น่าน...มีอะไรมากกว่าน่าน

รีวิวปีนัง

http://www.thetrippacker.com/th/review/PenangMalaysia/10127

รีวิวคิรีวง 

http://www.thetrippacker.com/th/review/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%87/10159

น่าน...........

พูดถึงจังหวัดน่าน ใครๆคงคิดถึงทุ่งนาเขียวขจี ภูเขาสูง ธรรมชาติ อากาศเย็นๆ เมืองน่านและคนน่านที่น่ารัก

สำหรับเราตั้งใจมาน่าน เพราะ "อุ่นไอมาง" จองที่พักล่วงหน้าไว้หลายเดือน เราเคยมาน่านแค่ครั้งเดียวมางานแต่งเพื่อน ซึ่งก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย จนครั้งนี้ จะขอเที่ยวให้เต็มที่ 3 วัน 2 คืน (27 - 29 ตุลาคม 2559) เหมือนเช่นเคยไม่มีการวางแผนว่าจะไปไหน เจออะไรเราก็หยุด หยุดเที่ยวหยุดถ่ายหยุดดู ว่ามีอะไรน่าสนใจก็แวะตลอดทาง จนวันสุดท้ายของการเที่ยวครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า น่าน...มีอะไรมากกว่าน่าน จริงๆ จนทำให้คิดว่าจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งในเร็ววันนี้

 เริ่มต้น...เดินทาง

ทริปนี้เดินทางด้วยเครื่องบินทั้งไปและกลับของสายการบิน Air Asia เราตั้งใจว่าจะบินรอบเช้าเลย ถึงประมาณเกือบๆ 9 โมง เพื่อที่จะได้มีเวลาเดินทางแบบไม่รีบมากนักก่อนที่จะถึงอุ่นไอมาง อยากชมวิวข้างทาง อยากไปแบบสบายๆ ไม่รีบร้อน พอถึงสนามบินน่านนคร อืมมม ชื่อสนามบินยังคุกขุเลย สนามบินที่นี่ขนาดเล็กไม่ใหญ่มาก ลงจากเครื่องมาก็เจอฝนปรอยๆ อากาศครึ้มๆ ชอบมากกกกกกก 

แล้วไงต่อ...

ก่อนบินมาน่านนครเราได้จองรถเช่าของ Avis ไว้ 1 คัน ในราคาพิเศษเพราะสั่งซื้อ Voucher ใครสนใจหาดูได้ใน Voucherthai ได้เลย มีหลากหลายมาก เราจองรถแจ๊สในราคา 730 บาท แบบ No Deduct (ผู้เช่าไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายเวลาเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด หรือหาคู่กรณีไม่ได้) พูดง่ายๆคือ ใช้ให้เต็มที่เอาที่สบายใจเลยคร้าาาาาาาาาา แต่การจองรถต้องมีบัตรเครดิตด้วยนะ และต้องมีเงินในบัตรอย่างน้อย 8,000 บาท (สำหรับรถรุ่นเล็ก) เดินเข้ามาในตัวอาคารเราก็มองหาบูธของ Avis แล้วยื่นบัตรประชาชน ใบขับขี่ บัตรเครดิต พร้อม voucher เรารับรถมาในเวลา 10.00 น. และต้องมาคืนที่สนามบินเวลา 10.00 น.ของอีกวัน แต่ voucher เราสามารถคืนเลทได้อีก 4 ชม.

พร้อมคนขับหล่อมากกกกกกที่พกมาจาก กทม.ด้วย 1 นาย ได้รถใหม่ด้วยถูกใจพร้อมลุยค่ะ สถานีแรกที่จะต้องไปคือ หาอะไรกินค่ะ อยากข้าวซอย อยากน้ำเงี้ยว อยากของเหนือกะเจ้า ไม่รอช้า ถามอากู๋เลยค่ะ ว่ามีร้านอะไรน่าสนใจในเส้นทางที่จะไปปัวบ้าง wongnai จึงขอเสนอ "ร้านข้าวซอยแม่ทองหน้าไปรษณีย์ปัว" ไปไม่ยาก หาไม่ยาก google map ช่วยท่านได้ มาถึงก็เป็นถนนเล็กๆไม่ใหญ่มาก แนะนำให้จอดรถในไปรษณีย์ปัวแล้วเดินข้ามถนนไป  เดินมาถึงหน้าร้าน สะดุดตรงข้าวกั้นจิ้นนี่แหล่ะของชอบเลย จัดมา 1 ห่อ หยิบได้เลยนะ ป้าเค้าใส่ในลังวางตากแดดไว้ อุ่นกะลังดีเลย คือไม่หลบแดด หรือเป็นความตั้งใจ ใครไปถามป้าให้อีกทีนะคะ แล้วก็สั่งข้าวซอยไก่ 2 ชาม ขนมจีนน้ำเงี้ยว ใส่น้ำปลาร้าด้วย มีความเฟี้ยวมากในรสชาด กิน 2 คน หมดไปเท่าไหร่ไม่รู้ ที่รู้ๆคืออิ่มมากกกกกก อร่อยมากด้วย ปักหมุดไว้รอบหน้ามาอีก เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่เราชอบที่นี่มากคือ มองไปทางไหนก็มีแต่ทุ่งนา แต่ที่นี่ไม่ใช้รถเกี่ยวข้าว เค้าเอาแรงคนเกี่ยวข้าวกัน ขอบมากๆเลย ชอบที่ยังคงประเพณีเดิมไม่มุ่งที่จะใช้เทคโนโลยีอย่างเดียว ช่วงที่ไปปลายตุลาคมเค้าเริ่มจะเกี่ยวข้าวกันหมดละ จะมีให้เห็นทุ่งนาเขียวๆก็แค่บางพื้นที่ แต่ถึงจะไม่เห็นทุ่งนาสีเขียวก็ยังคงสวยงามอยู่ดีสำหรับเรา เราไม่ได้วางรูปไว้ในใจว่าจะต้องเป็นยังไง มานี่เราจะต้องได้เจอเหมือนที่ใครๆรีวิวรึเปล่า อยากให้มาเที่ยวด้วยใจที่ว่างเปล่าเอาความสวยใส่ตาและใจ อย่าไปคาดหวังว่าจะได้เจอเหมือนที่ใครต่อใครรีวิว เพราะมุมมองแต่ละคนแตกต่างกันอาจจะเห็นสวยในมุมที่ต่างกันออกไป

