ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
นาน้อยๆ กับหัวใจดวงโตๆ สองคืนแห่งความทรงจำตลอดไป อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน
    • โพสต์-1
    Ajung •  ตุลาคม 03 , 2559

    วันแรกกับการเดินทางที่ไม่มีอุปสรรคอะไร เลย

    การเดินทางหน้าฝนคือแน่นอนมันต้องเจอฝน แต่ฝนก็ทำให้เราชุ่มฉ่ำตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเครื่อง อันเนื่องมาจากน้ำขังในบริเวณก่อนถึงสนามบินดอนเมือง น้ำท่วมไม่ห่วงแต่กลัวไม่เจอแท็กซี่เพราะนี่ก็ใกล้เวลานัดหมายแล้ว โชคดีมีมาคันนึงรีบโบกแล้วมุ่งสู่จุดหมาย

    ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ แค่สองคืนสามวันเท่านั้น จองเครื่องกันมาตั้งกะปีที่แล้ว กว่าจะได้โบยบินก็ผ่านมาปีนึงละ รอน้านนาน เนื่องด้วยราคาโปรที่ชวนจองเลยจองกันแบบไม่ลืมหูลืมตา และน่านก็คือเป้าหมายที่เราตั้งใจจะไป ครั้งที่แล้วไป อ.ปัว ขึ้นไปทางเหนือของน่าน แต่ครั้งนี้เราลงใต้ไป อ.นาน้อย แต่สิ่งที่หวังก็เหมือนกับปีที่แล้วคือจะไปตามล่าหาท้องนาสีเขียวนั่นน่ะเอง อิอิ เขียวได้ใจแน่งานนี้

    เครื่องแลนดิ้งถึงเมืองน่านเวลาประมาณ 9 โมงเช้า ตอนนั้นยังนึกไม่ออกว่าจะไปขนส่งยังไง ไม่ทันได้คิดเยอะกว่านั้นก็มีรถสองแถวเสนอหน้ามาจอดต่อหน้าต่อตาพอดิบพอดี แหม่!! มาเกยซะขนาดนี้รอไรล่ะ โดดขึ้นเลยมิรอช้า คันนี้จะพาเราไปยังขนส่งน่าน ส่วนค่ารถอยู่ที่คนละ 45 บาท พอไปถึงขนส่งน่านด้วยเวลาไม่นานนัก คนขับก็ต้อนเราขึ้นรถตู้ที่จะไปขนส่งเวียงสาโดยทันที แบบไม่ทันได้ยืนชมทัศนียภาพใดๆ ทั้งสิ้น จริงๆ ก็ไม่ได้รีบร้อนไรเลยนะ แต่ต้อนกันขนาดนี้ก็ต้องขึ้นเลยเพราะเราสามคนขึ้นปุ๊บ รถตู้ก็ออกปั๊บทันที ป้าดด สะดวกเกินไปปะเนี่ย ราคาค่ารถตู้ก็คนละ 25 บาท นั่งๆ ไปนะ ห้ามบ่น

    ถึงขนส่งเวียงสาแล้วด้วยเวลาไม่นานนัก ลงจากตู้มากะว่าจะเดินชมวิวหรือไถ่ถามพูดคุยกับคนท้องถิ่นซะหน่อย แต่ทว่ารถเมล์คันสีเขียวแล่นปาดหน้ามาในระยะเผาขน พร้อมกับได้ยินเสียงคนขับตะโกนว่าไปนาน้อยจ้าไป "นาน้อย" เหมือนจะดีใจปนกับความผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รีบโดดขึ้นรถโดยมิลังเล ขึ้นไปนั่งเป็นคุณนาย เสนอหน้านั่งข้างหน้าใกล้ๆ คนขับเลยจะได้คุยด้วยสะดวก คืออยากคุยอะนะ ตั้งกะเดินทางมาเนี่ยไม่ค่อยได้ถามปัญหากับใครเลย เป็นการเดินทางที่ไม่มีอุปสรรค ไม่มีคำถาม ไม่มีความ งง ให้เราได้เผชิญกันบ้างเลย อ่าว.. ก็ดีแล้วนี่จะคิดมากทำไม

