วันแรกกับการเดินทางที่ไม่มีอุปสรรคอะไร เลย
การเดินทางหน้าฝนคือแน่นอนมันต้องเจอฝน แต่ฝนก็ทำให้เราชุ่มฉ่ำตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเครื่อง อันเนื่องมาจากน้ำขังในบริเวณก่อนถึงสนามบินดอนเมือง น้ำท่วมไม่ห่วงแต่กลัวไม่เจอแท็กซี่เพราะนี่ก็ใกล้เวลานัดหมายแล้ว โชคดีมีมาคันนึงรีบโบกแล้วมุ่งสู่จุดหมาย
ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ แค่สองคืนสามวันเท่านั้น จองเครื่องกันมาตั้งกะปีที่แล้ว กว่าจะได้โบยบินก็ผ่านมาปีนึงละ รอน้านนาน เนื่องด้วยราคาโปรที่ชวนจองเลยจองกันแบบไม่ลืมหูลืมตา และน่านก็คือเป้าหมายที่เราตั้งใจจะไป ครั้งที่แล้วไป อ.ปัว ขึ้นไปทางเหนือของน่าน แต่ครั้งนี้เราลงใต้ไป อ.นาน้อย แต่สิ่งที่หวังก็เหมือนกับปีที่แล้วคือจะไปตามล่าหาท้องนาสีเขียวนั่นน่ะเอง อิอิ เขียวได้ใจแน่งานนี้
เครื่องแลนดิ้งถึงเมืองน่านเวลาประมาณ 9 โมงเช้า ตอนนั้นยังนึกไม่ออกว่าจะไปขนส่งยังไง ไม่ทันได้คิดเยอะกว่านั้นก็มีรถสองแถวเสนอหน้ามาจอดต่อหน้าต่อตาพอดิบพอดี แหม่!! มาเกยซะขนาดนี้รอไรล่ะ โดดขึ้นเลยมิรอช้า คันนี้จะพาเราไปยังขนส่งน่าน ส่วนค่ารถอยู่ที่คนละ 45 บาท พอไปถึงขนส่งน่านด้วยเวลาไม่นานนัก คนขับก็ต้อนเราขึ้นรถตู้ที่จะไปขนส่งเวียงสาโดยทันที แบบไม่ทันได้ยืนชมทัศนียภาพใดๆ ทั้งสิ้น จริงๆ ก็ไม่ได้รีบร้อนไรเลยนะ แต่ต้อนกันขนาดนี้ก็ต้องขึ้นเลยเพราะเราสามคนขึ้นปุ๊บ รถตู้ก็ออกปั๊บทันที ป้าดด สะดวกเกินไปปะเนี่ย ราคาค่ารถตู้ก็คนละ 25 บาท นั่งๆ ไปนะ ห้ามบ่น
ถึงขนส่งเวียงสาแล้วด้วยเวลาไม่นานนัก ลงจากตู้มากะว่าจะเดินชมวิวหรือไถ่ถามพูดคุยกับคนท้องถิ่นซะหน่อย แต่ทว่ารถเมล์คันสีเขียวแล่นปาดหน้ามาในระยะเผาขน พร้อมกับได้ยินเสียงคนขับตะโกนว่าไปนาน้อยจ้าไป "นาน้อย" เหมือนจะดีใจปนกับความผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รีบโดดขึ้นรถโดยมิลังเล ขึ้นไปนั่งเป็นคุณนาย เสนอหน้านั่งข้างหน้าใกล้ๆ คนขับเลยจะได้คุยด้วยสะดวก คืออยากคุยอะนะ ตั้งกะเดินทางมาเนี่ยไม่ค่อยได้ถามปัญหากับใครเลย เป็นการเดินทางที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีคำถาม ไม่มีความ งง ให้เราได้เผชิญกันบ้างเลย อ่าว.. ก็ดีแล้วนี่จะคิดมากทำไม
ถึงแล้ว รีสอร์ทที่จองไว้อยู่ติดถนน คนขับก็รู้จักเป็นอย่างดี ถึงที่หมายด้วยความรวดเร็วจนคนที่รีสอร์ทก็ยัง งง ว่าทำไมมาเร็วจัง 55555 นั่นดิเราก็ยัง งง อยู่จนบัดนี้ ยังกะเป็นแผนดักรอรับผู้มาเยือนของคนเมืองน่านก็ไม่ปาน
