แอ่วชิคๆ ที่ แม่กำปอง แล้วไปนอนหนาวที่ยอด
แอ่วเหนือชิคๆ ที่แม่กำปอง
แล้วไปนอนมองดาวที่ดอยหลวงเชียงดาว
กลับมาแล้ว กลับมาอีกครั้ง กับรีวิวการเดินทาง ครั้งนี้เราได้เดินทางไปยังจังหวัดที่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่คิดว่าหลายๆคนเคยไปกันมาแล้วล่ะ นั่นก็คือ จังหวัดเชียงใหม่นั่นเอง คราวนี้เราพาเพื่อนๆเรามาด้วยแหละ รวมกัน 7 คนเลยที่เดียว เรามาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า
แต่เดี๋ยว ก่อนจะไปอ่านรีวิวมาดู Vlog จากแก๊งเรากันก่อนละกันเนอะ
Vlog : EP.1 : https://www.youtube.com/watch?v=RYmv4z7o5MY
Vlog : EP.2 : https://www.youtube.com/watch?v=MjolTf9AnQs
BYควายไทย แบ็กแพคเกอร์
หลังจากดูคลิปกันเรียบร้อยแล้ว มาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า มาครั้งนี้เรามีเวลาเตรียมตัว และวางแผนกันค่อนข้างมากก่อนการเดินทาง มาให้เราไปเที่ยวครังนี้ ถึง 6 วัน กันเลยที่เดียว
เริ่มด้วยการที่ผมกับน้องที่รู้จักกันคนหนึ่ง ชวนกันไปขึ้นดอยหลวงเชียงดาว ด้วยความชอบที่เหมือนกันเลยวางแผน แล้วที่วางแผนก็คือ ร้านประจำของพวกเรานั่นเอง หลังจากเรียบร้อยกับความคิดแล้ว ผมก็เลยชวนเพื่อนผม น้องก็ชวนเพื่อนน้อง ไปๆ มาๆ รวมได้ 7 คน จากนั้นเราก็วางแผนในการจองขึ้นดอยหลวงกับอุทยานโดยตรง แต่ปีนี้ค่อนข้างจองยาก แล้ววันที่ขึ้นได้ก็จะเป็นได้แค่วันหยุด พวกเราเลยตกลงกันว่าจองกับเชียงดาวแคมป์ปิ้ง หลังจากนั้นพวกเราก็เตรียมตัวเตรียมใจเพื่อไปขึ้นดอยกันได้เลย
พวกเราสายประหยัดครับ เราจองตั๋วรถทัวร์กับสมบัติทัวร์ ทั้งไปและกลับครับ ไปกลับ ไม่ถึง 1000 บาท
DAY 1
พวกเราเดินทางในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ ทำให้มีวันหยุดหลายวัน พวกเรานัดกันขึ้นรถที่สมบัติทัวร์ วิภาวดี ตอน 21.30 น. พวกเรานัดรวมตัวกันทั้งหมด 5 คน เพราะอีก 2 คนจะตามไปทีหลัง วันที่ขึ้นเขาเลย เพราะพวกเราจะไปเที่ยวที่แม่กำปองกันก่อน หลังจากขึ้นรถ พวกเราก็แยกย้ายกันนอน เก็บแรงจนมาถึงสถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ (อาเขต) เวลาประมาณ 07.00 น.