    ถึงแล้ว รีสอร์ทที่จองไว้อยู่ติดถนน คนขับก็รู้จักเป็นอย่างดี ถึงที่หมายด้วยความรวดเร็วจนคนที่รีสอร์ทก็ยัง งง ว่าทำไมมาเร็วจัง 55555 นั่นดิเราก็ยัง งง อยู่จนบัดนี้ ยังกะเป็นแผนดักรอรับผู้มาเยือนของคนเมืองน่านก็ไม่ปาน

    เรือนไม้รีสอร์ท ที่พักฟรีสไตล์สำหรับเราสามคนในคืนนี้ อยู่ติดท้องนาตามที่คาดหวัง วันนี้มีเราห้องเดียวที่เป็นแขก น้องสุผู้อำนวยการรีสอร์ทเลยมีเวลาต้อนรับพวกเราอย่างเต็มที่ พอเรามาถึงเธอและคนครัวอีกหนึ่งคนก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติอย่างเร่งด่วน คือทำข้าวกับไข่เจียว ข้าวต้ม ขนมปังปิ้ง เครื่องดื่มให้พวกเราที่กำลังหิวโซ กินโดยเร่งด่วน สภาพพวกเราตอนนี้เหมือนเสือที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อ ถ้าไม่ได้ไรตกถึงท้องเร็วๆ นี้อาจจะต้องกินกันเองได้นะ อิอิ

    หน้าตาดูดีและอร่อยมาก ไม่ใช่เพราะความหิวแต่อร่อยจริงๆ ทุกอย่างใช้เวลาไม่นานนักก็เหลือแต่ความว่างเปล่าพร้อมกับความสงบของนักเดินทางสามท่านนี้ คืออิ่มแล้วก็จะสุขสงบกันไปเอง มุมใครมุมมัน

    เพราะที่เรานั่งรับประทานนี่ก็ในศาลามุงจาก เบื้องหน้าเป็นท้องนาผืนน้อย พร้อมฉากหลังเป็นแบคกราวน์ภูเขาทอดยาว 360 องศา แถมยังมีเมฆลอยมาและเล็มตามไหล่เขาให้ดูมีองค์ประกอบ รวมๆ แล้วมันเป็นประติมากรรมอันยอดเยี่ยมที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาเพื่อให้มนุษย์อย่างเราๆ ได้ชิ่นชม เข้าใจเลยว่าทำไมคนเราต้องเดินทางรอนแรมมาไกล๊ไกลเพียงเพื่อแค่มานั่งมองท้องฟ้า ภูเขา และนาข้าวเขียวๆ เหล่านี้ ใช่.. สิ่งเหล่านี้แหละที่ต่อชีวิตและลมหายใจให้อยู่ต่อไปได้อีกเฮือกสองเฮือก ชีวิตจะสั้นยาวไม่สำคัญ ขอแค่ระหว่างที่หัวใจยังเต้นอยู่ จงหาความสุขใส่ตัวให้ได้มากที่สุด นี่อาจจะเป็นความคิดเพ้อเจ้อของคนเมืองอย่างเรา อยู่เมืองมีแต่ตึกและตึก ควันรถอันไม่พึงปรารถนา หายใจไม่เคยทั่วปอด นั่นคือเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะทำให้เราตัดสินใจมาที่นี่ อ.นาน้อย จ.น่าน

    มาดูห้องพักของ "เรือนไม้รีสอร์ท" กันดีกว่าค่ะ ที่นี่มีแค่ 5 หลังเท่านั้น จึงเป็นที่พักที่สงบไม่วุ่นวาย พวกเรานอนห้องที่สี่ ราคาในวันที่ไปเป็นวันธรรมดา ไม่ใช่ช่วงเทศกาล ราคาอยู่ที่ 700 ไม่รวมมื้อเช้า ห้องกว้างขวาง นอนได้สามคน เตียงใหญ่เตียงนึงและเตียงเล็กอีกเตียงนึง มีทีวีตู้เต็น แอร์ ฟรี wifi และห้องน้ำในตัว หน้าบ้านมีบ่อเลี้ยงปลา แต่อย่าเชียวนะ ห้ามโดดลงไปเด็ดขาด ผิดกฎ 555555