 เดินทางไปเรื่อยๆ สถานีต่อไปคือ วัดภูเก็ต แต่ไม่ได้อยู่ภูเก็ต ทำไมชื่อภูเก็ต จริงๆควรเป็น วัดบ้านเก็ต แต่คงเพราะอยู่บนเนินบนดอย เลยเติมคำว่า ภู เข้าไป เป็นวัดภูเก็ต อืมมมม เป็นแบบนี้นี่เอง วัดนี้มุมฮิตน่าจะเป็นวิวระเบียงของวัดที่มองเห็นทุ่งนากว้างและทิวเขา มีน้ำไหลผ่าน ปลาเยอะเลย


ระหว่างเส้นทางที่ไปเราแวะลงชมวิวหลายจุดเลย อากาศก็ดี มีแดดไม่ร้อนมาก ขับรถเปิดกระจกฟังเพลง ดีต่อใจที่สุด
แต่ที่นี่ก็มีภูเขาหัวโล้นเยอะมาก เค้าตัดไม้เพื่อเอาพื้นที่เขามาปลูกข้าวโพด หดหู่นะ ความเขียวขจีเลยมีให้เห็นเป็นหย่อมๆ
ขับรถต่อมาเรื่อยๆเราก็มาถึง "1715" ไม่ใช่สายด่วนแต่อย่างใด อย่าเผลอสั่งไก่ สั่งพิซซ่าหล่ะ อาจจะมาไม่ถึงไกลขนาดนี้ ดอยภูคาชั้นมาถึงแล้ววววววววว สวยมาก เราอยู่ชื่นชมจุดนี้กันอยู่พักนึง หึหึ เมื่อไหร่จะถึงบ่อเกลือ แวะไปเรื่อยๆตลอดทาง ก็วิวสวยขนาดนี้นี่เนอะ  เส้นทางจากปัวมาบ่อเกลือทางดีมาก แต่หลายคนที่เมารถง่ายอาจจะได้กินโจ๊กระหว่างทาง เพราะทางเขาโค้งไปโค้งมาขึ้นๆลงๆตลอด แต่เราน่ะหรอ...สนุกสนานตลอดทาง
เอ๊ะๆๆ นั่งรถเพลินๆก็ถึงแล้ว บ่อเกลือ เราแวะเข้าเช็คอินที่พักก่อนเลย พอมาถึงอุ่นไอมาง ขอให้ทำใจเรื่องสัญญาณโทรศัพท์นะคะ AIS ยังพอใช้ได้ DTAC นี่ไม่ได้เลยจนทำให้หงุดหงิด TRUE ต้องมาวัดดวงเอาเอง อย่างที่บอกเราก็ไม่เคยมาอ่ะเนอะ ได้มาถึงจะรู้ว่าเป็นยังไง
เราได้ห้องที่มีห้องน้ำในตัว ถัดจากหลังใหญ่ที่รับแขก เหมือนว่าเพิ่งปรับปรุงใหม่ด้วย เราน่าจะเป็นลูกค้ากลุ่มแรกเลยที่ได้เข้าพัก เพราะอะไรหลายๆอย่างยังไม่เรียบร้อยดี แต่เราไม่ได้ซีเรียส เพราะไม่ได้คาดหวังว่าทุกอย่างจะต้องดีที่สุด ถือว่าดีมากสำหรับเรานะ ธรรมชาติดีด้วย อากาศช่วงเย็นจนถึงดึกอากาศเย็นมาก นี่ขนาดไม่ได้มาช่วงฤดูหนาวนะ ตอนนอนพัดลมไม่ต้องเปิดยังได้เลยค่ะ
พี่เจ้าของแนะนำมาว่าเลยขึ้นไปจะมีน้ำตกสะปัน ให้ลองไปเที่ยวเล่นได้ เราก็เลยตัดสินใจเอากระเป๋าไปเก็บแล้วไปเที่ยวน้ำตกดีกว่า ระหว่างทางที่ไปก็วิวสวยอีก 
น้ำตกสะปัน เป็นน้ำตกเล็กๆ ไปถึงเราหาทางลงไม่ได้เลย หรือลงได้แต่เราหาไม่เจอก็ไม่รู้ เลยหามุมที่ใกล้ที่สุดถ่ายมาได้แค่นี้เอง
เมื่อมาถึงบ่อเกลือ แล้วจะไม่ไปบ่อเกลือได้ยังไง ที่นี่เค้าดังเรื่องการทำเกลือบนภูเขา มีบ่อเกลือโบราณที่อายุเป็น 100 ปีด้วย แต่ไม่ได้ใช้แล้ว ก็ยังพอมีบ่อเกลือที่ชาวบ้านใช้ทำเกลืออยู่ แต่วันที่ไปเค้าไม่ได้ต้มเกลือเพราะต้องเอาแรงเกี่ยวข้าวกันก่อนเลยหยุดต้ม เราก็เลยเดินเล่นดูบ่อเกลือไป วันที่ไปเที่ยวไม่มีคนเที่ยวเลย มาเที่ยววันธรรมดาก็ดีแบบนี้ ไม่ต้องวุ่นวายไม่ต้องแย่งกินแย่งเที่ยว ถ่ายรูปก็สวยไม่ติดคนเลย 
เดินๆไปเห็นร้านกาแฟกรุ่นไอเกลือ ได้นั่งพูดคุยเรื่องกาแฟว่าเค้าปลูกเองบนดอย เอามาชงขายเองด้วยและส่งออกด้วย คั่วมือและใช้ที่บดแบบโบราณ อัธยาศัยดีทั้งคู่เลยค่ะ น่ารักมาก พูดคุยเป็นกันเอง
มีผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ทำจากเกลือเยอะแยะเลย แต่ด้วยเรานั่งเครื่องมาแล้วต้องไปอีกหลายที่เลยไม่สะดวกจะซื้อกลับ ขอเป็นซื้ออาหารปลาเลี้ยงปลาตรงนั้นละกัน ปลาเยอะเชียว

