอกทานไม่ได้

    โปรแกรมสำหรับมื้อเย็นวันนี้
    เดิมทีคือที่ Shoreline Beach Club”
    แต่เนื่องจากช่วงที่เราเข้าพัก มีการปิดปรับปรุง
    เลยต้องเปลี่ยนสถานที่ ซึ่งทางผู้ดูแลเสนอเป็น”ร้านอยู่เย็น”

    เรามอง afternoon tea set ที่วางตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
    เลยตัดสินใจโทรไปขอยกเลิกมื้อเย็นวันนี้
    เพราะที่มีอยู่ตอนนี้ ทานหมดก็อิ่มจุกล่ะ
    -.-“



    ส่วนตัวแล้ว เราเป็นคนชอบทานขนมหวาน
    ชอบบรรยากาศของ afternoon tea … ชอบนั่งชิลตามร้านกาแฟ

    ขอชมว่า เบเกอรี่ที่นี่อร่อยหลายอย่างเลยค่ะ
    และได้แอบดูราคาจากป้ายโฆษณาที่หน้าห้อง Coral Lounge
    เราว่าราคาก็ไม่ได้แรงมาก เรียกว่าจับต้องได้

    ////////////////////////////////////////////////////////

    • โพสต์-6
    Nina •  กุมภาพันธ์ 03 , 2559

    Lounge & Restaurant

    :+: CORAL LOUNGE :+:

    เอ่ยถึง afternoon tea set แล้ว ก็ขอพูดถึง Coral Lounge สักหน่อย
    เพราะจริงๆแล้ว เขาจะให้บริการที่ Coral Lounge ค่ะ

    Coral Lounge เป็น 1 ใน 5
    ส่วนบริการอาหารและเครื่องดื่มของอมารีหัวหิน
    ซึ่งอยู่ติดกับบริเวณ lobby



    ไม่ขอเรียกว่าห้องอาหารนะคะ (ตามชื่อของเขา คือ เลาจน์)
    เพราะห้องนี้เป็นแนวบริการขนมและเครื่องดื่ม มีทั้งชา-กาแฟ-ค๊อกเทล
    มีบริการขนมชิ้นเล็กๆ ในราคามิตรภาพ

    ภายในบริเวณ coral lounge เพดานสูงโปร่ง
    ประดับด้วยโคมไฟทรงปะการังสีแดง เข้ากับชื่อห้อง



    โดยรอบตกแต่งด้วยภาพม้า หมากรุก และปลาดาว
    (น่าจะ)สื่อความหมายถึงบรรยากาศชายหาดหัวหิน
    ที่เป็นถิ่นมีหอยและมีม้าเดินไปมา









    ////////////////////////////////////////////////////////

    :+: SHORELINE BEACH CLUB :+:

    ร้านอาหารริมหาด เน้นเมนูแบบบาร์บีคิว
    ซึ่งมีทั้งแบบพร้อมเสิร์ฟและปิ้งย่างด้วยตัวเอง

    เป็นที่น่าเสียดายว่า ที่นี่ปิดปรับปรุงเพื่อทำสระน้ำช่วงที่เราเข้าพักค่ะ
    เลยไม่มีโอกาสได้เห็นสถานทีจริง

    แต่ถึงกระนั้น โฆษณาก็ทำเอาน้ำลายหยดแหมะ
    เมนู BBQ Buffet ทุกคืนวันศุกร์
    ตั้งเป้าหมายว่า ถ้ามีโอกาสกลับไปหัวหินจะขอไปลองสักครั้ง !

    ////////////////////////////////////////////////////////

    :+: AQUA POOL BAR :+:

    บริการอาหารว่าง อาหารจานเดียวและเครื่องดื่มริมสระน้ำ
    แอบเสียดายเหมือนกัน ไม่มีโอกาสได้ลองใช้บริการ



    ////////////////////////////////////////////////////////

    :+: MOSAIC :+:

    สำหรับมื้อเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ เราฝากท้องเอาไว้ที่ห้องอาหารแห่งนี้ค่ะ
    ตกแต่งสวยงาม สีสันสดใส







    จากการเข้าพัก 3 วัน 2 คืน และทานอาหารมื้อเช้าที่นี่ 2 วันติด
    แอบสังเกตเห็นว่า เมนูอาหารบางอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไม่ให้ซ้ำซากจำเจ
    จะคงไว้แต่เมนูหลัก อย่างแฮม เบคอน เมนูไข่ ฯลฯ

    ยกตัวอย่าง เช้าวันแรกมีเมนูโจ๊กและข้าวต้ม
    แต่วันถัดมาเป็นก๋วยเตี๋ยวค่ะ

    โดยรวมแล้วถือว่าหลากหลายใช้ได้ค่ะ
    โดยเฉพาะเมนูเครื่องดื่ม ซึ่งจะมีบางเมนูเปลี่ยนไปในแต่ละวันเช่นกัน

    ที่นี่ไม่ได้มีแค่น้ำผลไม้
    แต่มีเครื่องดื่มประเภท smoothies เป็นน้ำผลไม้ปั่นกับโยเกิร์ตด้วยค่ะ



    ขอเอ่ยปากชมนิดนึง ... เราลงมาทานอาหารเช้าใช้เวลาไม่ถึง 1 ชม.
    เพราะคุณลูกหมีร่ำร้องจะไปว่ายน้ำเล่น เลยกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องพัก
    เข้าไปถึงแม่บ้านทำความสะอาดห้องไว้ให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็วมาก
    ทั้งๆที่ไม่ได้แจ้งอะไรเป็นพิเศษเป็นการส่วนตัว
    ประทับใจกับการบริการที่ใส่ใจและรวดเร็วค่ะ
    ^^

    ////////////////////////////////////////////////////////

    :+: REEF DELI & WINE LOUNGE :+:

    อีก 1 ห้องอาหารที่มีโอกาสได้ใช้บริการ เป็นมื้อเย็นวันที่ 2 ค่ะ
    ส่วนตัวแล้ว ชอบการเล่น lighting แสงและเงาของห้องอาหารนี้มาก
    เลยเก็บภาพมาซะเยอะเลย