หลังจากมาถึง สถานีขนส่งอาเขตแล้ว พวกเราก็จัดการเดินหาร้านเช่ารถมอเตอร์ไซต์ก่อนเลย แถวสถานีขนส่งนั่นแหละครับท่านผู้ชม มีหลายร้านให้เลือกเลย ราคามีตั้งแต่ 250 ขึ้นไป ขึ้นอยู่ว่าประเภทไหน หลังจากพวกเราเช่ารถได้แล้ว 3 คัน พวกเราก็ขี่ไป Hostel ที่เราจองไว้ผ่าน Agoda เป็นห้องรวม เนื่องจากพวกเรามาถึงเช้า จึงไม่สามารถ Check in ได้ พวกเราเลยฝากระเป๋าไว้ก่อน แล้ว ก็จัดการกับตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเที่ยวกันเลย ฮ่าๆๆๆ
เมื่อจัดการตัวเองเสร็จแล้ว ราก็แว๊นกันไปรับเพื่อนของเราอีกคน ซึ่งขายขนมปังอยู่ที่เชียงใหม่นั่นแหละ ชื่อร้านปังอินดี้ นะจ๊ะ เผื่อใครมาเที่ยวแล้วเจอฝากอุดหนุนด้วยนะ ฮ่าๆๆๆๆ
พวกเรานัดกันไว้มาในธีมหม้อห่อมนะจ๊ะ เราขี่รถกันมา โดยมีเพื่อนที่เป็นเจ้าถิ่นเป็นไก้ด์นำทางมา ขี่กันมาเรื่อยจนถึงแม่กำปอง แต่เรายังไม่แวะที่นี่นะ ขี่ชมไปเรื่อยๆ จนเลยไปเขตจังหวัดลำปาง เพลินเลยล่ะ แต่ได้ชมวิวสวยๆนะ หลังจากเลยเข้ามาสักพักก็ได้จอดรถพัก ไม่ไปต่อและ ทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยกลัวรถจะขี่ขึ้นไม่ไหว
หลังจากที่ทุกคนหายเมื่อยตูดจากการขี่รถมานานแล้ว เราก็ขี่รถย้อนกลับไปทางเดิม ไปแวะชมวิวที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนกันสักหน่อย ซึ่งมีจุดชมวิวกิ่วฝิ่นอยู่ใกล้ๆ เดินไปไม่ไกลก็ถึงแล้ว เรื่องของเรื่องพวกเราปวดจู๊ดๆ กันเลยหาห้องน้ำเข้า ฮ่าๆๆๆๆ เมื่อทุกคนปล่อยของเรียบร้อยและ เราก็พากันเดินไปที่จุกชมวิวกันเลย เออออลืมไปที่นี่มีจุดกางเต็นท์ด้วยนะ คราวหลังต้องมานอนสักคืนซะแล้ว เก็บบรรยากาศ และเย็นๆเข้าปอดเป็นที่เรียบร้อย เราก็เดินทางกันต่อไป ระหว่างทางเราก็แวะชมน้ำตกแม่กำปองกันแปปหนึ่งนะ และคราวนี้ไปแม่กำปองกันเลย เพราะทุกคนเริ่มหิวแล้วตอนนี้คนเริ่มเยอะแล้ว ไหนจะทัวร์อีก พวกเราจึงตัดสินใจขี่รถไปจอดรถด้านล่างๆหน่อย แล้วก็เดินขึ้นมาหาของกินอร่อยๆกันดีกว่า (ท้องร้องจ๊อกกกกๆ)
หลังจากอาหารชุดใหญ่กันมากินจนจุกแล้ว พวกเราก็ไปเดินเล่น เดินถ่ายรูปชิคๆกันหน่อย แม่กำปองเป็นหมู่บ้านที่น่ารักดี ถ่ายรูปตรงไหนก็สวย ระว่างทาง รั้วบ้านแทบจะทุกหลังปลูกตั้นไม้ประดับสวยทุกบ้านเลย
เมื่อเที่ยวกันจนเพลินแล้ว สูดอากาศดีๆจนเต็มปอด กินอาหารจนเต็มพุงแล้ว ก็ได้เวลาที่พวกเราต้องกลับไป Check in แล้วแหละ ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 15.00 น. แล้ว พวกเรานั้นพี่เจ้าของ Hostel ไว้ เรามาถึง ก็ประมาณ 16.00 น. เราก็ทำการ Check in แล้วก็เก็บข้าวของ บางคนก็ไปอาบน้ำ บางคนก็สลบไปกับที่นอน
หลังจากทุกคนทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เวลาสักประมาณ 19.00 น. พวกเรานัดกันไว้ที่บาร์ข้างล่างโฮส แล้วก็ขี่รถกันไปเดินที่ถนนคนเดินวัวลาย แล้วก็ไปหาอะไรอร่อยกิน แล้วก็ตามหาหมาล่าที่ผมอยากกินด้วย ฮ่าๆๆๆๆ หลังจากเดินเล่นกันจนเหนื่อย (เบียดกับคนเหนื่อยนะ ฮ่าๆๆๆ) เราก็กลับมาที่โฮส มานั่งเมาส์มอย แล้วในขณะที่ผมกำลังนั่งกินหมาล่าอย่างอร่อย น้องที่รู้จักของผมก็บอกผมว่า พี่ต้อม ไปรับเพื่อนหนูที่สนามบินให้หน่อย หนูไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆๆๆ (เป็นภาระตูอีก) จากนั้นผมก็แว๊นไปรับเพื่อนน้องที่ตามมาทีหลัง แบบงงๆ ฮ่าาาาา จากนั้นก็กลับมาเมาส์มอยกันต่อ แล้วก็กินโน่นนี่จนไม่ไหวและ ทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปนอน ราตรีสวัสดิ์ DAY 2
ตื่นๆๆๆๆๆ ทุกคนเช้าเล้ว เรานัดกันไว้ ตื่นตอน 05.00 น. จัดการกับตัวเองเก็บข้าวเก็บของ ต้องไม่เกิน 06.30 น. แล้วต้องไปถึงสถานีขนส่งอาเขต แล้วคืนรถไม่เกิน 07.00 น. จากนั้นเราก็นั่งรถสองแถวจากสถานีขนส่งอาเขต มาถึงสถานี้ขนส่งช้างเผือกประมาณ 15 นาที แล้วก็หาข้าวเช้ากินก่อนเดินทางไปอำเภอเชียงดาวเพื่อเตรียมขึ้นเขากัน
หลังจากอิ่มกันแล้ว เราก็เดินไปซื้อตั๋วรถเพื่อไปเชียงดาว เราขึ้นรถสายเชียงใหม่ - ท่าตอน หลังจากนั้นก็โยนระเป๋าไว้ใต้ท้องรถแล้วก็ขึ้นมานั่งเบียดๆกันหน่อย เบาะละ 3 คน แล้วรถก็ออกเวลาประมาณ 08.00 น. ระหว่างทางก็จะจอดแวะรับส่งผู้โดยสารตลอดทาง กว่าจะถึงเชียงดาวก็ใช้เวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมง
เมื่อเรามาถึงเชียงดาว เรานัดกับพี่ที่แคมป์ที่จะมารับเราไว้ เรามาถึงประมาณ 10.00 น. ยืนรอสักพักพี่คนขัยก็ขับ 4x4 มารับ แล้วก่อนมารับ ผมก็เสียตังค์ซื้อหมวกทหารตรงนั้นไปใบหนึ่ง ราคาเบาๆ จากนั้นพี่คนขัยก็ขับพาเราไปยังจุดเดินขึ้ตรงนอ่างสลุง ซึ่งเราจะขึ้นทางเด่นหญ้าขัด เพราะขึ้นง่ายกว่าทางปางวัว แต่ระหว่าทาง ทางจะเป็นลูกรัง และถนนแคบ แถมพี่คนขับก็ขับซิ่งซะด้วยทำพวกเราหัวฟู หัวแดงกันเป็นแถว แล้วในที่สุกก็มาถึงจุดขึ้นอ่างสลุงแล้วววววววโว้ยยยย หลังจากนั้นพี่ที่เป็นไกด์ ก็แจกข้าว กับน้ำให้พวกเรา แต่พอดี๊พอดี ข้าวมันเหลือเยอะ พวกผมก็เลยขอเพิ่มอีกคนล่ะห่อ ก็กลัวไม่อิ่มนี่ ฮ่าๆๆๆๆ ผูกไว้ข้างหลังกระเป๋า จากนั้นก็รวมกลุ่มถ่ายรูปกับป้ายก่อนเดินขึ้น จากนั้นก็ลุยกันเลย
ในช่วงแรกเป็นทางราบ เดินง่ายๆ เดินกันไปเรื่อยๆยังเป็นพื้นแห้งอยู่ ทุกคนก็จั้มอ้าวๆกัน เพราะกลุ่มเรามาถึงทีหลัง เพราะมาช้า กลุ่มอื่นเดินนำไปก่อนสักพักแล้ว พอเดินมาเรื่อยๆ ทางเริ่มชันบาง เปียกชึ้นจากน้ำค้างบ้าง แถมข้างทางหญ้าก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเลยแหละ ทำให้เพื่อนบางคนเดินไป ลื่นไป บางคนก็ล้มหัวทิ่มกันไปเลยล่ะท่านผู้ชม ฮ่าๆๆๆๆ เอาน่ะเป็นสีสันดี สร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนๆหายเหนื่อยได้ บางช่วงพวกเราก็แวะถ่ายรูปในจุดที่เป็นเหวบ้าง วิวสวยๆบ้าง