ให้อาหารปลาเสร็จเลยขอเข้าไปดูในบ้านที่ใช้ต้มเกลือ อยากรู้อยากเห็นตลอด 55555 พอได้เข้าไปเลยคิดว่าถ้ามาเห็นตอนเค้าต้มเกลือคงดีเนอะ มีควันฟุ้งๆ กลิ่นหอมๆของฟืน

สุขใจกับบ่อเกลือกันได้ซักพักก็มาเจอวิวดีอีกแล้ว ฝายศรีไร ถ้าอ่านมาไม่ผิดนะคะ ป้ายอยู่ไกลไปหน่อย รีบถอดถุงเท้า รองเท้า เสื้อ กางเกง แก้ผ้าลงเดินลุยน้ำในฝายเลยค่ะ (อันนี้จินตนาการนะ) จริงๆถอดแค่ถุงเท้ากะรองเท้า 5555555 อยากจะเอาเก้าอี้นอนกางร่มเก๋ๆกลางฝาย จิบน้ำชา อ่านหนังสือ ถ่ายรูปลงโซเชียล โอ้ยยยยยย นี่คือคิดธีมรอบหน้าที่จะมา มีความฟินตีนมากค่ะ คือลงได้แค่นี้ไง ทั้งตัวไม่ได้เตรียมไรมาเลย ฟินได้แค่ท่อนล่างสุดจริงๆ
ถัดจากฝายมาไม่ไกลเราก็เจอบ่อเกลืออีก 1 บ่อ ใกล้ๆวัดบ่อหลวง มีป้ายบอกประวัติเรียบร้อยรู้ที่มาที่ไปของที่นี่ว่าทำเกลือมานานแค่ไหนแล้ว (อ่านมาแต่จำไม่ได้ ใครอยากรู้ต้องไปนะฮะ) เค้าอนุรักษ์ไว้ดีมากเลยค่ะ
อีก 1 จุดที่ควรต้องแวะเข้าไปเยี่ยมชมนะคะ คือ ศูนย์ภูฟ้าพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำค่าเข้าไม่ได้แล้วค่ะว่าเท่าไหร่ (จำอะไรได้บ้างมั้ยเนี่ย) แต่เราก็เข้าไปไม่นานเพราะเย็นมากแล้ว มีแปลงนาข้าวทดลองปลูกหลายสายพันธุ์รวมถึงพืชผลทางการเกษตร มีน้ำลูกหม่อนให้กิน ได้ไปเจอคุ้กกี้งาม้อนแสนอร่อยด้วย เค้าจะทำตามฤดูกาลที่มีงาม้อนเท่านั้น เดินไปกินไปหมดไป 1 ถุงค่ะ 3 ถุง 100 บาท เหลือไว้กินเล่นมื้ออื่น ของอร่อยต้องค่อยๆกิน จนตอนนี้ยังกินไม่หมดเลยค่ะ เก็บไว้ในตู้เย็นกินอร่อยดี
ระหว่างทางกลับที่พักผ่านชุมชนมากมาย เราจะคอยมองหาวิวข้างทางที่มีแม่น้ำไหลผ่าน เพราะคิดว่ามันสวยดีเลยมาเจอจุดๆนึง เราพากันขับเข้าไปในบ้านวังควาย จนมาเจอสะพานแขวนแต่ทางเข้าต้องเดินผ่านข้างบ้านคนไป คาดว่าไม่เคยมีใครได้มา Unseen แบบนี้แน่ๆ แต่เสียดายที่มาเย็นไปหน่อยแสงจะหมดแล้ว ก่อนจะกลับเข้าที่พักก็เลยมาแวะเดินเล่นตรงสะพานข้ามแม่น้ำ ก่อนเข้าไปที่พัก วิวสวยจริงๆค่ะ สวยจนเกิดอุบัติเหตุ มัวแต่ถ่ายรูปจนไม่ได้ได้มองรูที่สะพาน ขาตกลงไปพรวด!!!ข้างนึง ทั้งตกใจทั้งขำตัวเองนั่งน้ำตาซึมอยู่ข้างทาง เจ็บด้วยตลกด้วย กลับที่พักทำแผลด่วนค่ะ ด้วยกลัวว่าที่พักจะไม่มียาใส่แผล เลยไปซื้อที่ร้านค้าแถวนั้น ได้ยาแดงมา 1 ขวด จนถึงตอนนี้สีของยาแดงหายไปพร้อมๆกับแผลที่หายดีเลยค่ะ สีติดทนมาก ปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปก่อน จนกลับมาหาหมอที่นครปฐม พยาบาลแนะนำว่าไม่ควรใช้นะคะ เพราะมีสารปรอท แหมมมม ใครจะไปรู้เนอะ เวลานั้นคิดไรไม่ออกแล้ว วิวสวยมาพร้อมกับแผลสวยๆ ทายาแดงพร้อมบรรยายการเกิดเหตุ ทำยังกะภาพวาดฝาพนังถ้ำสมัยก่อน
ตะลอนกันมาทั้งวันก็หิวสิคะ จองที่พักอุ่นไอมางเค้าจะมีอาหารเย็นให้ด้วยนะ ระหว่างรอก็นั่งชมวิวไป กินกล้วยไปพลาง พลางจนจะหมดหวี
มาดูห้องพักเราดีกว่า วิวสวยสุดแล้ว มีประตูเปิดนอนดูวิวแม่น้ำไหลผ่านสบาย เย็นชื่นใจ
อาหารเย็นของที่นี่จะเป็นอาหารพื้นบ้านปกติทั่วไป ผัดผัก แกงส้ม ไข่เจียว น้ำพริกผักต้ม (อันนี้อร่อยมากกกกกกก) เราหาที่นั่งรอได้เลยเค้าจะตักเสิร์ฟให้ แต่ขอติเรื่องการเสิร์ฟอาหาร เรามาเป็นกลุ่มแรกเลย คนอื่นทยอยกันมา จนได้อาหารกันหมดบางโต๊ะต่อรอบ 2 แล้ว เราก็ยังไม่ได้ อาจจะเพราะเราอยู่มุมที่เค้ามองไม่เห้นรึเปล่า หรือแขกเยอะเกินไปจนบริการไม่ทั่ว จนหยิบกระเป๋าจะเดินไปที่รถเพื่อออกไปกินข้างนอก เลยตัดสินใจถามเค้าไปว่ายังมีของพอเหลือให้ทานมั้ย เลยได้กลับเข้าไปทานที่นั่งเดิม รอจนหิว รอจนเกือบโมโห แต่ก็หายเพราะอร่อย ฮี่ๆๆๆ
สวัสดีตอนเช้า.....เมื่อคืนจิ้งหรีดเรไรร้องดังฟังเพลินจนหลับเลย อากาศหนาวมาก โดนแย่งผ้าห่มด้วย ชุดนอนก็ไม่ได้เอาไป ต้องใส่ชุดเที่ยวนอนแทน แผลที่ตกสะพานมาก็เริ่มทำพิษ เจ็บ ปวด แสบมาก แต่หายเพราะวิวตอนเช้าน่ารื่นรมย์มากกกกกกค่ะ
ตื่นเช้าหน่อยเพราะเราต้องมีเวลาไปเที่ยวอีกหลายๆที่ จะได้ไม่เสียเวลาไปเที่ยวในเมืองต่อ เพราะคืนนี้เราจะนอนในเมืองจ้า ใกล้วัดภูมินทร์เลย แต่จะเล่าให้ฟังห้องน้ำที่นี่วิวก็ดีนะ ถ้าใครใจกล้าเปิดหน้าต่างอาบน้ำไปด้วย
ป่ะ!!! อาหารเช้าที่นี่ก็มีหลากหลายนะคะ ดีตรงที่ไม่ต้องให้เค้าตักให้ ตักเองได้กินแน่ๆ
ก่อนกลับเก็บบรรยากาศตอนเช้าซักหน่อย ดีมากจริงๆนะมีหมอกขึ้นบนทิวเขานิดหน่อย หน้าหนาวคงหมอกลงเยอะกว่านี้
ขากลับเรากลับอีกทาง ก็จะเจอวิวอีกแบบที่ไม่ค่อยมีบ้านคนมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเขาหัวโล้นเยอะกว่าอีกทาง และได้แวะไหว้พระที่วัดพระเจ้าทันใจด้วย เดี๋ยวหาว่าไปเที่ยวไม่มีไหว้พงไหว้พระ
เมื่อเดินทางมาถึงตัวเมืองน่าน เลยแวะเข้าเที่ยววัดพระธาตุแช่แห้งก่อน ขับผ่านพอดี
ในตัวอำเภอเมืองน่านมีวัดให้เที่ยวเยอะแยะเลย อีกวัดที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่คงหนีไม่พ้น วัดภูมินทร์ เราเลยเข้าไปเที่ยวเก็บภาพกระซิบๆๆ ก่อนที่จะเข้าเช็คอินที่พัก จะได้ไม่ต้องเข้าๆออกๆหลายครั้งเพราะที่พักค่อนข้างจะจอดรถลำบากนิดหน่อยถ้าเป็นรถยนต์ ที่สำคัญยังไม่ถึงเวลาส่งรถเลย 55555555 จะได้เที่ยวแบบไม่ร้อนเนอะ
ห้ามลืม!! อีกมุมฮิต ซุ้มต้นลีลาวดี อยู่ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติน่าน แต่.....ดอกร่วงหายหมดเลย เหลือแต่กิ่งก้านสาขา ก็สวยอีกแบบนะ แปลกตาไม่เหมือนใครด้วย
ถึงเวลาของอาหารกลางวันแล้วสินะ เมื่อความอยากน้ำเงี้ยวยังไม่หายไป เราจึงตามหา อากู๋รู้ทุกอย่างเช่นเคย แต่ระหว่างหาไปขับรถไป ก็ไปสะดุดตาอยู่ 1 ร้าน สายตา 2 คู่นี้ไม่ค่อยมองร้านหรูๆเท่าไหร่ เพราะเราคิดว่าอาหารข้างทาง เพิงเก่าๆ มีรสชาติดีๆซ่อนไว้อยู่เสมอ แล้วเราก็เจอค่ะ....