    ที่นี่มีร้านกาแฟด้วยค่ะ "กาแฟสาธุ" ผู้ดูแลกิจการร้านกาแฟชื่อสาธุค่ะ เป็นหนุ่มน้อยน่ารักและดูแลพวกเราอย่างดีเล้ย ^ ^

    อ้อ นายสาธุคนนี้ควบสองตำแหน่งค่ะ รับผิดชอบแผนกซ่อมบำรุงด้วย มั่นใจได้ในความแข็งแรงของเรือนพัก o_O

    หลังจากฝนหยุดตกแล้วก็ประมาณสี่โมงเย็นกว่าๆ สุได้พาพวกเราไปเที่ยวดอยเสมอดาว ช่วงเวลาที่ไปถึงเป็นเวลานอกราชการแล้ว เราไปถึงจึงมีแค่นักท่องเที่ยวอยู่บนนั้นเพียงสองคนเท่านั้น ดูๆ แล้วน่าจะเป็นคู่เลิฟข้าวใหม่ปลามัน พวกเรามากันห้าคนจึงไม่พ้นที่ต้องอยู่ในฐานะ ก-ฮ

    ขณะที่เรากำลังยืนชมความงามของดอยอยู่นั้น หมอกขาวบางๆ ก็ลอยมามากมายจนเริ่มทำให้มองอะไรแทบไม่เห็น ทำให้ดอยแห่งนี้กลายเป็นภาพฝันในยามเย็นโพล้เพล้ และพวกเราก็กำลังสนุกอยู่กับการถ่ายรูป บนนี้มีแต่พวกเรา 5 คน กับคู่รัก 1 คู่ที่เปรียบได้กับพระเอกนางเอก โดยมีพวกเราเป็นตัวประกอบในฉากนี้ สถานที่นี้จึงเป็นของเราโดยแท้ในเวลานอกราชการ ถ้าเป็นช่วงเทศกาลหรือศุกร์เสาร์ ตรงนี้ก็จะเต็มไปด้วยเต็นท์และผู้คนมากมาย และแน่นอนเวลาแบบนี้เป็นอะไรที่เราชอบที่สุด พวกเรามีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สดใส สูดอากาศดีดีแบบนี้เข้าไปให้เต็มปอด เป็นการดีท็อกหลอดลมที่ดีเยี่ยม เสพย์ความสุขให้เต็มร่างก่อนที่จะกลับไปเผชิญความจริงที่กรุงเทพฯ ก็จริงนะที่ความสุขมักจะอยู่กับเราเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นเวลาที่เราสามารถเก็บภาพความทรงจำไว้ในสมองที่พอจะมีรอยหยักบ้าง แล้วเมื่อไรที่นึกขึ้นมาได้ นึกถึงวันสุขเหล่านั้น แค่รีเพลย์มันอีกครั้ง หรืออีกร้อยพันครั้งก็ทำให้เราอมยิ้มกันได้ในเวลาที่คิดถึง - ดอยเสมอดาว - นาน้อย - น่าน - เรือนไม้รีสอร์ท - รถประจำทาง - บ่อน้ำ - ท้องนา - สายฝน - สายหมอก เหล่านี้คือเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นแล้ว

    เราฟินบนดอยจนพลบค่ำก็แวะซื้อของจำเป็นเข้าที่พัก และคืนนี้สุก็จัดงานต้อนรับแขกด้วยอาหารชุดใหญ่ พร้อมเครื่องดื่มสมุนไพรยอดข้าวพอขำขำเล็กน้อย ในปริมาณที่ควบคุมการทรงตัวได้ แต่ตอนเดินไปห้องน้ำอาจมีเป๋นิดหน่อยเพราะปกติศูนย์ถ่วงก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว อิอิ อีกอย่าง มื้อเย็นปกติจะไม่กินเยอะ แต่วันนี้เว้นซักวันนะขอกินหนำๆ ซักมื้อ ไฮไล้ท์ของที่นี่เห็นทีจะเป็นไก่ทอดกรอบ เหมาะมือกำลังดี งับเข้าปากแล้วดังกรุบกรอบ ถ้าเอาภาพลงเฟสตอนดึกๆ คงต้องมีสบถกันบ้างละ 55555 เป็นภาพทำร้ายจิตใจยิ่งนัก

