กาญจนบุรี เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่หน้าร้อนโหดมาก ไปเที่ยวกาญหน้าร้อน แถมนั่งรถไฟพัดลมชั้นสามไปอีก แค่คิด ความร้อนก็วูบขึ้นในหัวแล้ว แต่ถ้าไม่ลองไปสัมผัส จะรู้ได้ไงว่าร้อนแค่ไหน ว่าแล้วตามผมไปเที่ยวกันเลย…
การเดินทางครั้งนี้ของผม เลือกใช้บริการรถไฟขบวนท่องเที่ยวสายน้ำตก ของการรถไฟ ซึ่งจะมีออกเดินทางทุกวัน โดยจะมีเฉพาะตู้ที่นั่งแบบชั้นสามประเภทตู้พัดลมเท่านั้น แต่ก่อนเขาเคยมีตู้แอร์ให้บริการ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนใช้บริการ ตู้แอร์เลยต้องยกเลิกไป รถไฟจะออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง เวลา 6.30 น.ค่าตั๋วรถไฟ ไปกลับ 120 บาทขาดตัว ถึงจะไปแล้วไม่กลับ (แวะค้างคืน) เขาก็ไม่ลดราคาให้ ถ้าหากอยากกลับอีกวัน ต้องซื้อตั๋วใหม่อย่างเดียวเลย อีก 120 บาท ตั๋วรถไฟจะมีที่นั่งระบุไว้ชัดเจน ฉนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะต้องโหน
เบาะที่นั่งน่าจะทำจากไฟเบอร์ ก็ไม่ต้องคาดหวังเรื่องความนิ่ม เบาะตั้งตรง 90 องศา ปรับไม่ได้ เบาะหันหน้าเข้าหากัน ล๊อคนึงนั่งได้ 4 คน ถ้าตัวใหญ่ แนะนำให้วางขาแบบสลับฟันปลา เพราะที่นั่งแคบมากกกก… ด้านบนหัวก็จะมีที่ให้วางกระเป๋า แต่ถ้าใครนั่งด้านหลัง ตรงใกล้ ๆ ห้องน้ำ เขาจะไม่มีที่วางกระเป๋าให้ ต้องแอบเอาไปวางล๊อคอื่นแทน อ่อ ไม่มีพัดลมด้วย ถ้าเป็นไปได้ จองตรงกลางขบวนดีกว่า โล่ง โปร่ง สบาย
รถไฟขบวนนี้ จะจอดเฉพาะแค่บางสถานีเท่านั้น เพื่อรับคนขึ้นมาระหว่างทาง จุดหมายปลายทางแรกที่แวะเที่ยว ได้แก่ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม โดยจะให้เวลาแวะเที่ยวที่นี่ 40 นาที
เวลา 40 นาที ไม่เยอะเลย แค่กินข้าวหมูแดงเสร็จก็ต้องรีบวิ่งกลับขึ้นรถและ พระปฐมเจดีย์ได้แต่ยืนไหว้อยู่ไกล ๆ จากนั้นก็เดินทางกันต่อ
รถไฟพร้อมออกเดินทางแล้ววว
ก่อนรถจากรถ อย่าลืมดูด้วยว่าเรานั่งคันไหน อย่าขึ้นผิดขบวนนะเพราะนอกจากขบวนท่องเที่ยวสายน้ำตก เขายังพ่วงขบวนที่ไปเที่ยวหัวหิน สวนสนมาด้วย ซึ่งขบวนนั้นจะแยกตัวออกไป ตรงสถานีหนองปลาดุกและแล้วก็มาถึงจุดพักแวะจุดที่ 2 สะพานข้ามแม่น้ำแคว โดยจุดนี้ จะให้เวลาหยุดพักทั้งสิน 25 นาที
ลงจากรถได้ก็รีบวิ่งลงไปถ่ายรูปรัว ๆ จากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อเลย