    นอกจากบริการอาหารแล้ว ห้องนี้ยังเหมือนแหล่งรวมไวน์ชั้นดี
    แต่ไม่ได้ลองอีกล่ะ เพราะไม่ดื่มไวน์
    ^^”

    สำหรับอาหารเมนูเด็ดที่ได้รับการเสนอจากการเข้าพักครั้งนี้
    ได้แก่ แพนงเนื้อแกะ ... รสชาติเข้มข้นทีเดียวค่ะ

    พ่อหมีเป็นคนชอบทานเนื้อแกะอยู่แล้วด้วย ถึงกับชมเลยทีเดียว
    เพราะกลิ่นเนื้อแกะไม่แรง แถมเข้ากันได้ดีกับเครื่องแกงอย่างแพนง
    v


    สะเต๊ะไก่ ... ที่เน้นการนำเสนอ
    ทำ presentation ได้ดูดีน่ารัก ไม่มากและไม่น้อยไป
    v


    ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว ... เนื้อปลาสด อร่อย
    รสชาติกลมกล่อม
    v


    ข้าวอบสัปปะรด

    v


    เครื่องดื่ม Apple Lychee
    ซึ่งช่วงที่เข้าพัก เขามีกิจกรรมให้ร่วมผ่านทาง social network
    สามารถแลกรับเครื่องดื่มชนิดนี้ได้ฟรีค่ะ
    v


    ปิดท้ายด้วยของหวานแบบโมเลกูล่า Mango Caviar
    ซึ่งเขาจะใช้หลักวิทยาศาสตร์มาช่วยในการปรุงแต่งอาหาร
    (โดนคุณลูกหมีแย่งทานไอศกรีมหมดเลย)
    v


    ////////////////////////////////////////////////////////

    • โพสต์-7
    Nina •  กุมภาพันธ์ 03 , 2559

    Facilities

    จบเรื่องส่วนบริการอาหารและเครื่องดื่มทั้ง 5 แห่งไปแล้ว
    มาชม facilities ส่วนกลางกันต่อค่ะ


    :+: MAIN POOL :+:

    สระว่ายน้ำกลางแจ้ง มีความยาวกว่า 38 เมตร







    เนื่องจากที่พักไม่ได้อยู่ติดทะเลหรือชายหาด
    เขาจึงจำลองชายหาด มาไว้ที่สระว่ายน้ำส่วนกลางค่ะ



    โดยการให้ความรู้สึกของสีน่ำตาลแทนหาดทราย
    พื้นเทลาดลงสู่พื้นน้่ำ แทนการใช้ขั้นบันไดหรือมีขอบปูน
    กระเบื้องสีฟ้าไล่ระดับสี แทนความตื้น-ลึกของน้ำ



    ระแนงไม้ที่ยื่นออกไปในสระ
    ไห้ความรู้สึกเหมือนท่าเรือ (หรือเหมือนสะพานปลาดี??)





    [ Shuttle Service ]
    ถึงแม้ที่พักจะไม่ได้ติดชายหาด
    แต่เขามีรถ Shuttle Service รับ-ส่งระหว่างตัวโรงแรมและชายหาด
    บริการฟรี สำหรับแขกที่เข้าพักที่โรงแรม

    รอบเช้าสุดตั้งแต่เวลา 0600 น.
    จนถึงรอบสุดท้าย รับกลับเวลา 2305 น.
    ให้บริการทุกๆ 30 นาที

    นอกจากนี้ ยังมีบริการรับ-ส่งจากโรงแรมไปยังหอนาฬิกาด้วยค่ะ
    วันละ 4 รอบเวลา
    สะดวกสำหรับคนที่อยากไปตลาดโต้รุ่ง
    แต่ไม่อยากขับรถไปเอง หรือเสียเวลาวนหาที่จอดรถ
    (แต่ถ้าอยากไปตลาดจักจั่นหรือ Cicada ก็เดินไปจากรร.ได้เลยค่ะ)

    ////////////////////////////////////////////////////////

    :+: KID’S POOL:+:

    อยู่ใกล้ๆกับ Aqua Pool Bar ค่ะ
    ลูกหมีไม่มาเล่นที่สระนี้เลย เพราะว่ายน้ำได้แล้วและชอบดำน้ำงมของ
    เลยเมินกับสระติ้นๆซะล่ะ



    ////////////////////////////////////////////////////////

    :+: FITNESS CENTER :+:

    ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ถือว่าไม่ขาดหายค่ะ



    ////////////////////////////////////////////////////////

    :+: KID’S CLUB :+:

    อยู่ในบริเวณเดียวกันกับ Fitness Center
    ที่นี่จะมีห้องเด็กเล่น ที่ให้บริการฟรี มีของเล่นให้เลือกเล่นตามชอบ
    รวมถึงมีแผ่นการ์ตูนให้ดู



    กับส่วนกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
    ตามตารางกิจกรรมในแต่ละวัน



    ซึ่งลูกหมีมีโอกาสได้ลองทำ”เทียนเจล” เป็นครั้งแรก
    เห็นลูกตั้งใจทำมาก ก็ดีใจค่ะ
    ได้ผลงานกลับบ้านไปอวดคุณปู่-คุณย่า


    .
    .