    คำเตือน : แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการมึนงง ควรใช้วิจารณญาณในการดื่ม ดื่มแล้วไม่ขับ หลับที่ร้านเลยยิ่งดี

     

    และแล้วก็จบไปอีกหนึ่งวันด้วยความรวดเร็ว

    • โพสต์-2
    Ajung •  ตุลาคม 03 , 2559

    ร่ำลานาน้อย ก่อนเข้าตัวเมืองน่าน

    เข้าสู่วันที่สองใน อ.นาน้อย ตอนหลังยังมาคิดเลยว่าทำไมเราไม่พักที่นี่สองคืนไปเลย ตอนแรกคิดว่าคืนที่สองนอนในเมืองจะสะดวกเวลาจะไปสนามบิน คิดแค่นั้น เพราะไม่คิดว่าการเดินทางระหว่างในเมืองกับนาน้อยจะสะดวกรวดเร็วปาน BTS เช่นนี้ อยู่กรุงเทพฯ นั่งรถเมล์จากสนามหลวงมาดอนเมืองใช้เวลาร่วมสามชั่วโมง มากกว่าการเดินทางของที่นี่ซะอีก นี่ละหนา เราเสียเวลาไปกับอะไรมากมายกับการอยู่บนรถ บนท้องถนน ในขณะที่เรามาเที่ยว ใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด ได้ใช้เวลาอันมีค่าไปกับการกิน การพักผ่อน มีความสุขกับการสูดไอดินกลิ่นฝนเข้าสู่ร่างกาย ทุกๆ วินาทีมันล้วนบำบัดจิตใจเราได้ตลอดเวลา แค่เดินหลงทางบนฟุตบาทเก่าๆ แค่มองซ้ายมองขวา แค่ลังเลว่าจะไปทางไหนดี แค่ข้ามถนนในวันที่ไม่ค่อยมีคน มีรถบ้างนิดหน่อย แค่ แค่ แค่เหล่านี้ดูเป็นเรื่องธรรมดามากๆ แต่ทำไมเราถึงได้สนุกกับมัน ข้างทางที่เราต่างเก็บเกี่ยว ล้วนเป็นประสบการณ์และความทรงจำดีดีมากมายให้เราได้เก็บไว้คิดถึงเมื่อไหร่ก็ได้ที่อยากคิดถึง จัะ ซาบซึ้งเวิ่นเว้อกันพอหรือยัง มาชมภาพอันมีสาระกันดีฝ่า

    ออเดิฟก่อนมื้อเช้า

     

    ทานตะวันข้างบ้าน ศาลาไว้นั่งกินข้าวและกาแฟตรงนี้ กะชมธรรมชาติ ดีงามและเลอค่า

     

    ลงจากศาลาแล้วมีที่ให้เดินออกมาทำ MV ได้ด้วย

     

    มื้อเช้าสั่งลาด้วยข้าวผัดหน้าตาดี

     

    หยดน้ำบนต้นข้าว สวยยังกะเพชรเม็ดงาม

     

    ชักภาพก่อนร่ำลา คนกลางคือน้องกิ๊บ ที่อดทนทำอาหารอาหร่อยให้พวกเราได้กินอิ่มหนำสำราญ

     

    คนหน้าใหญ่สุดคือผู้อำนวยการรีสอร์ท เธอทำได้ทุกอย่าง มีใจบริการดีเยี่ยม และภาพนี้หวังว่าคงจะไม่ได้เป็นภาพสุดท้ายที่เราได้แชะกันนะ กับการมาพักที่นี่ สนุกมากจริงๆ เหมือนมาพักบ้านเพื่อนบ้านญาติยังไงก็ไม่รู้ 55555 ไว้มารบกวนใหม่ละกัน