วิ่งข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแควแล้ว เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งรถไฟข้ามสะพานนี้นะเนี่ย มองไปในน้ำเจอสาหร่ายกอใหญ่ น้ำใสเหมือนกันแหะระหว่างทางก็ชมนก ชมไม้ ชมภูเขา ชมแม่น้ำเรื่อยไปอีก 1 ชม. ก็จะมาถึงไฮไลท์สำคัญของเราครั้งนี้ คือ ทางรถไฟสายมรณะ โดยรถไฟจะหยุดจอดตรงสถานีถ้ากระแซ 1 ซึ่งอยู่ตรงหน้าสวนไทรโยครีสอร์ทพอดี ก่อนหนึ่งครั้ง ผมก็เอากระเป๋าฝากเพื่อนลงไปเก็บก่อน จากนั้นผมก็นั่งรถไฟต่อไปยังสถานีถ้ำกระแซ 2 ซึ่งเป็นเส้นทางจุดที่เป็นไฮไลท์ ระยะทางประมาณ 350 เมตร
ถ้านั่งฝั่งซ้ายมือ จะเห็นแม่น้ำและสะพาน ถ้านั่ง ขวามือ จะติดหน้าผา โชคดีที่ผมได้นั่งด้านซ้ายพอดี
ส่วนใครนั่งด้านหน้าผา เขาบอกว่าให้เอามือลูบที่หน้าผาแล้วอธิษฐาน แล้วสิ่งที่ขอจะสมหวัง
มองย้อนกลับไปจะเห็นสวนไทรโยครีสอร์ท รอก่อนนะ เดี๋ยวกลับมา
ตอนแรกก็มัวแต่ถ่ายไปด้านหน้า ลุ้นตั้งนานไม่เห็นโค้งสักที เลยลองหันมาถ่ายย้อนกลับไป ค่อยเหมือนมุมที่เขานิยมถ่ายกันหน่อย หาอยู่ตั้งนาน 5555ณ เวลาขณะนั้นตื่นตาตื่นใจมาก โผล่หัวออกไปถ่ายรูปรัว ๆ
ไหนหันกลับไปข้างหน้าอีกทีสิ ไปถึงไหนและ แต่มุมนี้ก้อไม่ค่อยเห็นไรจริง ๆ
หันหลังกลับไปอีกรอบ คราวนี้รถไฟเอียงวุ้ย ความเสียวเพิ่มขึ้น
เริ่มกลับมาสู่ระนาบปกติและ ไปกันต่อเลย
รถไฟจะมาหยุดจอดอีกครั้งที่สถานีถ้ำกระแซ 2 ซึ่งสถานีนี้จะอยู่ใกล้กับถ้ำกระแซจริง ๆ ลงกันเลย เดินย้อนกลับไปรีสอร์ทดีกว่าระหว่างทางก็แวะไหว้พระกันหน่อยที่ถ้ำกระแซ สาธุ สาธุ
ระหว่างเดินกลับก็ผ่านจุดที่เขาซ่อมสะพานอยู่ด้วย จุดนี้ต้องหลบดี ๆ คนเยอะ ๆ มีสายไฟด้วย
โค้งนี้วิวสวย หยุดถ่ายเซลฟี่สักหน่อย แชะ ๆ
เอ้าเดินต่อ ๆ ถ้าใครไม่ชอบความหวาดเสียว แนะนำให้ลงไปเดินข้างล่างนะ จะเดินสบาย ชิว ๆ กว่า ส่วนผม เลือกเดินผิดทาง ก็ต้องสู้ต่อไป 5555มองย้อนกลับไปก็จะเห็นโค้งน้ำ สวยงาม ด้านล่างจะเป็น บ้านริมแควแพริมน้ำ รีสอร์ท
เขาน่าจะเริ่มซ่อมสะพานมาสักระยะแล้วนะ ไม้หมอนรถไฟสภาพยังใหม่อยู่เลย
เย้ ๆ ในที่สุดก็มาถึงรีสอร์ทแล้ว ใช้เวลาเดินนานพอสมควร เพราะคนข้างหน้าเดินไปกรี๊ดไป คงจะหวาดเสียว เพราะถ้าก้าวพลาด มีร่วงแน่ ๆ ไม่มีอะไรกั้น แถมก็สูงพอสมควรเลย จะแซงก็แซงไม่ได้ ต้องค่อย ๆ เดินตามเขาไปถึงพื้นดินแล้วว มีรูปปั้นสวัสดีมาต้อนรับ
ย้อนกลับไปดูทางที่เดินผ่านมา ไม่ใกล้ ไม่ไกล แต่ทำไมใช้เวลาเดินนาน ๆ อยากรู้ต้องลองไปพิสูจน์กันนะ ตรงนี้มีทางลงไปรีสอร์ทอยู่ด้วยเดินลงไปได้เลยมาดูความสูงสะพานกันบ้าง ตกลงมามีขาหักแน่ ๆ
เข้ามาในรีสอร์ทและ หญ้าที่นี่เขียวมากกกถึงมากที่สุด