เราเดินกันมาเรื่อย ทางก็เดินยากขึ้นเรื่อยๆ บางช่วงก็แคบเป็นโขดหินเดินยาก บางช่วงก็ต้องอาศัยหญ้าข้างทางช่วยดึงกันลื่น แต่ระหว่างทางพวกเราก็เดินคุยกันไป ร้องเพลงกันไป ก็ช่วยให้ลืมช่วงเวลาที่เหนื่อยได้นะ ฮ่าๆๆๆ จนเดินมาถึงเกือบครึ่งทางละ ก็เที่ยงพอดีแหละ ก็มีจุดพักทานข้าว ซึ่งมีกลุ่มที่ขึ้นมาก่อนก็ยังนั่งทานกันอยู่ พวกเราก็เลยวางเป้แล้วก็ หยิบห่อข้าวเหนียวขึ้นมากันบ้าง เติมพลังกันสักหน่อย
จากจุดนี้แหละ เมื่อเราอิ่มกันแล้วก็เดินต่อ จนแซงกลุ่มหลายๆกลุ่มไป (ฟิตกันสุดๆ) เดินมาเรื่อยๆก็มาเจอทางแยก ที่เราจะใช้ในการเดินลง (ปางวัว) เราก็เลยนั่งพักเนื่อยกันสักพัก ตรงนี้มีหลายๆกลุ่มนั่งพักกันเยอะ จากนั้นพวกเราก็เดินต่อ เหลืออีกครึ่งทางสู้ๆ
เดินมาเรื่อยๆ ก็มาถึงในส่วนของพื้นที่โล่งละ แต่ก็จะเป็นภูเขาหิน ค่อนข้างชั้น และแคบมาก ทำให้เราเหนื่อยกับการเดินบริเวณนี้กันมาก และแวะพักกันตลอดทาง พลัดกันเดินแซงกันไป แซงกันมา กับอีกหลายๆกลุ่มพร้อมประโยคที่ว่า เดี๋ยวไปพักรอข้างหน้านะครับ พลัดกันไป พลัดกันมา พอเดินมาได้สักระยะ แต่อีกนิดเดียวใกล้จะถึงจุดพักแรมแล้ว น้องในกลุ่มก็ดันเกิดเป็นตะคริวขึ้นมา ทำให้เพื่อนผมต้องทำการคลายเส้นให้ จับนอนยืดขากันไปเลย ฮ่าๆๆๆๆ กลัวเลอะที่ไหน จากนั้นพวกเราก็เดินมาถึงจุดพักแรมซะที ฮ่าๆๆๆๆ ได้พักแล้วโว้ยยยย หลังจากทุกคนมาถึงเต็นท์ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ต่างคนก็แยกย้ายเข้าเต็นท์ของตัวเอง ตอนนี้ก็ประมาณ 14.00 น. ส่วนผมก็หลับครับ ขอพักเอาแรงซักหน่อย แล้วค่อยตื่นมาเพื่อเดินขึ้นยอดดอยหลวงไปดูพระอาทิตย์ตกกัน จากนั้นพอประมาณ 17.00 น. เราก็เริ่มเดินขึ้นยอดดอยหลวง ซึ่งก่อนเดินพวกเราก็เตรียมเสื้อกันหนาวกันไป กันคนละตัว 2 ตัว เพราะหลังจากพระอาทิตย์ตกจะเป็นอากาศที่หนาวสุดๆ เราเดินขึ้นมาๆเรื่อยๆ ซึ่งทางชั้นมาก ระหว่างทางพี่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า มีกวางผามายืนอาบแดดแก้หนาวอยู่ที่เขาอีกลูกหนึ่ง ผมไม่ลีรอเก็เลยหยิบกล้อง พร้อมเลนส์เทเล ซูมสุดกระบอกออกมาถ่าย ทุกคนต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นกวางผากัน หลังจากนั้นพวกเราก็เดินจนถึงยอด เพื่อรอดูพระอาทิตย์ตก
เมื่อขึ้นมาถึงยอดทุกคนก็ต่างหามุมที่นั่งจับจองเตรียมถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอกัน และเมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ก็เริ่มตกลงเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันพระจันทร์ก็กำลังขึ้นมาอีกฝั่ง แต่ในขณะที่เกือบทุกคนกำลังสนใจพระอาทิตย์อยู่ แต่ดันมีเมฆมาบัง กลุ่มผมกับอีกบางกลุ่ม ก็หันกลับไปสนใจพระจันทร์เต็มดวงที่กำลังจะขึ้นมามากว่า