     

    สำหรับการเดินทางกลับก็ง่ายๆ อีกเช่นกัน แค่เราเอาเป้หรือกระเป๋าเดินทางไปแขวนโชว์ไว้ข้างถนน เมื่อรถประจำทางมาถึง เขาเห็นกระเป๋าก็จะรู้ได้ทันทีว่ามีนักท่องเที่ยวรอที่จะขึ้นรถอยู่ เขาก็จะจอดรับเราโดยอัตโนมัติ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อรถมาถึง พวกเราก็รีบวิ่งขึ้นรถอย่างรีบเร่ง ในขณะที่ใจนั้นยังวนเวียนอยู่ที่เรือนไม้ มันยังไม่ยอมลอยตามมาด้วยแต่อย่างใด... นี่ใช่มะที่เขาเรียกว่า "ใจลอย"

    นั่งรถมาลงขนส่งเวียงสา คนละ 45 บาท แล้วนั่งรถประจำทางจากเวียงสามาลงตรงแถววัดภูมินทร์ คนละ 25 บาท หลังจากนั้นเราก็เดินหาโรงแรม "คุ้มเมืองมินทร์" ที่ได้จองไว้แล้วล่วงหน้า โดยให้ google map นำทาง ไม่นานนักก็หาเจอจนได้ อยู่ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์ อยู่ติดกับเรือนจำเลย จำง่ายๆ

    เป็นโรงแรมสไตล์โคโลเนียลผสมล้านนา เดิมเป็นบ้านพักอาศัยมาก่อน แล้วได้รื้อดัดแปลงให้เป็นโรงแรมอย่างเต็มตัว ซึ่งบางส่วนยังใช้ไม้เดิมอยู่ และห้องเบอร์ 208 ที่เราจองไว้ก็เป็นห้องที่ใช้ไม้เก่าจากบ้านหลังเดิมซะด้วย

    ห้องสำหรับคืนนี้มีสองเตียง นอนได้สามท่าน คืนละ 1390 บาท ตรงกับวันอังคารที่ 27 กย. ถ้าเป็นช่วงไฮซีซั่นไม่แน่ใจว่าราคาจะถีบตัวสูงขึ้นหรือเปล่า ที่นี่ต้องจ่ายมัดจำครึ่งนึงก่อน ส่วนที่เหลือก็มาจ่ายหน้างาน

    ประตูห้องเป็นแบบต้องใส่กลอนด้านในก่อนแล้วค่อยทำการล็อคด้วยกุญแจ ส่วนเบอร์ห้องนั้นก็เกือบทำให้ได้ลาภก้อนโตแต่ก็พลาดอะ เพราะเลขท้ายสามตัวดันออกมา 280 แหม่ เสียดายแท้

    ส่วนการตกแต่งโดยรวมออกแนววินเทจ เป็นสไตล์ที่ชอบมากๆ ราคาห้องก็สมเหตุผล ถือว่าไม่แพง เครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากแอร์ที่เย็นฉ่ำ ทีวี ตู้เย็น โต๊ะเครื่องแป้งก็ยังมีไดร์เป่าผมอีกด้วย ณ เวลาที่มาถึงโรงแรมก็ยังเที่ยงๆ อยู่เลย ในตัวเมืองอากาศไม่ครึ้มฟ้าฝนเหมือนที่นาน้อย ที่นี่มีแต่แดดและแดด จนไม่สามารถจะออกไปไหนได้ สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือชาร์ตแบตมือถือ และแบตคนด้วย นอนเอาแรงกันก่อนแล้วเย็นๆ ค่อยออกไปลากแตะกัน

