วันที่ 1
รถเทียบท่าเวลาประมาณ 06.30 น. ตามเวลา ลงมาเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เพื่อปลุกให้ตื่นพร้อมเดินทางกันต่อ จุดมุ่งหมายต่อไปคือ ไปรับรถเช่าที่สนามบิน สามารถมาขึ้นรถสองแถว สาย มทร.ล้านนาน่าน – สถานีขนส่ง ได้บริเวณข้างๆสถานีขนส่ง จุดสังเกตคือ ป้ายสีเขียวๆที่เขียนว่า “สาย 1-4 สถานีขนส่งผู้โดยสาร – รอบเมือง” รถสายนี้จะวิ่งในเมือง สำหรับเส้นทางหลัก ราคาคนละ 30 บาท หากออกนอกเส้นทาง หรือต้องการเหมา สามารถตกลงราคากันได้ เรานั่งรอจนได้เวลารถออก ทีแรกคิดว่าเดี๋ยวลงหน้าสนามบินแล้วเดินเข้าไปก็ได้ แต่คนขับยื่นข้อเสนอให้ว่าเพิ่มอีกคนละ 10 บาท จะเข้าไปส่งให้ในสนามบิน อันนี้ฟังดูดีรีบตกลงทันที
![]()
08.00 น. – รับรถจากท่าอากาศยานน่านนคร
มาถึงสนามบิน ก็คิดว่าคิดถูกแล้วล่ะที่ให้สองแถวเข้ามาส่ง เพราะถ้าเดินก็ต้องเดินประมาณ 2 กิโลเมตร (โดยปกติทั่วไปของผังสนามบิน) เมื่อลงรถแล้วเดินเข้าสนามบิน ตรงไปที่เค้าน์เตอร์ Avis ซึ่งจะเปิดให้บริการประมาณ 08.00 น. จึงนั่งรอประมาณครึ่งชั่วโมง ทำการจองมาล่วงหน้าแล้วเพียงแค่ยื่นเอกสารยืนยันการจองก็เดินออกไปรับรถกันได้ จะมีเจ้าหน้าที่พาเราเดินไปที่ลานจอดรถ ตรวจเช็ครอยขีดข่วนรอบคันและมาร์กเอาไว้ในเอกสาร ก่อนจะยื่นให้เซ็นแล้วให้เราถือไว้ ในเอกสารจะมีข้อมูลรถ เบอร์โทรศัพท์ประกัน และเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่หน้าเค้าน์เตอร์ รถสภาพดี ไม่เก่า ภายในสะอาดไม่มีกลิ่นอับ ทุกครั้งที่เลือกใช้รถเช่าของ Avis ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผิดหวังเลย
![]()
![]()
09.30 น. - ไหว้พระ และชมต้นดิกเดียมที่ วัดปรางค์
จากสนามบิน มุ่งหน้าสู่อำเภอปัว ด้วยเส้นทาง ถนนหมายเลข 101 ยิงยาวไปที่จุดมุ่งหมายแรก คือ วัดปรางค์ ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
![]()
วัดปรางค์ เป็นวัดที่มีศิลปะแบบไทยคล้ายวัดทั่วไป แต่สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจนทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จัก นั่นก็คือ ความมหัศจรรย์ของต้นไม้ที่มีชื่อว่า “ต้นดิกเดียม” ซึ่งคำว่า “ดิกเดียม” ในภาษาล้านนาหมายความว่า จั๊กจี้ เพราะต้นไม้ต้นนี้เมื่อถูกสัมผัสที่ลำต้นแล้วใบจะกระดุกกระดิกได้โดยไม่มีลมแม้แต่น้อย สังเกตได้จากใบของต้นไม้บริเวณรอบๆนั้นจะอยู่นิ่ง มีเพียงใบของต้นดิกเดียมเท่านั้นที่ขยับเมื่อถูกลูบที่ลำต้น แต่ไม่ใช่ว่าใครก็มาลูบๆถูๆแล้วใบของต้นดิกเดียมจะขยับให้เห็นทุกครั้งไปนะคะ จะต้องมีวิธีการลูบ ซึ่งพระในวัดบางรูปและชาวบ้านบางท่านจะสามารถมาลูบให้เราชมใบไม้ขยับกันได้ ส่วนเรานั้นพยายามลูบอยู่สองสามครั้งกลับไม่กระดิกแม้แต่น้อย บางแหล่งข่าวอ้างว่าจะต้องเป็นผู้มีบุญมีศีลอันบริสุทธิ์ อันนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ แต่เราว่ามันคือเทคนิคอย่างหนึ่งของการสัมผัส แต่จะเป็นกับต้นไม้ชนิดนี้เท่านั้น