พิกัดตรงสนามนารินค่ะ ร้านเล็กๆในตึกอาคารพาณิชย์ ไม่แพงอร่อยมากกกกกกก มีขนมด้วย กินกันกระจุยจนลืมถ่ายรูป 555555
ที่พักในเมืองน่านของเราวันนี้ก็คือ......ภูกะลันโฮมสเตย์ 
อยู่ใกล้วัดภูมินทร์เลย ตรงข้ามกำแพงเรือนจำจังหวัดน่าน กลางคืนก็ออกมาเดินถนนคนเดินสบายเลย
ได้เวลาเช็คอิน ในวันที่ไปมีแขกแค่ 2 ห้อง เราจองผ่านอโกด้าก่อนเดินทางมาประมาณ 1,100 บาท เป็นแบบมีห้องน้ำในตัว ส่วนห้องอื่นจะเป็นห้องน้ำรวมค่ะ ถือว่าดีมากเลย สะอาด เงียบ ไม่วุ่นวาย ที่สำคัญถูกด้วย 55555 พอได้กุญแจห้องเราก็ไม่รอช้ารีบไปสนามบินคืนรถค่ะ แต่ระหว่างทางเราได้ติดต่อเช่ารถมอเตอร์ไซด์ไว้แว๊นในเมืองด้วย ชื่อร้านโตโน่คาร์เรนท์ 086-1956300 บริการดีมากค่ะ พี่เค้าจะขับรถมารับเราที่สนามบินระหว่างที่เราเอารถแจ๊สไปคืน Avis เพื่อมารับมอเตอร์ไซด์ที่ร้าน ระหว่างทางไปร้านพี่เค้าก็แนะนำของกินของเด็ดตลอดทาง ถึงที่ร้านเราได้เลือกใช้มอเตอร์ไซด์ Honda nmax ราคา 500 บาท มัดจำไว้ 1,000 บาท แต่มีให้เลือกหลายราคานะ ถ้ารถรุ่นเล็กหน่อยก็ 300 บาท PCX 550 บาท ได้น้ำมันเต็มถังทุกคัน แต่ตอนส่งคืนก็ต้องเต็มถังกลับมาด้วยนะจ้า แต่ถ้าใครจะขับลุยๆเครื่องแรงๆไว้ขึ้นเขาก็แนะนำเอาคันใหญ่ไปเลยจ้า นั่งสบายด้วย ขึ้นเขาลงห้วยสบาย
ได้รถแล้ว...ไปไหนดี
ตัดสินใจไปขี่วนรอบๆเมืองก่อนละกัน ที่หมายต่อไปคือ หอศิลป์ริมน่าน ไหนบอกรอบๆเมือง ระยะทางถือว่าไกลจากเมืองพอสมควรค่ะ 25 กิโลเมตรเห็นจะได้
ที่นี่เป็นที่รวบรวมและแสดงผลงานของศิลปินที่มีผลงานร่วมสมัยทั้งจิตรกรรมทั้งประติมากรรม
http://www.nanartgallery.com/ ใครสนใจลองเข้าไปดูรายละเอียดก่อนที่จะไปได้จร้า บรรยากาศดี ร่มรื่น สงบ เดินเล่นชิลๆได้สบาย
แล้วเราก็ออกร่อนต่อแบบไม่มีจุดหมายปลายทาง ยึดป้ายบอกทางเป็นหลักและมีอากู๋เป็นผู้ช่วย ทางไหนน่าสนใจก็ขับวนเล่นเข้าไปในหมู่บ้าน จนกระทั่งเห็นป้ายบ่อสวก เครื่องปั้นดินเผา พอถามอากู๋ก็ได้คำตอบออกมาเป็นพระเครื่องซะเยอะเลย ด้วยข้อมูลที่มีในมือน้อยมากประกอบกับใกล้จะเย็นแล้วปลายทางของบ่อสวกเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้ เลยตัดสินใจขับเข้าเมืองเพื่อเตรียมตัวไปหาอะไรกินกัน
ระหว่างทางก่อนจะจัดอาหารเย็นให้เต็มท้อง เลยขอมาชิมขนมหวานป้านิ่มอันเลื่องชื่อ มีสิ่งหนึ่งที่คนจังหวัดน่านพูดตรงกันเลยคือ "ขนมหวานป้านิ่ม คนน่านไม่กินกัน มีแต่คนกรุงเทพที่ไปกิน" ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยนะคะ แต่ด้วยที่ว่าคนท้องถิ่นเค้าอาจจะมีของเด็ดที่แอบอยู่ ก็เหมือนเราที่อยู่นครปฐมจะไม่ไปกินร้านดัง แต่เราไปกินร้านเล็กที่อร่อยเช่นเดียวกัน เพราะอาจจะหนีความวุ่นวายที่ใครต่อใครก็อยากมากินร้านดังก็เป็นได้ แต่เราไม่ใช่คนน่านเนอะ เลยขอชิมขนมของป้านิ่มซะหน่อย ได้บัวลอยมา 1 และเต้าส่วนอีก 1 ชิมพอหอมปากหอมคอเราก็เดินทางต่อ 
ใกล้ที่จะพระอาทิตย์ตกแล้ว อีกวิวหนึ่งที่ช่วงเวลานี้เหมาะกับการถ่ายรูปคือ วัดพระธาตุเขาน้อย ขับไปอีกไม่ไกลมากจากตัวเมือง
นักท่องเที่ยวมารอถ่ายรูปกันพอสมควร ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนคงแน่นกว่านี้ พอได้รูปสมใจแล้ว เตรียมเอารถไปไว้ที่พักแล้วไปถนนคนเดินกันดีกว่า
"ถนนคนเดินข่วงเมือง"
ที่นี่มีความพิเศษต่างจากที่อื่นที่เราเคยไปมา คือ จะมีบริเวณจัดให้นั่งกินได้และมีขันโตกไว้วางของกิน ซื้อของมาก็มานั่งกินที่นี่ได้เลย แต่อย่าลืมรักษาความสะอาดเพื่อให้คนอื่นได้มานั่งกินต่อไปเนอะ ความน่ารักอีกอย่างของที่นี่คือ เค้ามีการจัดถังขยะไว้สำหรับคัดแยกขวดน้ำด้วย ระหว่างกินไปเราก็ดูไปส่วนใหญ่ทุกคนคัดแยกขยะกันหมดเลย โดยไม่ต้องมีป้ายมาติดด้วยนะ ชอบมากเลย ชื่นชมค่ะ ระหว่างนี้เราก็นั่งฟังเพลงเบาๆเพลินๆกันไป แต่ในช่วงวันเวลาที่เราไปเค้าจะเปิดเพลงพระราชนิพนธ์นะคะ แต่ในช่วงเวลาปกติเค้าก็จะมีการแสดงด้วย