    เย็นแล้ว ได้เวลาออกมาเดินชมเมือง เย็นนี้ตั้งใจไปกินขนมหวานร้านป้านิ่ม ทางผ่านก็ได้แวะพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ตอนนี้ปิดเวลาทำการแล้ว เลยได้แค่เดินลอดซุ้มลีลาวดีตรงนี้ยาวๆ ไป แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ เราเดินไปตามถนนมหาวงศ์ ผ่านวัดช้างค้ำ แล้วเดินไปจนถึงสามแยกข้างหน้าก็เป็นถนนรอบเมืองละ ผ่านวิทยาลัยเทคนิคน่าน เดินไปเรื่อยแล้วเลี้ยวซ้ายเจอวัดศรีพันต้น โอเคตรงข้ามวัดเราก็เจอร้านป้านิ่มซ้ากกกที และก็ไม่พลาดที่จะได้ลิ้มลองบัวลอยไข่หวานอันเลื่องลือนักหนาว่าอร่อย ถ้วยละ 30 ถือว่าราคาสมเหตุผล แต่ไอศครีมนี่ถือว่าแพงค่ะดูจากทรงแล้ว คนที่มากินร้านนี้ส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยว ชาวบ้านแถวนี้เขาไม่กินร้านนี้กันหรอกเพราะราคาค่อนข้างสูง

    พอกินหนมหวานเสร็จ พวกเราก็ไปเดินสำรวจประชากรแมวน่าน ในที่สุดก็เจอจนได้ นั่งรับแขกอยู่หน้าร้านขายมือถือพอดี มีหรือทาสแมวอย่างเราจะไม่เข้าไปทักทายและลูบหัวลูบหาง แต๊ะอั๋งเนิบๆ พอหายอยาก แต่ดูนางย้วยๆ ไปนะคะ สงสัยจะง่วงนอน

    ภาพนี้ถือซะว่าเป็นภาพข่าวแล้วกันเน้อ มีโฆษณาแฝงด้วย

    หลังจากนั้นก่อนเข้าโรงแรมพวกเราก็จัดการตุนเสบียงไว้ไปกินในโรงแรมดีกว่า เจอร้านน้ำเต้าหู้ร้านนี้ขายดีมาก ทุกคนที่มาซื้อต้องรับบัตรคิวก่อน ก็กว่าจะถึงคิวก็รอนานเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ร้านนี้เข้าใจละว่าทำไมคิวยาว เพราะว่ามันอร่อยจริงๆ 

    หมดไปอีกวัน เผลอแพ่บๆ สองคืนแล้วเหรอเนี่ย พรุ่งนี้ต้องกลับกรุงเทพฯ แล้วสินะ
    • โพสต์-3
    Ajung •  ตุลาคม 04 , 2559

    วันสุดท้ายต้องกลับละ อยู่ต่อเลยได้ไหม

    ตื่นเช้ามารับประทานมื้อเช้าที่โรงแรม ก็มีข้าวต้ม ขนมปังปิ้ง ปาท่องโก๋ ฮอทดอก ไข่ดาว และอีกมากมาย

    หลังอิ่มแล้ว ก่อนจะไปสนามบินประมาณเที่ยงวัน เราก็ไปเดินย่อยที่วัดภูมินทร์ก่อน ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ กับโรงแรม เดินผ่านเรือนจำไปหน่อยเดียวก็ถึงแล้ว บรรยากาศที่วัดต่างจากปีที่แล้วซึ่งตรงกับวันปิยะ เป็นวันที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่วันที่ไปนี้เป็นวันธรรมดาก็รู้ละว่าคนต้องน้อยแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะน้อยมากขนาดนี้ เป็นวันที่เมืองน่านเหมือนเกือบจะเป็นเมืองร้าง คนที่เดินตามถนน นับคนได้เลยว่ามีกี่คน

    เข้าไปในวัดไม่เจอคนเลย เจอแต่เด็กวัดตัวนี้นอนสบายใจเฉิบ โฟกัสเข้าไปใกล้ขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัว ไม่กวนละ เรามาชมพระพุทธรูปในวัดกันดีกว่าค่ะ

    สิ่งที่เด่นเป็นสง่าเห็นทีจะเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทั้ง 4 องค์ แต่ละองค์หันพระพักตร์ออกทางประตูทั้งสี่ทิศ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ไม่ว่าเราจะเดินเข้าประตูทิศไหนก็จะได้เห็นพระพักตร์ของพระพุทธรูปอย่างแน่นอน สวยงามยิ่งนัก