    เป็นอันว่าจบการพาทัวร์โรงแรมอมารี หัวหิน
    ซึ่งจริงๆแล้ว ยังถือว่าเราตกหล่นอยู่อีกหลายแห่ง
    ไม่ว่าจะเป็น ...
    * Breeze Spa - ที่ไม่มีโอกาสได้ลองใช้บริการ
    * Aqua Pool Bar - ไมไ่ด้ใช้บริการเช่นกัน
    * Shoreline Beach Club - เพราะปิดปรับปรุง

    ////////////////////////////////////////////////////////

    เต็มอิ่มกับที่พักสวยๆ บรรยากาศดีๆไปแล้ว
    แต่การเดินทาง 3 วัน 2 คืนของครอบครัวหมียังไม่จบค่ะ

    ตอนต่อไป จะพาไปเที่ยวใกล้ๆโรงแรม กับ"สวนน้ำ Vana Nava"
    ที่ใช้เวลาเดินทางไปจากที่พักไม่ถึง 10 นาที


    ปล. เด็กหมีคนนี้ชอบเล่นน้ำมากกกก
    แช่น้ำได้ทั้งวันเลยฮับ

    • โพสต์-8
    Nina •  กุมภาพันธ์ 04 , 2559

    Vana Nava

    VANA NAVA HUA HIN
    เปิดทุกวัน เวลา 1000 – 1800 น.
    (ช่วง high season เปิดให้บริการถึง 2100 น.)
    https://www.facebook.com/VanaNavaHuaHin
    http://www.vananavahuahin.com
    /////////////////////////////////////

    วันที่ 2 สำหรับทริป Discover “Hua Hin” The Amari Way
    หลังจากอาหารมื้อเช้า ที่ห้องอาหาร Mosaic
    ลูกหมีขอไปเล่นน้ำที่สระส่วนกลางโรงแรมก่อนอีกครั้ง
    ถึงแม้วันนี้เราจะมีโปรแกรมจะไปสวนน้ำ Vana Nava กันทั้งวัน

    เด็กหมีชอบเล่นน้ำมากกกกค่ะ
    ขอบอกว่า วันที 2 ของการเข้าพักครั้งนี้ แช่น้ำทั้งวัน
    เช้ามาลงเล่นสระน้ำโรงแรม ... สายไปต่อที่ Vana Nava จนเกือบเย็น
    เย็นกลับมาเล่นสระน้ำที่โรงแรมอีกรอบจนมืด
    (แช่น้ำทั้งวันจนตัวเปื่อย ครีบจะงอก จะหายใจทางเหงือกแล้วค่ะ)
    5555++

    ปล่อยให้ลูกหมีให้เล่นสนุกเต็มที่ ในวันพักผ่อน
    ตามประสาเด็กที่มีพลังงานเหลือเฟือ


    .
    .

    จากโรงแรมอมารีหัวหิน เดินทางไปยังสวนน้ำ Vana Nava
    ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาทีสำหรับรถยนต์

    ครอบครัวหมีเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก
    แต่เห็นที่นี่มาตั้งแต่ยังก่อสร้างอยู่เลยค่ะ ได้ติดตามข่าวสารอยู่บ้าง
    และรอเวลาที่จะเปิดเป็นทางการ

    จนสบโอกาส
    เมื่อ Discover “Hua Hin” The Amari Way
    เขาจัดให้สถานที่แห่งนี้ เป็น 1 ในโปรแกรมท่องเที่ยวสำหรับเส้นทางครอบครัว
    ช่วงที่ได้แวะไป ทางสวนน้ำวานา นาวากำลังจัดงานครบรอบ 1 ปีพอดี


    “สวนน้ำ Vana Nava”
    ออกแบบและสร้างภายใต้แนวความคิด “Water Jungle”
    โดยผสมผสานระหว่างความเป็นสวนน้ำและป่าเมืองร้อนเข้าด้วยกัน
    เน้นการออกแบบสวนน้ำให้กลมกลืนกับธรรมชาติ

    มีสไลเดอร์และเครื่องเล่นมาตรฐาน รวม 19 ชนิด
    ผลิตและติดตั้งโดยบริษัทจากต่างประเทศ
    ที่ได้รับการยอมรับด้านการผลิตและติดตั้งเครื่องเล่นสวนน้ำอันดับหนึ่งของโลก
    เพราะฉะนั้นแล้ว จึงเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยของเครื่องเล่นต่างๆ



    โดยส่วนตัวแล้ว ครอบครัวเราเคยไปเล่นสวนน้ำที่อื่นมาก่อนค่ะ
    จึงได้เห็นข้อเปรียบเทียบและความแตกต่าง
    และสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ

    1) ที่บริเวณเครื่องเล่นแต่ละชนิด หากต้องนำห่วงยางเดินถือขึ้นไปเอง
    จะมีป้ายบอกว่า เครื่องเล่นชนิดไหนต้องใช้ห่วงยางแบบไหน
    และเครื่องเล่นชนิดนี้เหมาะสำหรับจำนวนผู้เล่นกี่คน
    (จะมีห่วงยางหลายแบบ ทั้งแบบคนเดียว, 2 คน และ 4-6 คน)
    v


    2) เครื่องเล่นที่ใช้ห่วงยาง นอกจากจำนวนผู้เล่นแล้ว
    ยังถูกจำกัดด้วย’น้ำหนักรวม’ เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้เล่นเอง
    เครื่องเล่นแต่ละชนิดจะกำหนดช่วงน้ำหนักรวมของผู้เล่นทั้งหมด ห้ามขาดหรือเกิน

    จะมีตาชั่งขนาดใหญ่
    ซึ่งผู้เล่นทั้งหมดจะต้องขึ้นไปยืนชั่งพร้อมๆกัน ก่อนนั่งลงบนห่วงยาง
    เพื่อให้ได้น้ำหนักตามเกณฑ์ที่กำหนด
    หากขาดหรือเกินกำหนด อาจต้องสลับสับเปลี่ยนกับผู้เล่นอื่น เพื่อความปลอดภัย

    ด้วย 2 ข้อหลักๆข้างต้นนี้ ทำให้เรารู้สึกดี
    ที่เขาให้ความสำคัญและใส่ใจกับเรื่องความปลอดภัยมาก
    .
    .