ในช่วงเวลากลางคืนของเมืองน่านก็น่าไปถ่ายรูปเล่นนะคะ ไม่ใช่เที่ยวได้เฉพาะเวลากลางวัน กลางคืนเราก็ไปค่ะ ถ่ายรูปกันๆๆ
คืนนั้นฟ้ามีดาวพอสมควร เกิดอยากถ่ายช้าง แต่....ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมา ก็เลยขี่ออกนอกเมืองอีกครั้งเพื่อดูดาวเล่น ได้แค่นี้ก็ยังดีเนอะ ระหว่างที่คิดหาจุดที่มืดๆก็นึกถึงวัดพระธาตุเขาน้อยขึ้นมาว่าคงสวย เห็นเมืองเวลากลางคืนด้วย
22.00 น.
เงียบมาก อากาศเย็น มีมนุษย์ 2 คนขี่รถขึ้นวัดพระธาตุเขาน้อยเพื่อมาดูดาว บ้าไปแล้ว 555555555 ใช่ เราบ้า....แต่ได้เห็นวิวสวยสมใจพร้อมของแถมคือฟ้าแลป!!! ดีงามมากค่ะ แต่รูปอาจจะเบลอๆเพราะไม่มีขา มีแต่มือที่ถือกล้อง
Hello!! scorpion อยู่กลางถนนเลย จะโดนรถเหยียบมั้ยเนี่ยกลับมาถึงที่พักดึกมาก ทุกคนหลับหมด เลยนั่งเล่นกันซักพัก มีมุมสวยๆน่ารักให้ถ่ายรูปเยอะอยู่ค่ะ
อาหารเช้าของที่นี่เป็นโจ๊กหมูนะคะ อร่อยดีค่ะ กำลังดีเลย 
เรายังพอมีเวลาเหลือก่อนที่จะเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก เลยตัดสินใจขี่รถเล่นซักพักจนออกไปนอกเมืองอีกแล้ว 55555 เหมือนมีอะไรดลใจให้เราต้องไป เราเจอป้ายบ่อสวกอยู่เป็นระยะ เลยคิดว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ อยากรู้เลยต้องตามไปดู จากที่เมื่อวานเราไปไม่ถึงบ่อสวก เลยจับพิกัดไปบ่อสวกอีกครั้ง จนไปถึงจุดที่มีคนนั่งทำเครื่องปั้นดินเผาอยู่ และมีเตาเผาโบราณอยู่ไม่ไกลจากถนนมากนัก
ได้พูดคุยกับคุณป้า 2 ท่านที่กำลังขมักเขม้นทำเครื่องปั้นอยู่ แล้วได้ใจความว่าในตัวชุมชนเองก็มีเตาเผาโบราณแบบนี้เหมือนกัน แล้วคุณป้าก็ชี้ทางให้ "ไปดูเตาที่บ้านจ่าดีกว่าสมบูรณ์กว่านี้" เราก็เลยได้คีย์เวิร์ดมาว่าต้องตามหาลุงจ่า ก่อนจากกันเลยอุดหนุนสร้อยคอดินเผาที่เป็นลายนกฮูกของที่นี่มา (ลืมถ่ายรูปมาให้ดูค้าบ) ทางเข้าชุมชนที่จะไปดูเตาเผา สังเกตุป้อมตำรวจริมถนนก็ได้ค่ะ ขับไปซักพักถ้าหลงก็ถามทางเอาได้ค่ะ ระยะทางไม่ไกลมาก
ขี่รถเข้ามาได้ซักพักเราก็เจออาคารของหน่วยงานที่ได้มาสร้างเอาไว้ ดูตัวอาคารเหมือนไม่ได้มีการใช้งานแต่ก็ไม่ได้เก่ามาก เราเลยตัดสินใจเดินเข้าไป เจอกลุ่มชาวบ้านกำลังจัดเตรียมข้าวของทำพิธีเซ่นไหว้ศาลปู่ฮ่อ ไม่ไกลจากตรงนั้นก็มีเตาปู่ฮ่อ แค่เห็นก็ตื่นตาตื่นใจ จนเราได้ถามคุณลุงเรื่องราวเกี่ยวกับเตา คุยได้ซักพักคุณลุงวางของในมือพร้อมเล่าเรื่องราว และแนะนำตัวว่า "ชื่อจ่ามนัส" อ้าวเจอแล้ว คุณป้าข้างนอกที่ทำเครื่องปั้นแนะนำมาว่าให้มาดูเตาบ้านลุงจ่า ไม่รอช้า ลุงจ่าเลยชวนไปบ้าน 
ระยะทางจากศาลปู่ฮ่อมาบ้านลุงก็ไม่ไกลนัก เราจะเห็นบ้านที่มีบริเวณกว้างขวาง สะอาด ร่มรื่น มีบ้านไม้เรือนไทย นั่นล่ะค่ะบ้านลุงจ่ามนัส คุณลุงให้เราจอดรถไว้ข้างนอก เพราะลุงบอกว่าตรงทางเข้ามีเตาเผาอยู่ข้างล่างที่ยังไม่ได้ทำการขุดขึ้นมา ระหว่างทางที่เดินเข้าบ้านคุณลุงเราก็เจอเครื่องปั้นดินเผาโบราณมากมายอยู่ทุกจุด มีอายุมากกว่า 850 ปี ยิ่งได้เห็นลวดลาย ยังสวยเลย แล้วที่สำคัญเราได้สัมผัส ซึ่งทุกครั้งที่ไปชมพิพิธภัณฑ์เค้าจะไม่ให้จับของโบราณพวกนี้เลย แต่ลุงจ่าบอกว่าอยากให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ได้สัมผัสจริงๆ แล้วที่บ้านลุงเองก็น้อยคนนักที่จะเป็นนักท่องเที่ยวแบบเราตั้งใจเข้ามาตามหา เข้ามาศึกษา เข้ามาดู 
คุณลุงเลยพาเดินดูทั่วบ้านเลย เตาแรกที่ขุดขึ้นมาคือ เตามนัส ตามชื่อคุณลุงเลยค่ะ จริงๆคุณลุงได้ที่ดินเป็นมรดกตกทอดมา ตอนที่มีการทำบ้านคุณลุงเลยได้ค้นพบเตาโบราณที่อยู่ใต้ดิน รายละเอียดในวันนั้นที่ได้คุยกับคุณลุงเยอะมากจริงๆ และยังเล่าให้ฟังว่าด้วยพื้นที่แถวนี้ใกล้น้ำ เราเลยพบว่ามีเตาเผาโบราณอยู่บริเวณนี้จำนวนมาก และปากปล่องจะหันไปทางแม่น้ำ เพื่อใช้ลมเป็นตัวช่วยในการเผาไหม้ ความเป็นมาในรายละเอียดหญิงขออ้างจากแหล่งข้อมูลนะคะ