    อีกหนึ่งของความงดงามในวัดนี้ก็คือจิตรกรรมฝาผนัง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาดกในพุทธศาสนา ถ้าพิจารณารายละเอียดของวิถีชีวิตคนเมืองในสมัยนั้น มีภาพที่น่าสนใจอยู่หลายภาพ หนึ่งในนั้นคือ "ปู่ม่านย่าม่าน" ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อในสมัยโบราณ ในภาพหนุ่มสาวกำลังกระซิบกระซาบสนทนาอะไรกันก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนจะสนิทสนมกันพอสมควร ลักษณะของผู้ชายมีการสักหมึกตามตัว ส่วนผู้หญิงแต่งกายไตลื้ออย่างเต็มยศ ภาพนี้ถือว่าเป็นโลโก้ของเมืองน่านเลยก็ว่าได้ สวยค่ะมากี่ทีก็ยังสวย มาคราวนี้ไม่มีคนมายืนบังวุ่นวาย ถ่ายรูปสบายๆ เลยเชียว เที่ยววันธรรมดาก็ดีตรงนี้แหละ

    จากวัดภูมินทร์เราไปต่อที่วัดพระธาตุช้างค้ำ ซึ่งก็อยู่เยื้องๆ กัน วัดนี้ก็งดงามเช่นเดียวกัน และที่แน่นอนที่สุดคือไม่มีคนเลย เจอคนในวัดแค่คนเดียวเองมั้ง น้อยจนเหงาเลยค่ะ 5555555

    ออกจากวัดช้างค้ำ เราก็เดินไปที่ร้านกาแฟอเมซอนซึ่งอยู่ตรงข้ามวัดภูมินทร์ แวะถ่ายรูปนิดหน่อยก่อนเข้าโรงแรมเพื่อเตรียมตัวเก็บกระเป๋า

    หมดเวลาแล้วล่ะ เราเริ่มเช็คเอ๊าท์ประมาณเที่ยงตรง ทางโรงแรมเรียกรถจากสนามบินมารับ ราคาอยู่ที่คนละ 50 บาท รอไม่นานรถก็มารับและพาเราไปสนามบินอย่างรวดเร็ว เราไปนั่งรอเครื่องอยู่เป็นนานเพราะตามเวลาแล้วเครื่องออกตอนสี่โมงเย็นโน่น ก็รอยาวๆ ไป ระหว่างรอก็ของหวานตบท้ายเสียหน่อย งานนี้ค่อยไปลดน้ำหนักกันที่กรุงเทพฯ แล้วกันเน้อ

    ก็สิ้นสุดการเดินทางแต่เพียงเท่านี้ แม้จะเป็นการเที่ยวแค่เพียงเวลาสั้นๆ แต่ยอมรับว่าเป็นทริปที่สนุกมาก พวกเราประทับใจเมืองน่าน คนน่าน เจอแต่คนน่ารัก และนี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องมาน่านอีกซักกี่ครั้ง เมืองนี้มาได้เรื่อยๆ นะ ต่อให้มาพักที่เดิมๆ ก็เถอะ แต่เชื่อเถิดว่าที่เดิมๆ นั้น แต่ละครั้งจะมีเรื่องราวใหม่ๆ เสมอ ไม่ว่าเรื่องราวนั้นมันจะเป็นแบบไหน ไม่ว่าเราจะมากับใคร นั่นละมันคือการเดินทางในรูปแบบของเรา เราเลือกเส้นทางเอง เราเลือกที่ปักหมุดเอง เราเลือกที่จะมาหาความสุข ทุกอย่างเราเป็นผู้กำหนด การดีไซน์ชีวิตเราเองไม่ใช่เรื่องยาก ออกแบบที่เราชอบแล้วเราจะอยู่บนโลกเส็งเคร็งนี้ได้อย่างมีความสุข

     

    สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณเพื่อนร่วมทางทั้งสองท่าน ที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้มีครบทุกรสชาติ อาจมีทะเลาะกันบ้างเถียงกันบ้างแต่ก็ม่วนขนาดนัก ขอบคุณเมืองน่านที่ยังคงความเป็นเมืองที่สงบ เมืองที่ยังไม่มีนักลงทุนเข้ามาทำลายอัตลักษณ์ของเมือง ส่วนพวกเราก็คงจะยังไม่หยุดแค่นี้ ยังต้องเดินทางกันอีกต่อไป เพื่อออกไปเจอสิ่งดีดีที่อาจจะซ่อนตัวอยู่ตามซอกหลืบที่ไหนซักแห่ง มิตรภาพมีอยู่ทั่วไปแหละนะ อยู่ที่เราจะออกจากบ้านหรือเปล่า จะจัดเสื้อผ้าใส่เป้ตัวเก่งของเราหรือเปล่า จะผูกผ้าใบแล้วก้าวเท้าออกไปหรือเปล่า พร้อมที่จะเผชิญกับอุปสรรคข้างหน้าหรือเปล่า ถ้ามีคำตอบในใจแล้ว จงทำในสิ่งที่อยากทำ เพียงแค่ออกจากบ้าน ถ้าไม่ไปทำงานก็ออกไปเที่ยวกันนะคะ ที่สำคัญต้องมีตังค์และเวลาด้วยนะ อย่าลืม

     

    สรุปค่าเสียหายสำหรับทริปนี้ :

    1) ค่าเครื่องบินเทียวละ 290 ไม่โหลดกระเป๋า ไม่เอาประกันชีวิต ไปกลับเป็นเงิน 580

    2) สองแถวจากสนามบินไปขนส่งน่านคนละ 45 บาท

    3) รถตู้จากขนส่งน่านไปขนส่งเวียงสา คนละ 25 บาท

    4) รถประจำทางจากขนส่งเวียงสาไปลงเรือนไม้รีสอร์ทนาน้อย คนละ 45 บาท

    5) ค่าที่พักที่เรือนไม้ 1 คืน 700 บาท ตกคนละ 233 บาท

    6) ค่ากินค่าอาหาร 3 มื้อที่เรือนไม้รีสอร์ท 

    - แบ่งเป็นมื้อเที่ยงของวันที่ 26 กย ประกอบด้วยข้าวไขเจียว 1, ข้าวต้ม 2, ไข่เจียวเฉยๆ 1, ขนมปังปิ้งทาแยมสตอเบอรี่ ช็อคโกแลต ทานม รวม 5 แผ่น และ กาแฟอีก 2 โกโก้เย็นอีก 1

    - มื้อค่ำของคืนวันเดียวกัน ประกอบด้วย ไก่ทอด 7 ชิ้น, ไข่คน 1 จาน, ผัดผัก 1 จาน, น้ำพริกหนุ่มพร้อมผักแตงกวา แครอท ผักใบเขียว และเบียร์ประมาณ 2 ขวด

    - มื้อเช้าของวันที่ 27 กย ข้าวผัด 3 จาน พร้อมนมร้อน 1 และ กาแฟอีก 2

    ..........รวมเบ็ดเสร็จทั้งสิ้นอยู่ที่ประมาณ 1300 หารสามก็คนละ 433 บาท....................

    7) ค่ารถจากนาน้อยไปเวียงสาคนละ 45

    8) ค่ารถจากเวียงสาไปตัวเมืองน่านคนละ 25 บาท

    9) ค่าโรงแรมคุ้มเมืองมินทร์ 1390 ตกคนละ 463 บาท

    10) ค่ากินที่ร้านขนมหวานป้านิ่ม 150 ตกคนละ 50 บาท

    11) ค่ารถมารับที่โรงแรมไปสนามบินคนละ 50 บาท

    รวมทั้งสิ้นใช้จ่ายเงินไปคนละ 1,994 บาทโดยประมาณ ตีไปคนละ 2000 คิดง่ายๆ

     

    ติดตามการเคลื่อนไหวของเราได้ที่ เพจเฟสบุค : ลากแตะไปแชะฝัน

    สงสัยเรื่องการเดินทาง inbox ถามมาได้นะคะ see you ^__^