หลังจากที่พระอาทิตย์ตกจนหมดแสงแล้ว อากาศก็หนาวฉับพลันมากๆ สั่นกันไปเลยทีเดียว ก็จะมีคนค่อยๆทยอยลงจากยอดเขาลงไปยังจุดพักเต็นท์ ด้านล่างที่อยู่กลางหุบเขาที่อากาศเย็นน้อยกว่าด้านบน แต่บางคนก็ทนอยู่กับอากาศหนาว เพื่อรอถ่ายดาว ซึ่งดาวก็ค่อยๆขึ้น มาให้ชมอย่างมากมาย สักพักหนึ่งกลุ่มผมก็ค่อยๆเดินลง ซึ่งตอนนั้นประมาณ เกือบๆ 2 ทุ่ม เพราะทนความหนาวไม่ไหว ขณะลงก็ลื่นกันบาง เพราะมืดมากมองไม่เห็นทาง แล้วเราก็ลงมาทานอาหารที่พี่ไกด์จัดเตรียมไว้ให้อย่างอิ่มหนำสำราญเลยทีเดียว พ่อครัวแม่ คงดีใจน่าดูที่พวกเรากินกันจนขอให้ตักเพิ่มอีก 3-4 รอบ ฮ่าๆๆๆ ส่วนกลุ่มอื่นเขากินกันแค่รอบ สองรอบเอง จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายเข้านอน จบแล้ววันที่ 2
มาต่อกันเลยดีกว่า ในคืนนั้นหลังจากที่ทุกคนเข้าเต็นท์นอนกันอย่างไว จริงๆแล้วนอนไม่หลับหรอกครับ เพราะอากาศหนาวมาก บนยอดดอยหลวงอากาศประมาณ 0 องศา ส่วนตรงที่พวกผมนอนก็ประมา 5 - 6 องศา แถมมีลมแรงทั้งคืน ในขณะเดียวกันเต็นท์ข้างก็มีเรื่องมาคุยให้ฟังกันทั้งคืน ฟังไปฟังมา จนผมเผลอหลับไป แล้วบอกน้องว่า จะตื่นขึ้นมาถ่ายช้างเผือก สักประมาณ ตี 2
จากที่เผลอหลับไป ประมาณตี 2 ผมก็ตื่นขึ้นมาจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะจมาถ่ายดาวนะ แต่เพราะว่าผมปวดจู๊ดๆๆ อีกแล้ว น่าจะเพราะว่ากินข้าวเข้าไปเยอะ เอออออลืมบอกไปเลย ที่นี่จะเป็นส้วมหลุมนะครับ แต่จะมีที่กันไว้ให้เป็นตาข่ายสแลนด์สีดำ ที่ไว้ใช้กันแดดล่ะครับ เรื่องกลิ่นและความสะอาจคงไม่ต้องพูดถึงโน๊ะ ก็มันในป่านิ (เตรียมทิชชู่เป็ยกกันไปเยอะๆนะจ๊ะ จากนั้นพอผมเริ่มปวดมากๆผมเลยเรียกน้องที่นอนด้วย
"น้องๆ พี่ปวดหนักว่ะ ไปเป็นเพื่อนหน่อย (คือแบบว่ากลัวไง ชวนน้องดีกว่า) แล้วบอกว่า เดี๋ยวกลับมาถ่ายดาวด้วย"
หลังจากนั้นเราออกมาจากเต็นท์กัน โอ้ว สว่างมากไม่ต้องใช้ไฟฉายเลย พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงทะลุหมองที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า เป็นสีส้มนวล (บ่นในใจอดถ่ายดาวอีกและ) จากนั้นผมกับน้องก็เดินเข้าไปในป่าในส่วนที่เป็นส้วมหลุม แต่ดันว่า หลังกันอยู่สักพักหนึ่ง เพราะทางในตอนกลางวันกับกลางคืน แทบจะไม่เหมือนกันเลย เราเลยเดินวนไปวนมา จนเจอ เกือบ 15 นาที จากนั้นผมก็ได้เวลาปล่อยของท่ามกลางแสงจันทร์ และหลังจากเรียบร้อยก็กลับมานอนขดตัวอยู่ในเต็นท์
พอประมาณสัก ตี 4 ครึ่ง พี่ที่เป็นไกด์ก็เดินมาปลุกพวกเรา และคนอื่นๆ และถามว่าใครจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วลมไหม เตรียมตัวเลย อีก 10 นาที เจอกัน พวกเราก็งัวเงียกันตื่นขึ้นมา แล้วก็เดินตามพี่ไกด์ไป พวกเราเป็นหัวขบวนนะจ๊ะ เดินอยู่หน้าชาวบ้านเลยจ่ะ เนื่องจากทางที่มืดมาก และค่อนข่างลื่นจากน้ำค้าง พวกเราจะคอยส่งเสียงบอกคนข้างหลังที่เดินตามกันมาว่าทางข้างหน้าเป็นอย่างไร จนมาถึงจุดชมวิวกิ่วลม