ที่พักของเราคืนนี้ เป็นแพริมน้ำ ห้องนึงนอนได้ 4 คน แต่ไม่มีห้องน้ำในตัวนะ ต้องเดินขึ้นไปบนฝั่ง ตรงร้านอาหาร ไม่ไกลมาก แต่ขึ้นลง ๆ บ่อย ๆ มีเหนื่อยอยู่ด้านในห้องพักก็ประมาณนี้ ขโมยรูปจากเว็บไซต์เขามาให้ดูนะครับ เพราะลืมถ่ายไว้
หลังจากกินข้าวบ่ายเสร็จ รถไฟขบวนใหม่มาถึงแล้ว ขบวนนี้จะเป็นขบวนโดยสาร ปกติ โบกี้จะยาวกว่าขบวนท่องเที่ยวที่เรานั่งตอนมามาก และจะมีคนขึ้นลงตลอดเวลาหลังจากกินข้าวเสร็จก็นอนพักผ่อน ถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย เรามีนัดอีกทีตอนบ่ายสี่โมงครึ่งเพื่อไปล่องแพเปียกกัน
The Raft X-Team (ล่องแพเปียก)
กิจกรรมที่ทางสวนไทรโยค รีสอร์ท โดยใช้วิถีชาวกาญจน์ ในการใช้แพเป็นหลัก มาประยุกต์กับกิจกรรม Adventure โดยลาก แพเป็นขบวนทวนแม่น้ำแควน้อย 2 กม. แล้วปล่อยแพล่องจากน้ำอิสระ โดยผู้เล่นจะสวมเสื้อชูชีพ แล้วกระโดดลงน้ำลอยตัวมาขึ้นที่รีสอร์ทหรือบนแพ พร้อมชมวิวสะพานถ้ำกระแซได้ตลอดตั้งแต่แรกจนจบ โดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุมความปลอดภัยให้กับทุกท่าน เนื่องจากที่ตั้งรีสอร์ทเป็นแน้วโค้งรับน้ำยาวกว่า 500 เมตร ท่านจึงสะดวกสบายในการขึ้นจากแม่น้ำ
ตรงนี้น้ำไม่ลึก ยืนถึง แต่น้ำจะเชี่ยวมาก ถ้าพร้อมแล้ว ก็ปล่อยตัวตามสบาย ไหลตามน้ำไปเรื่อย ๆ
ลอยตามน้ำไปมองดูวิวสะพานไปเพลินดี แต่มันก็มีจุดที่ต้องควรระวังนิดหน่อย เจ้าหน้าที่เขาจะบอกเราตั้งแต่ตอนลากเรือมาแล้วว่าอย่าเข้าไปชิดฝั่ง ให้ลอยอยู่ตรงกลางเข้าไว้ แล้วก็ให้ระวังก้อนหินที่โค้งน้ำก่อนถึงรีสอร์ท แต่ทั้งนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่เกาะติดไปกับเราตลอด เวลาเราออกนอกลู่นอกทาง เจ้าหน้าที่ก็จะคอยช่วยลากกลับมาให้ ทำให้ไม่น่ากลัว สนุกดี ๆแดดไม่มีแล้ว น้ำเย็น ๆ คลายร้อนได้มากเลย
เผลอแว๊บเดียว ลอยมาถึงรีสอร์ทแล้วว… ด้านหน้ารีสอร์ทมีเครื่องเล่นทางน้ำให้เล่นด้วย แต่ต้องเสียเงินเพิ่มต่างหาก
วันนี้คงหมดแรงจะเล่นเครื่องเล่นและ กลับไปเล่นน้ำต่อหน้าแพดีกว่า
ถึงแล้วววว รีบฟรีสไตล์เข้าไปเลย หากเลยไปกว่านั้นต้องไปขึ้นท้ายแพ ต้องเดินย้อนกลับมาอีก เสียพลังงานเพิ่ม
หลังจากเล่นน้ำจนหนำใจก็ขึ้นไปอาบน้ำ เตรียมตัวทานอาหารเย็นกัน โดยอาหารเย็นวันนี้ ทางรีสอร์ทได้จัดไว้ให้เป็นแบบบุฟเฟห์ แต่มีข้อแม้คือสามารถเติมได้แค่บางอย่างเท่านั้น เช่น ไข่เจียว แกงจืด น้ำพริกกะปิ พวกปลาทอดหรือไก่ทอดจะเติมไม่ได้
หลังจากนี้ยังมีกิจกรรมรอบกองไฟกับอาหารมื้อดึกอีก แต่ด้วยความเหนื่อยผมเลยขอกลับไปนั่งเล่นหน้าแพดีกว่า