    ก่อนจะไปชมด้านในสวนน้ำ
    ขอเอ่ยถึงบริเวณรอบนอกและข้อมูลทั่วไปก่อนนะคะ

    สวนน้ำ Vana Nava แบ่งออกเป็น 2 โซน
    โซนแรก - Adventure Zone” อยู่บริเวณด้านนอก
    ไม่เสียค่าเข้า จ่ายแค่ค่าเครื่องเล่นที่ต้องการ
    ประกอบด้วยเครื่องเล่น 3 ชนิด คือ

    1) Ropes Course – ไต่และเดินบนเส้นเชือกที่ระดับความสูง 13.4 เมตร
    2) Climbing Wall – ปีนหน้าผา ความสูง 12.2 เมตร
    ค่าเล่นอย่างละ 150.-บาท/รอบ/เครื่องเล่น
    หรือซื้อบัตรแบบ combo รวม 2 เครื่องเล่นในราคา 250.-บาท



    3) Surf Zone หรือ Flow Rider
    กิจกรรมเซิร์ฟบอร์ด โต้คลื่น ชม.ละ 400.-บาท



    เท่าที่ทราบข้อมูลมา เป็นเจ้าเดียวกับ Flow House Bangkok
    ในโครงการ A Square ที่สุขุมวิท 26 กรุงเทพค่ะ
    https://www.facebook.com/FlowHouseBangkok

    ซึ่งตัวเราเอง เคยไปเล่นโต้คลื่นแบบนี้ที่กรุงเทพฯมาก่อนค่ะ
    ที่กรุงเทพฯคิดราคาต่อรอบแล้วจะแพงกว่า แต่ก็มีช่วงเวลาโปรโมชั่นในแต่ละวัน
    และข้อแตกต่างอีกอย่าง ที่กรุงเทพฯจะมีคอร์สเรียนและสอน

    ในขณะที่ Vana Nava จะไม่มีการสอนแบบคอร์สต่างๆ
    ให้บริการแค่เล่นเซิร์ฟเป็นรอบเวลาเท่านั้นค่ะ
    (แต่ก็มีผู้ฝึกสอนทักษะการเล่นเบื้องต้นให้นะคะ)

    ถามว่ายากมั๊ย??
    เอาเป็นว่า ที่เราเคยลองเล่นครั้งแรก เริ่มจากท่านอน มาเป็นท่านั่ง
    หลังจากนั้นก็ยืนได้แล้วค่ะ แต่ต้องยืนแบบเกาะเชือกไว้นะคะ
    ถ้าปล่อยก็ตู๊มมม !! ถูกพัดไปตามสายน้ำ
    ^^”

    ++ ภาพเก่าของเราเอง ครั้งตอนหัดเล่นที่ Flow House Bangkok ++


    อื่นๆสำหรับโซนแรกนี้ ... Carnival Gifts and Games
    รวมตู้เกมส์แบบหยอดเหรียญ

    ก่อนจะไปต่อยังโซนที่ 2 เพื่อเข้าสวนน้ำ
    ด้านนอกนี้ ยังมีบริเวณล๊อกเกอร์ สำหรับเก็บของนะคะ
    โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในราคาตู้ละ 150.-บาท

    หากไม่อยากเสียเงินเช่า แนะนำว่าไม่ควรนำของมีค่าติดตัวไป
    (แต่เราจำเป็นต้องเช่า เพราะมีกล้องถ่ายภาพ)

    สำหรับผ้าเช็ดตัว ไม่มีให้บริการฟรีค่ะ
    ต้องเช่าใช้เช่นกันในราคาผืนละ 100.-บาท (มีค่ามัดจำอีกผืนละ 100.-บาท)
    แนะนำว่า ควรพกติดตัวไปเอง

    แต่สำหรับห้องอาบน้ำและห้องแต่งตัว ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับห้องล๊อกเกอร์
    จะมีสบู่เหลวและแชมพูให้บริการฟรีค่ะ
    ฉะนั้นแล้วพกไปแค่ผ้าเช็ดตัวพอ
    .
    .

    โซนที่ 2 –Jungle Water”
    โซนสวนน้ำแบบเหมาจ่าย เล่นเครื่องเล่นได้ทุกชนิด
    โดยมีค่าเข้าสวนน้ำทั้งแบบแยกจ่ายราคาปกติ, แบบ package
    และแบบโปรโมชั่นต่างๆ

    Note : บัตรสวนน้ำสำหรับผู้ใหญ่ (สูงตั้งแต่ 122 ซม.ขึ้นไป) คนละ 1,000 บาท
    บัตรสวนน้ำสำหรับเด็ก (สูงตั้งแต่ 91 – ไม่เกิน 122 ซม.) คนละ 600.-บาท
    ** ส่วนสูงต่ำกว่า 91 ซม. เข้าฟรี **
    บัตรสวนน้ำสำหรับผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป)

    แบบ family package ผู้ใหญ่ 2 คน + เด็ก 2 คน
    ราคา 2,600.- บาท

    ราคาโปรโมชั่น ... ช่วงที่ไปมี Twilight Promotion ค่ะ
    เฉพาะคืนศุกร์-เสาร์ ในช่วง high season สวนน้ำจะเปิดถึง 2100 น.
    ซึ่งจะมีรอบพิเศษ สำหรับเข้าสวนน้ำในช่วงเวลา 1800 – 2100 น.
    สำหรับคืนวันศุกร์และเสาร์
    ในราคาคนละ 650.-บาทสำหรับผู้ใหญ่ และราคาเด็กคนละ 300.-บาท
    (เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการหลบแดดช่วงกลางวันค่ะ)

    หมายเหตุ : ข้อมูลราคา ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2558
    .
    .

    หลังจากชำระค่าเข้าสวนน้ำแล้ว จะได้”สายรัดข้อมือ”มาคนละ 1 เส้น
    ซึ่งมีค่ามัดจำเส้นละ 100.-บาท
    (อย่าลืมนำไปคืน ก่อนกลับนะคะ)



    สายรัดข้อมือนี้ อำนวยความสะดวกหลายอย่างค่ะ
    ไม่ว่าจะเป็น...
    1) การชำระแทนเงินสด
    ซึ่งจะเป็นระบบเติมเงินแบบ pre-paid เพื่อใช้ซื้ออาหารและเครื่องดื่มต่างๆ
    แต่ถ้าเงินหมดหรือมูลค่าคงเหลือไม่พอ จำเป็นต้องเติมเงินก่อนนะคะ