"ความเป็นมาของเตาเผาโบราณนี้ พบว่าบริเวณนี้สมัยก่อน เป็นพื้นที่ ที่อาศัยโดยชาวจีนฮ่อ ที่อพยพมาจากเมืองจีน ซึ่งมีวิถีชีวิตเกี่ยวพันกับการทำเครื่องปั้นดินเผา จึงทำให้เมื่ออพยพมาในบริเวณนี้  ประกอบกับภูมิประเทศที่สมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำและดินจึงทำให้ที่นี้กลายเป็น แหล่งเตาเผาที่ผลิตเครื่องถ้วยชามที่สำคัญแห่งหนึ่งในล้านนา
ทั้งนี้ความเป็นมาของแหล่งเตาเผาโบราณของบ้านบ่อสวกได้มีนักโบราณคดีได้สันนิษฐานว่า แต่ก่อนเตาเผาโบราณแห่งนเป็นของคนกลุ่มไทยญวน หรือที่เรียกว่าคนเมืองซึ่งเป็นกลุ่มคนที่รู้หนังสือและเขียนภาษาไทยได้เป็น อย่างดี และเป็นกลุ่มคนที่นับถือศาสนาพุทธ มีหลักฐานจากการศึกษาได้ค้นพบเศษถ้วยมีรอยจารึกรูปอักษรไทยล้านนา รูปอักษรอายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 รอยจารึกดังกล่าวทำขึ้น โดยคนเมืองน่านที่อยู่ในแหล่งผลิตเครื่องถ้วยชามโดยใช้วัสดุปลายแหลมเซาะ ร่องเป็นตัวอักษรบนเนื้อเครื่องถ้วยลายครามของ จีน แหล่งเตาเผาโบราณบ้านบ่อสวก ทำการสำรวจและศึกษาโดยนาย สายันต์ ไพรชาญจิตต์ นายวิเศษ เพชรประดับ หัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านและนายวุฒิชัย โลหะโชติ เลขาธิการประสานงานประชาคมน่าน และเห็นว่าบริเวณนี้มีความเหมาะสมสำหรับขขุดค้นศึกษาทางโบราณคดีต่อไป เนินดินที่พบ คือ เนินดินเตาจ่ามนัส และเตาสุนัน ซึ่งปัจจุบันเนินเตาทั้งสองตั้งอยู่ บ้านเลขที่ 8 หมู่ 10 ต.สวก อ.เมือง จ.น่าน ทั้งนี้บริเวณบ้านที่ตั้งเตาเผานี้จะมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจำลองเหตุการณ์ วิถีชีวิตต่าง ๆ ของชาวบ้านสวกหมู่ 1และบ้านสวกพัฒนาหมู่ที่ 10 ในอดีตเอาไว้ อีกทั้งยังเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับความรู้เรื่องบ้านสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จึงถือได้ว่าพิพิธภัณฑ์เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่จะให้ความรู้แก่เด็กและ เยาวชน ประชาชนทั่วไป
ต่อมาได้รับการสำรวจและศึกษามาตั้งแต่ พ.ศ.2527 โดยโครงการโบราณคดีประเทศไทย ( ภาคเหนือ ) กองโบราณคดี กรมศิลปากร และต่อมานาย สายันต์ ไพรชาญจิตร์ ได้เขียนรายงานการศึกษาและบทความเผยแพร่ผลการศึกษาในโอกาศต่าง ๆ หลายครั้ง  นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2527 จนถึงปัจจุบันยังไม่มีผู้ใดทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแหล่งเตาเผาเมือง น่านบ้านบ่อสวกอีกเลย และกรมศิลปากรยังไม่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนแหล่งเตาเผาโบราณเหล่านี้" สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ค่ะ https://sga666.wordpress.com/about/