พวกเรานั่งทนสู้กับอากาศหนาว 0 องศากันสักพัก ฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้น แสงจากพระอาทิตย์ ก็ค่อยๆโผล่ออกมาจากเมฆหมอก ขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่อย จนเต็มดวง และส่องแสงจ้าในที่สุด แต่สุดท้ายก็มีเมฆมาบังเป็นระยะๆอีกตามเคย แต่ในขณะที่พระอาทิตย์ขึ้น พระจันทร์ก็กำลังจะจากเราไปในอีกฝั่งหนึ่ง แถมวิวฝั่งนี้ยังสวยกว่า จะรอไรล่ะครับ ทุกคนต่างถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอเก็บความทรงจำไว้ดู แถมกับหมอกที่ปกคลุมพวกเราอยู่ตลอดเวลา และทะเลหมอกที่อยู่ต่ำลงไปจากยอดกิ่วลม ฟินสุดๆ ไปชมภาพกันดีกว่า
หลังจากชมความงามนตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวเดินลงจากยอดกิ่วลม ด้วยทางที่ชัน และแคบ ก็จะมีลื่นบางอะไรบ้างแหละ ฮ่าๆๆๆ แต่ระหว่างทางก็จะเจอ ดอกไม้ใบหญ้า หลายๆชนิด แถมยังมีน้ำค้างที่เกาะอยู่อย่างหนาแน่เลยทีเดียว จนเดินเรื่อยๆกลับมา กินข้าวเช้ากัน แล้วก็เหมือนเดิม พี่ไกด์จำความแสบของกลุ่มพวกเราได้ จัดอาหารมาให้ชุดใหญ่ไฟกระพริบเลย คอยเติมให้ตลอด จนจุกกันไปเลยทีเดียว หลังจากอิ่มกันจนพุงแตกแล้ว ข้าศึกก็เริ่มบุกสำหรับบางคน ส่วนผมสบายตัวและ จัดการไปเมื่อคืน แต่มีน้องสาวในกลุ่มคนหนึ่ง ซึ่งปวดตั้งแต่ตอนเดินขึ้นมา จนมาอยู่ข้างบนเขาแล้วก็ยังปล่อยไม่ออก ฮ่าๆๆๆๆ สภาพแวดล้อมมันกดดันสุดๆ หลังจากนั้นพี่ไกด์ก็ถามพวกเราว่า จะเดินไปดูสวนดอกไม้บนยอดเขาไหม เป็นดอกไม้ที่หายาก พวกเราก็เลยถามไปว่าไปไกลไหมครับ พี่แกก็เลยบอกว่า เดินเลย ที่เราไปดูพระอาทิตขึ้นไปอีก พวกเราก็เลยบอกพี่แกไปว่า พวกผมขอกลับไปนอนดีกว่า เพราะไม่ไหวแล้ว หนาวและง่วงมาก ขอตัวไปนอนก่อนนะครับบบบ
หลังจากนอนกันจนถึงประมาณบ่าย แดดเริ่มส่องเข้ามาในเต็นท์แล้ว ตอนนั้นเริ่มร้อน ต่างคนต่างกระดึ๊บๆออกจากถุงนอน แล้วลูกไปล้างหน้าแปรงฟัน ฟัน แล้วไปเตรียมตัวกินข้าวเที่ยงกัน ระหว่าง ที่กินข้าวไป คุยไป เราก็คุยกันว่า วันนี้จะขึ้นไปยอดดอยลวงอีกครับ แต่จะขึ้นไปไวหน่อย สักบ่าย 3 โมง ขึ้นไปก่อนคนยังไม่เยอะ ไปเก็บตกที่เมื่อวานแทรกคนเข้าไปไม่ได้ พอถึงเวลาก็เดินขึ้นไป ดูรูปกันไปยาวๆโน๊ะ กิจกรรมตอนนี้ก็คล้ายวันแรกที่ขึ้นมาครับ เพียงแค่มีเวลามากขึ้นครับ
หลังจากที่เดินถ่ายรูป ชมวิว ดูพระอาทิตย์ตกกันจนหนำใจแล้ว พวกเราก็เดินลงมา แต่วันนี้พระจันทร์ยังไม่ขึ้นนะ ผมก็เลยได้ถ่ายดาวหมุนในวันนี้ เพราะว่าช้ายังไม่ขึ้นครับ แต่พอถ่ายได้สักพัก หมอก และพระจันทร์ก็เริ่มขึ้นมาพร้อมๆกัน ทำให้ผมถ่ายต่อไม่ได้ ก็เลยเข้าไมนอนขดตัวในเต็นท์ซะเลย ราตรีสวัสดิ์ เจอกันวันพรุ่งนี้ DAY 4