    2) ใช้เปิด-ปิดตู้ล๊อกเกอร์ ที่ได้ทำการเช่าไว้

    3) ใช้ผ่านเข้า-ออกสวนน้ำ
    ซึ่งภายใน 1 วันจะเข้า-ออกกี่ครั้งก็ได้

    4) นำสายรัดนี้ ไปแตะที่จุดบริการก่อนเล่นเครื่องเล่นต่างๆ
    จากนั้นนำไปสแกนที่ Canon บูธในสวนน้ำ มีหลายแห่งกระจายตามจุดต่างๆ
    เพื่อเก็บภาพความสนุกเป็นที่ระลึก
    (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สำหรับภาพถ่ายค่ะ)

    และแล้วก็ถึงเวลาที่รอคอย
    (พล่ามมาเยอะมากกก กว่าจะถึงสวนน้ำ ^^")
    ขอพาทัวร์แบบเจาะเครื่องเล่นแต่ละชนิดนะคะ

    ภาพประกอบอาจจะมีไม่ครบทุกประเภท
    เพราะว่าเก็บภาพเสร็จ ก็รีบเอากล้องไปเก็บที่ล๊อกเกอร์แล้วไปเล่นน้ำ

    มัวแต่ห่วงเล่น พอกลับมาเปิดภาพดู
    อ้าววว ... หายไปหลายจุดเลย
    ^^”

    ขอเริ่มจากเครื่องเล่นไฮไลท์ สีฟ้า-เขียว
    โดดเด่นสะดุดตา เห็นมาตั้งแต่ก่อสร้าง เห็นแล้วรู้ทันทีรู้ว่าเป็นสวนน้ำ
    1) Abyss
    ด้วยความสูง 28 เมตร ปล่อยลงมาในลักษณะลูกตุ้มนาฬิกา
    แหว่งไปมาก่อนลงสู่ผืนน้ำด้านล้าง
    ด้วยความเร็ว 45 กม./ชม.
    v



    2) Boomerango – สีเหลืองสลับน้ำเงิน
    ด้วยระยะทางยาว 179 เมตร ถือว่ายาวที่สุดในประเทศไทย
    ตกลงมาด้วยความเร็ว 45 กม./ชม. และเหวี่ยงขึ้นไปสูงถึง 20 เมตร

    ส่วนตัวเคยเล่นแบบนี้ที่อื่นมาก่อน หนเดียวเลิกค่ะ
    เพราะตกลงมาแบบดิ่งและชันมาก
    หวาดเสียวเกิ๊นนน
    >.<






    3) Coconut Beach
    สระคลื่นเทียม ด้วยพื้นที่กว้างถึง 1,600 ตารางเมตร
    ที่นี่จะเด่นด้วยเวทีการแสดงกลางแจ้งค่ะ
    ซึ่งจะมีคอนเสิร์ตต่างๆ จัดแสดง หมุนเวียนเปลี่ยนไป
    ตารางงานต่างๆ ตามลิงค์นี้ค่ะ
    https://www.vananavahuahin.com/th/events





    4) Vanadio (สตูดิโอใต้น้ำ)
    เป็นบริการใหม่ค่ะ ซึ่งเราว่าน่าสนใจมากทีเดียว
    เพราะไม่เคยเห็นจากที่อื่นมาก่อน สนนราคาเริ่มต้นที่ 380.-บาท



    มีทั้งเสื้อผ้าและอุปกรณ์ประกอบฉากให้ด้วย
    ใครว่ายน้ำไม่เป็นก็ถ่ายภาพได้ เขามีอุปกรณ์ช่วยถ่วงลงไป
    (ขอเพียงกลั้นหายใจใต้น้ำได้สักครู่)
    แอบชมรูปคนอื่น มีทั้งแต่งเป็นนางเงือก, ถ่าย pre-wedding ฯลฯ

    เราไม่ได้ใช้บริการด้วยเพียงเหตุผลเดียว
    เพราะใส่ contact lens ค่ะ เลยลืมตาในน้ำไม่ได้
    ไม่งั้นไม่พลาดแน่นอน !
    (จะหลับตาถ่าย ก็กลัวภาพไม่สวยอ่า)




    5) Lazy River
    สระน้ำวน ที่มีความยาวถึง 345 เมตร
    ถือว่ายาวที่สุดในประเทศไทยค่ะ
    v



    6) Infinity Pool
    ผ่อนคลายด้วยการแช่น้ำชิลๆ
    และบริการเครื่องดื่มเย็นๆจากบาร์ Fisherman’s Tavern
    v



    7) Aqua Course
    สนุกกับกิจกรรมเหมือนการเข้าฐาน
    เดินไปตามทางวิบาก ปีนป่ายไปบนทางลื่น
    มีสายสลิงยึดตัวไว้ ป้องกันการตกหล่น และเพื่อความปลอดภัย
    v




    8) Kiddie Cove
    พื้นที่สำหรับเด็ก พร้อมด้วยน้ำพุและสไลเดอร์ขนาดเล็ก
    (มุมโปรดของคุณลูกหมีเขาล่ะ เล่นเพลินทีเดียว)
    v



    9) Rain Fortress
    มุมสำหรับเด็ก ประกอบด้วยสไลเดอร์ 7 อัน
    มุมกลไกฉีดน้ำต่างๆ ที่แอบซุกซ่อนบนเครื่องเล่น
    และถังน้ำขนาดยักษ์ที่จะคอยเทน้ำลงมา ทุกๆ 4-5 นาที

    เครื่องเล่นชนิดนี้ สงวนสิทธิ์สำหรับเด็กๆเท่านั้นค่ะ
    ผู้ใหญ่ไม่สามารถเดินขึ้นไปเองคนเดียวได้
    นอกเสียจากว่า จะพาเด็กเดินขึ้นไปค่ะ
    v


    [Slide Jungle]
    จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
    * แบบที่ใช้ห่วงยางไหลลื่นลงมา และ
    * แบบ body slide

    ขอกล่าวแบบ body slide ก่อนละกันนะคะ
    เขาจะมีกฎระเบียบอยู่ว่า“ต้องใส่ชุดว่ายน้ำเท่านั้น"
    แต่ในส่วนเครื่องเล่นชนิดอื่น อนุโลมเป็นเสื้อยืด-กางเกงขาสั้นได้ค่ะ

    ถ้าหากสวมเสื้อยืดทับชุดว่ายน้ำไว้
    ก็ต้องถอดเสื้อยืดออกค่ะ

    10) Free Fall – สีม่วง
    ด้วยองศาตั้งชันถึง 80 องศา (เกือบตั้งฉากเลยทีเดียว)
    ปล่อยร่วงลงมาที่ความเร็ว 60 กม./ชม.