คุณลุงเล่าให้ฟังว่าจริงๆยังมีเตาที่ยังขุดขึ้นมาไม่หมด ที่ขุดขึ้นมานี่แค่บางส่วน คุณลุงให้เหตุผลว่า
"ถ้าขุดหมดมันก็พังหมด ถ้าเราขุดแค่ 2-3 เตา ที่เหลือที่ยังไม่ได้ขุดก็ยังคงอยู่ให้รุ่นลูกรุ่นหลานต่อๆไปได้ดูอีกนานๆ" 
อืมมมมมมม จริงที่สุด 
คุณลุงเล่าให้ฟังว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ก็เคยเสด็จมาที่นี่ ทุกท่านให้ความสนใจและให้คุณลุงรักษาโบราณสถานนี้ไว้ให้ลูกหลานได้ดู

คุณลุงจ่ามีความภาคภูมิใจมากจากที่เราได้ฟังการเล่าเรื่อง ได้พูดคุยและคุณลุงจัดการทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากที่ใด รวมถึงค่าเข้าชมคุณลุงก็ไม่ได้เก็บ พื้นที่แห่งนี้โชคดีที่คุณลุงเป็นเจ้าของ เราไม่รู้เลยว่าถ้าเป็นคนอื่นจะทำแบบคุณลุงเหมือนทุกวันนี้มั้ย

เตาที่ 2 ที่มีการขุด คุณลุงใช้ชื่อภรรยาด้วย น่ารักเนอะ

"เตาสุนัน"

และอีก 1 เตาที่ยังขุดไม่เสร็จเนื่องจากบางส่วนของตัวเตาไปอยู่ในพื้นที่ของคนอื่น คุณลุงเลยขุดได้เท่าที่เห็นค่ะ ซึ่งเตานี้เป็นเตาที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำมากที่สุด แต่มีขนาดเล็ก เลยคาดเดาว่าอาจใช้เผาเครื่องปั้นที่มีขนาดเล็กกว่าเตาอื่น
นอกจากนี้คุณลุงยังทำเตาจำลองขึ้นมา ไว้ให้คนที่มาดูเห็นว่าจริงๆแล้วเตามีรูปร่างหน้าตายังไง
สำคัญกว่านั้นเข้าไปอีก คือคุณลุงได้มีการจัดทำค่ายไว้ให้กลุ่มเด็กๆที่สนใจมาเข้าค่ายเรียนรู้เรื่องเตาเผาโบราณ ได้ลองทำเครื่องปั้นดินเผา เรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เสียดายเราอยู่ไกลกันไม่อย่างนั้นคงได้ทำกิจกรรมร่วมกันแน่ๆค่ะคุณลุง
 