![]()
ปัจจุบันต้นดิกเดียมเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงต้นนี้มีอายุกว่าร้อยปีแล้ว ลำต้นเอนเอียงจนต้องทำเสาค้ำยันเอาไว้ ใกล้ๆกับต้นดิกเดียมต้นใหญ่นั้นมีต้นดิกเดียมต้นเล็กที่ได้รับการเพาะเนื้อเยื่อมาปลูกเอาไว้ด้วย
![]()
10.00 น. - เล่นน้ำ ชมวิว ที่ หาดน้ำปัว
จากนั้นมุ่งหน้าสู่ “หาดน้ำปัว” ตอนที่หาข้อมูลก่อนวันเดินทาง เราตั้งใจจะไปวังน้ำปัวเพราะเจอข้อมูลแค่ที่นั่น แต่เมื่อเข้าไปแล้วเราเลือกแวะที่ หาดน้ำปัว เพราะแตกต่างตรงที่มีการนำหินวางเรียงให้น้ำที่ไหลผ่านนั้นเกิดเป็นลักษณะคล้ายน้ำตกขนาดย่อม และเป็นช่วงโค้งน้ำพอดี ทำให้ได้ทัศนียภาพและบรรยากาศที่ดูน่าสนใจกว่ามาก ทั้งนี้ ที่วังน้ำปัวจะมีค่านั่งแพในน้ำ 50 บาท แต่ที่หาดน้ำปัวเพิ่งเปิดได้ราวๆ 3-4 เดือนจึงยังไม่มีการเก็บค่าบริการส่วนนี้แต่อย่างใด น้ำที่ไหลผ่านเป็นลำน้ำปัวที่มีน้ำใสและเย็น ลงเล่นน้ำได้อย่างเต็มที่ มีร้านอาหารไว้คอยให้บริการทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งจะเป็นอาหารทานเล่น ทานง่าย เช่น ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ลูกชิ้นปิ้ง และยำต่างๆ ราคาไม่แพงค่ะ
![]()
![]()
![]()
12.00 น. – ทานอาหารกลางวัน ร้าน Little La Cuisine
จากหาดน้ำปัววิ่งกลับมาที่ร้าน Little La Cuisine เป็นร้านอาหารและคาเฟ่สไตล์อิตาเลี่ยน ที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เมื่อมาเที่ยวปัวต้องห้ามพลาดร้านนี้ ความดีงามของร้านนี้หลักๆอยู่ที่รสชาติของอาหารเลยค่ะ อาหารแต่ละจานคัดสรรวัตถุดิบและปรุงรสชาติอย่างพิถีพิถัน หน้าตาชวนรับประทานเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วยิ่งมีความสุขกับรสที่ได้ลิ้มลอง เชฟเจ้าของร้านผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร จบหลักสูตรเชฟจาก Le Cordon Bleu “เป็นเครือข่ายสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลก ที่มุ่งมั่นถ่ายทอดศาสตร์ด้านการประกอบอาหารและการโรงแรม ผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” การันตีคุณภาพกันเลยล่ะค่ะ
![]()
![]()
![]()
![]()
“สลัดกุ้ง” ผักสลัดสดกรอบ กุ้งลวกขนาดพอดีคำ และน้ำสลัดรสเด็ดที่ทำให้ทานสลัดจานนี้จนเกลี้ยงจานได้ในเวลาอันรวดเร็ว
![]()