    11) Aqua Loop – สีฟ้า
    มีลักษณะเป็นท่อและจะถูกปล่อยลงมาด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.
    มีการเหวี่ยงหมุนรอบ 360 องศา

    ((ได้แต่ยืนดู ฟังเสียงคนอื่นกรี๊ดดดลั่น !!
    ส่วนตัวแล้วขอผ่านสำหรับแบบ Body Slide ค่ะ แหะ แหะ))
    >.<


    มาดูแบบใช้ห่วงยาง ลื่นสไลด์ของส่วนนี้กันบ้างค่ะ
    มีทั้งหมด 4 แบบ ใช้ทางขึ้นเดียวกัน
    v


    12) Inner-tube
    สำหรับผู้เล่น 2 คน

    13) Rattler
    ไหลลงมาจากความสูง 13 เมตร
    สำหรับผู้เล่น 4 คน

    14) Super Bowl
    ไหลจากท่อ ลงสู่ชามยักษ์ ก่อนจะหมุนรอบๆแกนกลาง
    และลงสู่ผืนน้ำด้านล่างอีกครั้ง

    15) Master Blaster
    ลักษณะเหมือนรถไฟเหาะ
    เป็นสไลเดอร์ที่ไม่ใช่มีการไหลลงอย่างเดียว
    แต่มีการไหลขึ้นและลงตามจังหวะ

    ขอบอกว่า Master Blaster หวาดเสียวกว่าที่คิดค่ะ
    มีอารมณ์วูบขึ้น-ลงเป็นพักๆ
    >.<
    .
    .

    เป็นอันว่าจบการนำเสนอเครื่องเล่นแต่ละชนิดของสวนน้ำ Vana Nava
    แต่เรื่องเล่าของเรายังไม่จบค่ะ (บอกแล้วว่า พล่ามได้เยอะ)
    ขอเก็บตกข้อมูลอีกสักเล็กน้อย

    **
    นอกเหนือจากเก้าอี้นั่งที่มีให้บริการฟรีแล้ว
    รอบๆบริเวณสวนน้ำ ยังมีศาลาให้เช่าใช้ด้วยค่ะ
    หากใครต้องการหลบในร่ม และมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

    โดยราคาค่าเช่า ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบของศาลา
    ซึ่งมีแบบเล็ก - Beach Hut”
    สำหรับ 2-4 คน (ค่าเช่าวันละ 600.-บาท)
    v


    และแบบใหญ่ –Cabana”
    สำหรับ 6-8 คน (ค่าเช่าวันละ 1,000.-บาท)
    v


    **
    แต่ถ้าหากสัมภาระไม่เยอะ และไม่อยากทิ้งไว้ไกลตัว-ไกลตา
    บริเวณเครื่องเล่นแต่ละชนิด จะมีที่เก็บของเป็นท่อกลมๆลักษณะนี้ให้บริการค่ะ
    จะเก็บรองเท้าก็ดี ใส่ผ้าเช็ดตัวก็ได้
    v


    **
    จุดเติมเงินสายรัดข้อมือ ด้านในสวนน้ำจะมีเพียงจุดเดียวคือที่ Fisherman's Cafe
    อาจจะไม่สะดวกมากนัก แนะนำให้เติมเงินไว้เยอะหน่อย
    หากใช้ไม่หมดค่อยไปแลกคืนภายหลัง
    v


    **
    ในส่วนของบริการอาหารและเครื่องดื่ม
    มีทั้งร้านด้านในสวนน้ำ และด้านนอกติดบริเวณทางเข้าค่ะ

    ซึ่งก่อนมาที่นี่ เคยอ่านเจอว่าอาหารแพงและไม่สมราคา
    เลยอยากเปรียบเทียบให้ดูด้วยภาพนี้ค่ะ
    (โปรดใช้วิจารญาณในการรับชม แค่อยากให้เห็นภาพชัดๆค่ะ)

    เราสั่งนักเก็ตไก่และโค๊กซึ่งเป็นเมนูโปรดของลูกหมี จากร้าน Fisherman's Cafe
    จะบอกว่าร้านที่แวะซื้อระหว่างทางมาหัวหิน
    ยังแพงกว่าในสวนน้ำนิดหน่อยเลยค่ะ
    v


    ส่วนอาหารจานเดียว
    ได้ลองสั่งข้าวหน้าหมูย่าง ราคาจานละ 65.-บาท
    ส่วนตัวแล้ว เราว่าอยู่ในราคาที่รับได้ค่ะ ปริมาณที่ได้รับก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร
    .
    .

    เย็นย่ำแล้ว หมดเวลาสนุกที่สวนน้ำ Vana Nava
    เพราะยังคงมีกิจกรรมอื่นๆ รออยู่ที่ Amari Hua Hin
    ลูกหมีมีนัดกับทาง Kid’s Club

    โทรแจ้งปุ๊ป คนขับรถมารับด้วยเวลาอันรวดเร็ว
    เลยไม่ทันได้เดินเล่นดูของที่ระลึกเลย

    แต่ขอชมว่าคอยดูแลและบริการดีมาก
    เปิดประตูรถมา มีผ้าขนหนูห่อถุงพลาสติกวางไว้ให้บนที่นั่งครบ 3 ผืน

    ใส่ใจถึงขนาดนี้ ประทับใจสุดๆ
    แถมกลับมาถึงที่พัก ยังมีของขวัญชิ้นโตไว้เซอร์ไพส์คุณลูกหมีอีก
    .
    .