คุณลุงยังได้สร้างสถานที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีต โดยอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากคนในชุมชนช่วยกันสร้างช่วยกันเล่าช่วยกันระลึกความเป็นมาเป็นไป จนเกิดเป็นสถานที่แห่งนี้
เราเลยได้ขึ้นไปเยี่ยมชมบนบ้านหลังนี้ มีเครื่องปั้นดินเผาที่มีลวดลายเฉพาะของที่นี่ไว้ให้ดูด้วย หลักๆจะเป็นลายธนูกับลายนกฮูก และลวดลายอื่นๆที่บอกเล่าเรื่องราาว


และได้จำลองภาพให้ดูถึงวิธีการเอาเครื่องปั้นดินเผาใส่ในเตา ว่ามีการจัดวางอย่างไร ภูมิปัญญาชาวบ้านยุคโบราณนี่น่าทึ่งจริงๆค่ะ มีไหที่ทำที่รองน้ำไว้กันมดได้ด้วยค่ะ สุดยอดความคิดเลย
เครื่องปั้นดินเผาที่คุณลุงมอบถวายให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ค่ะ แต่ท่านเซนต์ชื่อให้ แล้วรับสั่งให้เก็บไว้ที่นี่
คุณลุงรวบรวมของโบราณไว้มากมายตั้งหลายอย่าง บางอย่างเราไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ บางอย่างก็เกิดทันเห็นที่บ้านคุณยาย 55555 แก่แล้วเลยทันเห็นค่ะ
อันนี้เครื่องหินโม่แป้ง เราเกิดทัน ทันได้ใช้ด้วย 555555
ช้อนสมัยก่อนทำมาจากกะลาค่ะ
ชาวบ้านสมัยก่อนเค้าจะแขวนปลาแห้งของแห้งไว้ที่ขื่อบ้าน แล้ววิธีป้องกันมดเค้าทำแบบนี้ค่ะ ทำกะลาไว้ข้างบนแล้วหล่อน้ำไว้ หมดปัญหาเรื่องมดกวนใจ
ครกมือถือ!!! ไอเดียนี้สมับนี้หาไม่ได้เลย ทำไมไม่มีคนทำขายนะ ถือไปตำที่ไหนก็ได้ 5555555
ก่อนกลับเราก็มานั่งเล่นใต้ถุนบ้านรับลมเย็นๆกันซักพัก
ของโบราณคุณลุงเก็บไว้ดีมากเลยค่ะ ใครได้ไปอย่าลืมแวะเที่ยวบ่อสวกนะ อย่างที่บอก น่าน...มีอะไรมากกว่าน่าน
ถึงเวลาแล้วที่ต้องลาจากกัน ใจอยากที่จะอยู่นานกว่านี้ แต่ด้วยที่ว่าเรายังไม่ได้เช็คเอ้าท์ออกจากที่พักแล้วเวลาก็ล่วงมาเที่ยงกว่าแล้ว จึงไหว้ลาลุงจ่ามนัส...แล้วเราจะกลับมาใหม่

กลับมาถึงเมืองน่านเราก็เก็บข้าวของออกจากที่พัก แล้วหาอะไรกินก่อนที่จะคืนรถมอเตอร์ไซด์แล้วไปสนามบิน วันที่กลับเป็นวันเสาร์ คนเริ่มมาเที่ยวกันเยอะ ร้านอาหารคนแน่นทุกร้าน เลยตัดสินใจทานร้านเฮือนฮอม ซึ่งคนเยอะเหมือนกัน 555555 แต่รอไม่นานค่ะ อาหารอร่อยเลย อย่างแรกเป็นชุดออเดิร์ฟ อย่างที่ 2 นี่จำชื่อไม่ได้ค่ะ แต่อร่อยดีค่ะ ใครไปแล้วจะสั่งเมนูนี้ ยื่นรูปให้เค้าดูเลยค่ะ ^^"
ได้เวลากลับจริงๆแล้ว เราเอารถไปคืนที่ร้าน เจ้าของร้านใจดีขับรถพาเราทั้งคู่มาส่งที่สนามบินด้วย เรานั่งรอที่สนามบินกันอีกพักใหญ่เลย เพราะสภาพอากาศไม่ดีมีฝน แต่ช้าไปแค่ 1 ชม. ยังพอไหวนั่งรอได้สบายมากค่ะ

น่าน...มีอะไรมากกว่าน่าน
ทริปนี้ประทับใจอะไร 
1. คงจะเป็นที่บ้านลุงจ่ามนัส บ่อสวก มีโอกาสเราจะกลับไปและหวังว่าคุณลุงยังคงจะจำเราได้ อาจจะขอกางเต๊นท์นอนบ้านคุณลุงซักคืน (ลุงบอกมามีหิ่งห้อยด้วย และดาวคงสวยมากตรงจุดนั้น)
2. ตกสะพานได้แผลกลับบ้าน ขาพันเป็นมัมมี่อยู่หลายวัน ที่สำคัญเราดีใจกับแผลเป็นที่ได้มา ทำให้เรารู้และจดจำได้ดีถึงเหตุการณ์วันนั้น
ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ รีวิวหญิงไม่ได้เน้นเรื่องการใช้จ่าย ไม่ได้มีการวางแผนว่าจะไปไหน ไม่ได้เน้นภาพถ่ายที่สวยงาม แต่เราโฟกัสระหว่างทางที่เราได้เจอ สิ่งที่เราได้สัมผัส

ขอให้มีความสุขกับการเดินทางนะคะ
หญิง...เดินทาง