“ผักโขมอบชีส” เสริฟมาในถ้วยเซรามิก ชีสสีเหลืองล้นย้อยลงรอบปากถ้วย ผักโขมไม่เหนียวเคี้ยวง่าย และได้รสชาติอร่อย หอมกล่นชีส
![]()
“สปาเก็ตตี้พริกแห้งกระเทียมไส้อั่ว” เป็นอาหารฟิลชั่นที่ผสมผสานระหว่างความเป็นอิตาเลี่ยนกับล้านนาให้เข้ากันได้อย่างลงตัว เส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่มกำลังดี รสชาติกลางๆทานได้ทุกวัย หอม อร่อยมาก
![]()
“สเต๊กหมูครีมซอสเห็ด” เนื้อหมูนุ่มละมุนมาก ราดซอสเห็ดหอมรสชาติกลมกล่อม เข้ากันได้ดี มีผักสลัดสดๆเคียงมาด้วย
![]()
“คาโบนาร่า” เส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่มในซอสคาโบนาร่าอันหอมกรุ่น โรยหน้าด้วยชีสขูดฝอยและเบค่อนทอดกรอบ รสชาติดีไม่เลี่ยน ทานได้เรื่อยๆจนหมดจาน
![]()
“สตรอเบอรี่โซดา” เป็นเมนูโซดาที่รสชาติดีมากๆ ไซรัปเข้มข้นกลมกล่ม เมื่อคนเข้ากับโซดาซ่าๆด้านบนแล้วลงตัวมาก
![]()
ปัจจุบันนั้น ร้าน Little La Cuisine ได้ปรับปรุงขยายร้านกว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเราเข้าไปก่อนหน้าที่จะปรับปรุงได้ไม่กี่วัน โดยได้ภาพถ่ายปัจจุบันมาจากเจ้าของร้านค่ะ
![]()
![]()
![]()
ที่อยู่ : 319 หมู่ ที่3 ต.ปัว อ.ปัว จ.น่าน 55120
เบอร์โทร : 091 801 0889
เวลาเปิด : 11.00 – 20.00 น.
13.30 น. – ไหว้พระและนั่งชมวิวที่ วัดพระธาตุเบ็งสกัด
อิ่มท้องด้วยความอร่อยมาแล้ว เข้ามาไหว้พระและชมวิวกันต่ออีกสักหน่อย ที่วัดพระธาตุเบ็งสกัด ตั้งอยู่บ้านแก้ม หมู่ที่ 5 ตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นสถาปัตยกรรมไทยลื้อ เป็นวัดที่มีความเก่าแก่อีกหนึ่งแห่งของจังหวัดน่าน ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันก่อตั้งขึ้นมา ที่นี่ยังคงเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาเที่ยวชมความงดงามของอาคารและสิ่งก่อสร้างแบบเก่าแก่ ลักษณะวิหารเป็นทรงสูงแต่หลังคาจะกดต่ำแบบช่างล้านนาเดิม ตัววิหารของวัดนั้นเป็นการสร้างตามเเบบสถาปัตยกรรมล้านนาเเท้ๆ โดยเป็นฝีมือช่างสกุลเมืองน่าน ที่มีความประณีตเป็นอย่างมากเเม้ว่าจะเป็นวัดของชาวบ้านก็ตาม
![]()
มีทำเลที่ดีเหมาะแก่การชมวิวเมืองปัวและทิวเขาได้อย่างชัดเจน เนื่องจากวัดอยู่บนเนินสูง ยิ่งช่วงฤดูทำนา จะได้เห็นวิวนาข้าวเขียวเป็นพื้นที่กว้าง
![]()
ภายในวัด ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งบรรจุอยู่ในเจดีย์เเบบล้านนาที่มีความเก่าเเก่อีกด้วย
![]()
14.30 น. – ชมการทอผ้าฝ้าย และชิมขนมจีนห้อยขา ร้านแพวผ้าฝ้าย