    กิจกรรมของเรากับ Discover “Hua Hin” The Amari Way ยังไม่จบค่ะ
    ไว้มาต่อตอนต่อไป (ตอนที่ 5 ตอนสุดท้าย) กับกิจกรรมวันที่ 3
    “พิพิธภัณฑ์ภาพ 4 มิติ – For Art’s Sake”

    • โพสต์-9
    Nina •  กุมภาพันธ์ 05 , 2559

    For Art's Sake

    วันที่ 3 ... วันสุดท้ายก่อนกลับบ้าน
    กับแคมเปญ Discover “Hua Hin” The Amari Way

    เดิมทีเช้านี้ มีความตั้งใจอยากออกไปตักบาตรริมหาดเขาตะเกียบ
    หาข้อมูลดู จะมีพระจากวัดเขาตะเกียบเดินบิณฑบาต
    ช่วง 6-7 โมงเช้า

    รถ shuttle service ของทางโรงแรมเองก็อำนวยความสะดวกดีมาก
    รอบเช้าสุดคือ 6 โมงเช้า
    หากไม่ใส่บาตร จะออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้นริมหาดก็ดี

    แต่เรามีเหตุผลส่วนตัว
    ที่อยากออกไปใส่บาตรมากกว่าการเดินชมพระอาทิตย์ขึ้น
    ติดอยู่เรื่องเดียวคือ ไม่ได้เตรียมของตักบาตร
    เพราะมาหัวหินครั้งนี้ไม่มีรถส่วนตัว
    เลยไม่แน่ใจว่า พอจะจับจ่ายซื้อของได้ที่ไหน?

    ถึงแม้โปรแกรมนี้ .. จะไม่ได้อยู่ในสิ่งที่ทาง Amari Hua Hin จัดไว้ให้
    แต่หากใครเคยเห็นภาพพระเดินบิณฑบาตบนหาดทราย
    ท่ามกลางแสงแรกของวันที่ส่องแสงทอประกาย
    หากสนใจ คุณอาจจะเลือกใส่โปรแกรมนี้ให้กับวันของคุณและตัวคุณเอง

    ถึงแม้จะไม่ได้ออกไปริมหาดตามที่ตั้งใจไว้
    แต่เช้านี้ก็ตื่นตั้งแต่ก่อนสว่างมายืนอยู่ริมระเบียงห้องพัก ชมแสงแรกของวัน
    เหม่อมองมะเลเขาตะเกียบ ... พร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
    ได้แต่ส่งใจและความคิดถึงไปยังคนที่รักยิ่ง
    (ครอบครัวเราได้ทำพิธีลอยอังคารแม่ ที่ทะเลเขาตะเกียบเมื่อปีก่อนค่ะ)



    เช้านี้พักผ่อนแบบสบายๆในที่พักจนถึงตอนสาย
    (แน่นอนว่า คุณลูกหมีออกไปเล่นน้ำสระอีกตามเคย)
    ก่อนจะทำการเช็คเอาท์ ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งก่อนกลับบ้าน
    .
    .

    พิพิธภัณฑ์ภาพ 4 มิติ - FOR ART’S SAKE
    ถนนเพชรเกษม ติดกับโรงพยาบาลหัวหิน
    เปิดทุกวัน เวลา 1000 – 2000 น.
    ค่าเข้าชม (คนไทย) ผู้ใหญ่ 180.-บาท / เด็ก 120.-บาท
    https://www.facebook.com/ForArtsSakeHuaHin
    http://www.forartssakehuahin.com

    /////////////////////////////////////////

    ผลงานศิลปะบนผนัง จากฝีมือนักวาดคนไทย
    ประกอบด้วยภาพวาดเสมือนจริง มากกว่า 100 ภาพ
    แบ่งออกเป็น 5 โซนด้วยกัน

    พิพิธภัณฑ์แนวนี้ ต้องยอมรับและยกให้ในแนวคิดสร้างสรรค์
    มีฝีมือในการวาดภาพอย่างเดียวคงไม่พอ
    เพราะนอกจากองค์ประกอบ ยังต้องมีการจัดแสงและเงาให้เกิดมิติของภาพ
    ทำให้ผู้เข้าชมได้รับความสนุก จากการกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพ

    ออกตัวก่อนว่า เก็บภาพจากที่นี่มาได้เพียงน้อยนิด
    ถ้าเทียบกับจำนวนภาพทั้งหมดที่เขามี
    ด้วยเพราะถนัดเป็นคนหลังกล้อง มากกว่าจะโพสท่าหน้ากล้อง

    พิพิธภัณฑ์ภาพวาดแนวนี้ ไม่ใช่แค่คนถ่ายภาพจะต้องรู้มุมกล้อง
    แต่หากนายแบบ-นางแบบโพสท่าได้เก่ง
    ก็จะยิ่งสนุกและได้ภาพสวยๆมากขึ้น
    (ซึ่งลูกหมียังเล็กเกิน ที่จะโพสท่าถ่ายภาพต่างๆได้ดังใจ)

    แต่ถึงจะไม่ใช่ช่างภาพและนายแบบ-นางแบบมืออาชีพ
    เจ้าหน้าที่ที่นี่ คอยจะให้คำแนะนำและช่วยเหลือเป็นอย่างดีค่ะ
    ในแต่ละจุด จะมีเจ้าหน้าที่คอยประจำการและดูแล
    ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำมุมกล้อง รวมถึงที่พื้นจะมีการ mark จุดเอาไว้
    ว่าควรยืนอยู่ตรงจุดไหน เพื่อถ่ายภาพ

    นอกจากนี้ ยังคอยแนะนำเรื่องการโพสท่าต่างๆ
    และคอยช่วยเป็นตากล้องเก็บภาพให้ด้วย

    * * *
    โซนที่ 1 – ภาพเหนือจินตนาการ
    เน้นภาพวาดแนวสร้างสรรค์และช่วยสร้างจินตนาการ



    ในฐานะคนชอบถ่ายภาพ
    เราชอบโซนนี้ ตรงจุดที่ได้ฝึกการถ่ายภาพให้เกิดมุมมองใหม่ๆ
    ช่วยฝึกเรื่องการจัดองค์ประกอบของภาพได้ดี
    ว่าควรถ่ายภาพในมุมมองไหน เพื่อทำให้ภาพเกิดมิติและมีเรื่องราว