ตื่นมากับเช้าวันที่หนาวเหน็บซะเหลือเกิน เพื่อคืนนอนแทบไม่หลับ จนตี 5 เอาวะ ตื่นก็ได้ ตอนแรกนึกว่าจะตื่นมาแค่คนเดียวสรุปตื่นมาเกือบหมดจ้า ผมและเพื่อนๆ เลยตัดสินใจเดินลงไปนั่งผิงไฟ ไปหาอะไรร้อนๆกินอยู่ตรงที่เขากำลังถามอาหารกัน อุณหภูมิเช้านี้ 9-10 องศาจ้า แล้วเมื่อคืนจะเท่าไหร่นี่ ผมไม่รอช้าไปนั่งผิงไฟอยู่ตรงเตาหุงข้าว แล้วก็ไปหยิบกาแฟมาชงกิน บางคนก็เทน้ำร้อนใส่แกล้วมาถือไว้จะได้อุ่นๆ ส่วนน้องสาวผมผู้ที่ขึ้นมาแล้วยัง จู๊ดๆ ไม่ออก พยายามบิ๊วตัวเองถุกวิธี ทั้งกระโดดโลดเต้น กินกาแฟ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ฮ่าๆๆๆๆๆ
จากนั้นพอฟ้าเริ่มสว่างพวกเราก็กลับไปที่เต็นท์ ไปล้างหน้าแปลงฟัน แต่ไม่มีน้ำให้อาบนะ 3 วันแล้วอาบแห้งกันไป ชิชชู่เปียกจ้า แล้วเราก็เริ่มเก็บของ เก็บเต็นท์ จัดกระเป๋า เตรียมพร้อมเดินลง แล้วเราก็ไปนั่งรวมกินข้าวเช้ากับกลุ่มอื่นๆก่อนเดินลง หมดเวลาแล้วชีวิตบนเขา เมื่อทุกคนพร้อมก็ต้องมาลุยกันอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นขาลง จะค่อนข้างลื่นเป็นพิเศษ พวกเราค่อยๆเดิน บางช่วงก็วิ่งจะได้ไม่ลื่นจนมาถึงจุดพักจุดหนึ่ง ก็มีพี่ๆเขาแซวว่า นี่ๆ กลุ่มเฮฮามาแล้ว ฮ่าๆๆๆ พวกผมฮากันขนาดนั้นเลยหรอ คราวนี้เราจะต้องเดินลงอีกทาง (ปางวัว) ทางนี้จะชันมากๆ แต่จะใช้ระยะทางที่สั้นกว่า พวกเราใช้เวลาเดินจนมาถึงจุดพักรถที่มารอรับพวกเราข้างล่าง ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งกลุ่มเราลงมาถึงเป็นกลุ่มแรกเลย เพราะว่ากลิ้งกันลงมาฮ่าๆๆๆๆ
หลังจากลงมาถึงแล้ว สภาพแต่ละคนดูกันไม่ได้เลน เพราะลื่นกันมาตลอดทาง ฮ่าๆๆๆ พอมาถึง พวกเราก็มากินข้าวขาหมูกันคนละกล่อง ที่พี่ไกด์เตรียมไว้ให้ และที่สุดคือ น้ำอัดลม มันซาบซ่ามาก หลังจากินกันอิ่มก็ขึ้นรถไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่แคมป์จ่ะ
เมื่อมาถึงแคมป์ พวกเราก็รีบแยกย้ายกันไปอาบน้ำ อาบท่า จนสะอาดเอี่ยมอ่อง หลังจากไม่ได้อาบมา 3 วัน จากนั้นพี่ไกด์ก็เดินมาถามว่ากินเบียร์กันไหมน้องๆ ไปหยิบมากินเลยคนละขวดพี่เลี้ยง ด้วยความเกรงใจผมก็ตอบกลับไปว่า อ่อครับ ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวเก็บไว้สบทบตอนเย็น หลังจากนั้นก็เก็บข้างของขึ้นรถ เตรียมไปส่งอีก 3 คนที่สถานี้คนส่งเชียงดาวกลับเข้าเมืองก่อน แต่ก่อนจะไปส่ง พวกเราก็ของให้ลุงคนขับ พาไปแช่บ่อน้ำพุร้อนแถวๆนั้น ด้วยความที่เมื่อยเท้ากันไปมาก พวกเราก็ลงไปเอาเท้าแช่ที่บ่อน้ำพุร้อน ประมาณครึ่งชั่วโมง จนรู้สึกดีขึ้น ก็เดินกลับมาเตรียมขึ้นรถ แต่ดันมาเจอร้านขายหมาล่า พวกเราก็เลยแวะกัน และซื้อมากินแบบเผ็ดร้อนหน้าดู จนน้องที่ขายเขินพวกเราที่เอากล้องไปถ่ายบ้างไรบ้าง ก็เฮฮากันไป จากนั้นก็ไปส่งทั้ง 3 คนที่ท่ารถเชียงดาว