เรือนไม้รีสอร์ท ที่พักฟรีสไตล์สำหรับเราสามคนในคืนนี้ อยู่ติดท้องนาตามที่คาดหวัง วันนี้มีเราห้องเดียวที่เป็นแขก น้องสุผู้อำนวยการรีสอร์ทเลยมีเวลาต้อนรับพวกเราอย่างเต็มที่ พอเรามาถึงเธอและคนครัวอีกหนึ่งคนก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติอย่างเร่งด่วน คือทำข้าวกับไข่เจียว ข้าวต้ม ขนมปังปิ้ง เครื่องดื่มให้พวกเราที่กำลังหิวโซ กินโดยเร่งด่วน สภาพพวกเราตอนนี้เหมือนเสือที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อ ถ้าไม่ได้ไรตกถึงท้องเร็วๆ นี้อาจจะต้องกินกันเองได้นะ อิอิ
หน้าตาดูดีและอร่อยมาก ไม่ใช่เพราะความหิวแต่อร่อยจริงๆ ทุกอย่างใช้เวลาไม่นานนักก็เหลือแต่ความว่างเปล่าพร้อมกับความสงบของนักเดินทางสามท่านนี้ คืออิ่มแล้วก็จะสุขสงบกันไปเอง มุมใครมุมมัน
เพราะที่เรานั่งรับประทานนี่ก็ในศาลามุงจาก เบื้องหน้าเป็นท้องนาผืนน้อย พร้อมฉากหลังเป็นแบคกราวน์ภูเขาทอดยาว 360 องศา แถมยังมีเมฆลอยมาและเล็มตามไหล่เขาให้ดูมีองค์ประกอบ รวมๆ แล้วมันเป็นประติมากรรมอันยอดเยี่ยมที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาเพื่อให้มนุษย์อย่างเราๆ ได้ชิ่นชม เข้าใจเลยว่าทำไมคนเราต้องเดินทางรอนแรมมาไกล๊ไกลเพียงเพื่อแค่มานั่งมองท้องฟ้า ภูเขา และนาข้าวเขียวๆ เหล่านี้ ใช่.. สิ่งเหล่านี้แหละที่ต่อชีวิตและลมหายใจให้อยู่ต่อไปได้อีกเฮือกสองเฮือก ชีวิตจะสั้นยาวไม่สำคัญ ขอแค่ระหว่างที่หัวใจยังเต้นอยู่ จงหาความสุขใส่ตัวให้ได้มากที่สุด นี่อาจจะเป็นความคิดเพ้อเจ้อของคนเมืองอย่างเรา อยู่เมืองมีแต่ตึกและตึก ควันรถอันไม่พึงปรารถนา หายใจไม่เคยทั่วปอด นั่นคือเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะทำให้เราตัดสินใจมาที่นี่ อ.นาน้อย จ.น่าน
มาดูห้องพักของ "เรือนไม้รีสอร์ท" กันดีกว่าค่ะ ที่นี่มีแค่ 5 หลังเท่านั้น จึงเป็นที่พักที่สงบไม่วุ่นวาย พวกเรานอนห้องที่สี่ ราคาในวันที่ไปเป็นวันธรรมดา ไม่ใช่ช่วงเทศกาล ราคาอยู่ที่ 700 ไม่รวมมื้อเช้า ห้องกว้างขวาง นอนได้สามคน เตียงใหญ่เตียงนึงและเตียงเล็กอีกเตียงนึง มีทีวีตู้เต็น แอร์ ฟรี wifi และห้องน้ำในตัว หน้าบ้านมีบ่อเลี้ยงปลา แต่อย่าเชียวนะ ห้ามโดดลงไปเด็ดขาด ผิดกฎ 555555
ที่นี่มีร้านกาแฟด้วยค่ะ "กาแฟสาธุ" ผู้ดูแลกิจการร้านกาแฟชื่อสาธุค่ะ เป็นหนุ่มน้อยน่ารักและดูแลพวกเราอย่างดีเล้ย ^ ^อ้อ นายสาธุคนนี้ควบสองตำแหน่งค่ะ รับผิดชอบแผนกซ่อมบำรุงด้วย มั่นใจได้ในความแข็งแรงของเรือนพัก o_O