เมื่อมาถึงตัวเมืองน่านแล้ว ที่พลาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือการมาเที่ยวชมวิถีหัตกรรมการทอผ้าฝ้ายของชาวบ้านไทลื้อ ซึ่งที่นี่มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่จะพามาที่ร้านหนึ่ง น่าสนใจมากๆนั่นก็คือ ร้านแพวผ้าฝ้าย มาที่นี่จะได้ทั้งอิ่มใจ และอิ่มท้องกลับไปอย่างแน่นอน มาเริ่มที่อิ่มใจ สามารถเข้ามาชมการทอผ้าฝ้ายจากกี่ทอผ้าแบบโบราณ ใช้แรงคนทอทั้งฝืน ไม่ใช้เครื่องจักรเลยแม้แต่น้อย มีทั้งผ้าซิ่น (ผ้าถุง) ผ้าพันคอ พรมเช็ดเท้า และผ้าผืน สำหรับตัดเย็บเป็น เสื้อ กระโปรง กางเกง กระเป๋า เป็นต้น
![]()
![]()
![]()
นอกจากนั้น ยังสามารถเข้ามาในตัวร้านที่มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มสวยๆวางจำหน่าย ซื้อติดไม้ติดมือให้ตัวเองหรือซื้อเป็นของฝากก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบกันเลยทีเดียว
![]()
ที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจกว่าผ้าทอผ้าฝ้าย คือ กระเป๋าและเสื้อจากใยกล้วย!! คิดตามอยู่พักใหญ่ว่าใช้ส่วนไหนของกล้วย จนกระทั่งคุณแพว เจ้าของร้าน พาไปดูกรรมวิธีภูมิปัญญาชาวบ้าน ตั้งแต่การเตรียมต้นกล้วยที่จะใช้มาพักเอาไว้ จากนั้นดึงกาบต้นกล้วยออกมาตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ นำวางบนโต๊ะไม้แล้วใช้ช้อนขูดเนื้อเยื้อของกาบต้นกล้วยออกจนกระทั่งเหลือแต่ใยเป็นเส้นๆ แล้วยังต้องมีกรรมวิธีต่างๆอีกราว 4-5 ขั้นตอนกว่าจะได้เป็นใยกล้วยที่ใช้ทอกับเส้นด้ายแล้วออกมาเป็นผืนสำหรับตัดเย็บได้ นอกจากนี้ยังมีใยข่า ที่มีรายละเอียดมากกว่าใยกล้วยเสียอีก
![]()
จากการทอผ้า เดินมาอีกส่วนหนึ่งของร้านแพวผ้าฝ้าย ที่ทำให้อิ่มท้อง นั่นคือส่วนของร้านขนมจีนห้อยขา ซึ่งทำไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เมื่อมาที่แพวผ้าฝ้ายแล้วสามารถพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย ใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้นานเลยล่ะค่ะ ชมการทอผ้าฝ้าย เลือกซื้อหรือชมผลิตภัณฑ์ต่างๆจากผ้าฝ้าย เดินเล่น ชมวิวทิวเขาจากร้าน หรือจะนั่งเล่นใต้ต้นไม้รับลมเย็นๆ แล้วยังสามารถมานั่งทานอาหารพร้อมชมวิวทิวทัศน์ไปด้วย ที่ไม่ควรพลาดคือ บุฟเฟ่ต์ขนมจีนนี่เลยค่ะ ราคาเพียง 89 บาท มีน้ำราดให้เลือกถึง 4 ชนิด ได้แก่ น้ำยาป่า แกงเขียวหวานไก่ น้ำเงี้ยว และแกงไตปลา มีส้มตำที่สามารถตำด้วยตัวเองได้ มีผลไม้ตามฤดูกาล อย่างวันนี้เป็นแตงโม และมีขนมหวานอีก 1 อย่าง คือ สาคูข้าวโพดหวาน ส่วนน้ำดื่มนั้นจะมีน้ำเปล่าที่ตั้งเอาไว้ให้กดดื่มกันได้ฟรีค่ะ นอกจากนั้นยังมีเมนูอื่นๆหรืออาหารตามสั่งไว้คอยให้บริการอีกด้วย
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
ที่อยู่ : เลขที่ 141 หมู่ที่ 1 ต.ศิลาแลง อ.ปัว จ.น่าน 55120
เบอร์โทร : 089 851 8918