    * * *
    โซนที่ 2 – โซนย้อนวัยเด็ก
    ของเล่นในวัยเด็ก ที่มีทั้งตุ๊กตากระดาษ, ลูกบอลแก้ว, บ้านขนมปัง
    ฯลฯ

    ของเล่นชิ้นเล็กๆในอดีต ที่กลายมาเป็นภาพวาดขนาดใหญ่
    ให้ได้เก็บภาพเป็นที่ระลึกถึงวันเก่าๆ





    * * *
    โซนที่ 3 – โซนหัวหิน
    ภาพวาดที่ดึงจุดเด่นของเมืองหัวหิน นำมารวมไว้ด้วยกัน





    * * *
    โซนที่ 4 – โซนภาพสยองขวัญ
    ภาพวาดแนวผีๆ ที่มากับเรื่องราวของความลึกลับ

    โซนนี้ต้องเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะลูกหมีกลัวค่ะ
    -.-“



    * * *
    โซนที่ 5 – ห้องกลับหัว
    โซนนี้ต้องใช้จินตนาการสูง ทั้งคนโพสท่าและคนถ่ายภาพเลยค่ะ
    แต่ดีว่า มีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำตลอด
    ว่าต้องโพสท่ายังไง ให้ภาพมุมมองแบบไหน

    นอกจากนี้ ก็ยังมีไฮไลท์ในจุดอื่นๆอีกมากมาย
    เช่น บันไดเปียโน
    v


    ภาพวาดแบบ perspective
    v





    .
    .

    จบการเดินเที่ยวชมภายในพิพิธภัณฑ์แล้ว
    ออกมานั่งเล่น ทานขนมในโซนร้านกาแฟที่เพิ่งเปิดใหม่
    อยู่หน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์เลยค่ะ

    มีทั้งโซนเฉลียงรับลมด้านนอก
    อยู่ในมุมที่รับลมเข้าดีมาก ไม่ร้อนเลยถึงแม้เราจะไปช่วงเที่ยง
    และโซนห้องแอร์



    มีโอกาสได้ลองชิมขนม ที่ตกแต่งจานเอาใจเด็กน้อยน่าดู
    Tuesday Choco ราคา 130.-บาท
    v



    เยลลี่ยิ้ม 110.-บาท
    v



    เด็กก็ยิ้มไปด้วยค่ะ
    ได้หม่ำขนมล่ะ ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว
    ^^"


    Brownie Classic 125.-บาท
    และสไปร์ทบ๊วย 60.-บาท
    v



    สำหรับสไปร์ทบ๊วย เป็นเมนูเครื่องดื่มที่เขาแนะนำมาค่ะ
    ส่วนตัวแล้วชอบไอเดียของเมนูนี้ เพราะคล้ายๆกับเครื่องดื่มของญี่ปุ่น
    ที่เรียกว่า umeshu (เหล้าบ๊วยผสมโซดา)
    เพียงแต่สไปรท์บ๊วย จะไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

    อีกเมนูหนึ่ง จัสมินน้ำผึ้งมะนาว 55.-บาท
    (ไม่มีภาพประกอบ)

    /////////////////////////////////////////
     

    • โพสต์-10
    Nina •  กุมภาพันธ์ 05 , 2559

    ร้านขนมจีนเส้นสด บ้านปิ่นแก้ว

    และมื้อกลางวัน ... ส่งท้ายทริปหัวหินครั้งนี้
    “ร้านขนมจีนเส้นสด บ้านปิ่นแก้ว”
    ถ.ริมคลองชลประทาน
    เปิดบริการ 0900-1700 น.
    (หยุดทุกวันจันทร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
    .
    .

    ทิศทางออกจะอธิบายยากนิดนึง (ไม่ได้ขับรถเองก็แบบนี้)
    ขออนุญาตนำข้อมูลมาจาก edtguide และขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ

     - เลี้ยวเข้าซอยหัวหิน 56 จะพบถนนริมคลองชลประทาน
    ตรงไปข้ามแยกไฟแดงตลาดนัดไดโนเสาร์ เลยตลาดไป 300 เมตร
    จะมีซอยทางด้านขวามือ  (หน้าปากซอยเป็นร้านขายของชำและอาหารตามสั่ง)
    ให้เลี้ยวขวาเข้าซอยอีก 300 เมตร
    จะเห็นร้านขนมจีนเส้นสดบ้านปิ่นแก้วอยู่ทางด้านซ้ายมือ มีป้ายร้านบอกชัดเจน
    .
    .

    ออกจะลำดับผิดไปสักหน่อย
    เพราะทานของหวานก่อนจะทานอาหารมื้อกลางวัน
    แต่เด็กหมีชอบ ... ทานขนมอร่อยเลย (อิ่มไปก่อนแล้ว)

    มาถึงร้านอาหารล่ะมีรวน จะไม่ยอมทานข้าว
    เลยต้องหลอกล่อบอกให้ช่วยปอกไข่ต้ม จะได้อยู่นิ่งๆ
    -.-"



    เมนูอาหารที่ร้านนี้ ไม่ได้มีแต่ขนมจีนค่ะ
    ยังมีอาหารทานเล่นอย่างอื่นมากมาย
    อาทิเช่น ยำเส้นบุก, ทอดมันปลาอินทรีย์, ไก่ทอดสมุนไพร

    ในส่วนของขนมจีน มีน้ำยาให้เลือกหลากหลายประเภท
    เช่น แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลา, น้ำพริกปู, น้ำยาป่า
    ฯลฯ



    บรรยากาศภายในร้านเป็นแบบ open air เหมือนบ้านสวน
    ร่มรื่นย์มากทีเดียว ต้นไม้เยอะมาก
    การจัดที่นั่งแยกเป็นซุ้ม ให้ความเป็นส่วนตัว



    อิ่มอร่อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับบ้าน
    ตามโปรแกรมเดิม เขาจะพาไปแวะซื้อของฝากที่ร้าน 1000 สุข
    แต่เนื่องจากขึ้นรถได้ คุณลูกหมีหลับทันที
    ก็เลยขอตรงดิ่งกลับบ้าน ไม่ได้แวะต่อ

    /////////////////////////////////////////

  1. โหลดเพิ่ม