หลังจากส่งน้องทั้ง 3 คนเสร็จแล้ว คุณลุงก็พาพวกเรา 4 คนที่เหลือไปตลาดสด เพื่อไปซื้อของมาทำปิ้งย่างกันคืนนี้ พวกเราซื้อของกันเยอะมาก เพราะทั้งหิว และอยากกินกันสุดๆ ต่างคนต่างหยิบของที่อยากกินจนเต็มไปหมด แล้วลุงก็กลับมาส่งเราที่แคมป์อีกที หลังจากนั้นพวกเราก็ใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์สุดๆ ผมกับน้องอีกคนหนึ่ง รับหน้าที่เป็นพ่อครัวประจำคืนนี้ จริงๆแล้วทุกคนช่วยกันทำหมดและ ด้วยความหิวอะไรๆก็อร่อยไปหมด จนมีกลุ่มๆหนึ่ง จองที่พักไว้เหมือนกัน มาอยู่เต็นท์ใกล้ๆพวกเราเลย มาของเชื้อไฟที่เราจุด หลังจากนั้นพวกเราก็กินปิ้งย่างอย่างสุขหนำสำราญ สักพักกลุ่มนี้ก็เอาข้าวเหนียวหมูอะไรสักอย่างมาให้พวกผม แล้วก็กินจนท้องแตกกันไป แต่ว่าของที่เราซื้อมาเยอะเกินเราจึงเอาไปแช่ตู้ที่แคมป์ไว้ทำกินกันพรุ่งนี้อีกที หลังจากกินเรียบร้อยพวกเราก็เดินไปแปลงฟัน แล้วก็กลับมาแยกย้ายเข้านอน ราตรีสวัสดิ์อีกวัน DAY 5
เช้าแล้วพวกเราก็ตื่นกัน แต่ผมนี่สิไม่ตื่นครับ ใครจะตื่นๆไป ขอนอนให้เต็มอิ่มสักคืน ส่วนคนที่เหลือก็ไปถ่ายรูปเล่นบ้าง ถ่ายวีดีโอบาง ตรงที่เรานอนเต็นท์เป็นจุดที่เห็นยอดเขาที่ขึ้นไป ซึ่งเป็นยอดกิ่วลม ส่วนยอดดอยหลวงจะอยู่ลึกเข้าไปอีก วันนี้พวกเราขอสโลไลฟ์กันอยู่ที่แคมป์แบบนักท่องเที่ยวปกติละกันโน๊ะ ที่นี่เราจองเต็นท์เป็นที่พัก แล้วเขามีอาหารเช้าให้ด้วยนะครับ จะมีอยู่ 2 อย่างให้เราเลือก คือ ไข่กระทะ กับพวกฟลุตสลัด แต่เราเลือก ไข่กระทะกัน นั่งกินไป ชมวิวไป ฟินสุดๆ อากาศก็เย็นสบาย ส่วนใครที่ชอบกาแฟที่นี่ก็มีนะครับ แต่เป็นกาแฟดริฟ หลังจากนั้นทั้งวันพวกเราก็กลิ้งๆ นอนๆ นอนเล่น เดินเล่น ที่นี่ จนประมาณบ่ายโมง พวกเราก็ไปเอาอาหารที่เหลือจากเมื่อคืน มาทำอาหารกันเอง พี่เจ้าของเขายกครัวให้เราทำกันเลย แล้วพวกผมก็สั่งสปาเก็ตตี้ กับพวกน้ำผลไม้มากินกันเพิ่ม อาหารที่แคมป์ราคาไม่แพงครับ หากใครมาเที่ยวลองแวะ หรือจองมาพักกันได้ อ่อที่นี่คือ เชียงดาวแคมป์ปิ้ง ครับ จากนั้นตอนเย็นพวกเราก็เดือนทางกลับเข้าเมือง เพื่อขึ้นรถกลับ กทม. เป็นอันจบทริปของพวกเรา หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการอ่านนะครับ แล้วไปเที่ยวกัน ก่อนกลับมาดูอีกอีกคลิปจาก เหม่งศรี สาวแสบประจำทีมกันหน่อยละกัน
Vlog : https://www.youtube.com/watch?v=rTd2jnev9I8
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทริปนี้ผมไม่ขอลงรายละเอียดนะครับ เพราะเถรไถลกับการเที่ยวในครั้งนี้มาก และนี่คือผู้ร่วมเดินทางของเรา บ๊ายยยย บ่ายยยย เจอกันทริปหน้า จุ๊บ จุ๊บ