หลังจากฝนหยุดตกแล้วก็ประมาณสี่โมงเย็นกว่าๆ สุได้พาพวกเราไปเที่ยวดอยเสมอดาว ช่วงเวลาที่ไปถึงเป็นเวลานอกราชการแล้ว เราไปถึงจึงมีแค่นักท่องเที่ยวอยู่บนนั้นเพียงสองคนเท่านั้น ดูๆ แล้วน่าจะเป็นคู่เลิฟข้าวใหม่ปลามัน พวกเรามากันห้าคนจึงไม่พ้นที่ต้องอยู่ในฐานะ ก-ฮ
ขณะที่เรากำลังยืนชมความงามของดอยอยู่นั้น หมอกขาวบางๆ ก็ลอยมามากมายจนเริ่มทำให้มองอะไรแทบไม่เห็น ทำให้ดอยแห่งนี้กลายเป็นภาพฝันในยามเย็นโพล้เพล้ และพวกเราก็กำลังสนุกอยู่กับการถ่ายรูป บนนี้มีแต่พวกเรา 5 คน กับคู่รัก 1 คู่ที่เปรียบได้กับพระเอกนางเอก โดยมีพวกเราเป็นตัวประกอบในฉากนี้ สถานที่นี้จึงเป็นของเราโดยแท้ในเวลานอกราชการ ถ้าเป็นช่วงเทศกาลหรือศุกร์เสาร์ ตรงนี้ก็จะเต็มไปด้วยเต็นท์และผู้คนมากมาย และแน่นอนเวลาแบบนี้เป็นอะไรที่เราชอบที่สุด พวกเรามีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สดใส สูดอากาศดีดีแบบนี้เข้าไปให้เต็มปอด เป็นการดีท็อกหลอดลมที่ดีเยี่ยม เสพย์ความสุขให้เต็มร่างก่อนที่จะกลับไปเผชิญความจริงที่กรุงเทพฯ ก็จริงนะที่ความสุขมักจะอยู่กับเราเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นเวลาที่เราสามารถเก็บภาพความทรงจำไว้ในสมองที่พอจะมีรอยหยักบ้าง แล้วเมื่อไรที่นึกขึ้นมาได้ นึกถึงวันสุขเหล่านั้น แค่รีเพลย์มันอีกครั้ง หรืออีกร้อยพันครั้งก็ทำให้เราอมยิ้มกันได้ในเวลาที่คิดถึง - ดอยเสมอดาว - นาน้อย - น่าน - เรือนไม้รีสอร์ท - รถประจำทาง - บ่อน้ำ - ท้องนา - สายฝน - สายหมอก เหล่านี้คือเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
เราฟินบนดอยจนพลบค่ำก็แวะซื้อของจำเป็นเข้าที่พัก และคืนนี้สุก็จัดงานต้อนรับแขกด้วยอาหารชุดใหญ่ พร้อมเครื่องดื่มสมุนไพรยอดข้าวพอขำขำเล็กน้อย ในปริมาณที่ควบคุมการทรงตัวได้ แต่ตอนเดินไปห้องน้ำอาจมีเป๋นิดหน่อยเพราะปกติศูนย์ถ่วงก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว อิอิ อีกอย่าง มื้อเย็นปกติจะไม่กินเยอะ แต่วันนี้เว้นซักวันนะขอกินหนำๆ ซักมื้อ ไฮไล้ท์ของที่นี่เห็นทีจะเป็นไก่ทอดกรอบ เหมาะมือกำลังดี งับเข้าปากแล้วดังกรุบกรอบ ถ้าเอาภาพลงเฟสตอนดึกๆ คงต้องมีสบถกันบ้างละ 55555 เป็นภาพทำร้ายจิตใจยิ่งนัก
คำเตือน : แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการมึนงง ควรใช้วิจารณญาณในการดื่ม ดื่มแล้วไม่ขับ หลับที่ร้านเลยยิ่งดี
และแล้วก็จบไปอีกหนึ่งวันด้วยความรวดเร็ว