สองเรา สามเขา สามทะเลหมอก กับ มอ’ไซค์เช่าหนึ่งคัน @ ภูชี้ฟ้า ภูชี้ดาว ดอยผาตั้ง
ลมหนาวกลางธันวาเริ่มพัดพา ก็บังเอิญได้รับคำบัญชาจากคุณนายข้างกายกว่าเธออยากสัมผัสทะเลหมอกนุ่มๆ อยากนอนอาบอากาศหนาวๆ ในช่วงวันลาหยุดงานพักผ่อนปลายปี เลยกลายเป็นภาระของผมต้องกวาดตามองหาสถานที่เหมาะเจาะ เล็งแผนที่อยู่สักพักก็จิ้มเป้า เปิดทริปเชียงราย ตามล่าทะเลหมอกที่ ภูชี้ฟ้า ภูชี้ดาว ดอยผาตั้ง
ก่อนเที่ยวต้องทำความเข้าใจก่อนครับว่า ภูชี้ฟ้า ภูชี้ดาว ดอยผาตั้ง เป็นหนึ่งในหลายๆ ยอดเขาของเทือกเขาหลวงพระบาง หรือบางคนเรียกเทือกเขาดอยผาหม่น ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ทางทิศตะวันออกของเชียงราย ลากลงใต้ไปตามแนวจังหวัดพะเยา จังหวัดน่าน หลายส่วนของแนวภูเขาถือเป็นพรมแดนธรรมชาติ ไทย-ลาว
จริงแล้วตลอดแนวเทือกเขามียอดเขาเต็มไปหมดแหละ ขึ้นอยู่กับว่ายอดไหนจะได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่ขึ้นชื่อมานานก็ต้องภูชี้ฟ้า ต่อมาคือดอยผาตั้ง และเพิ่งเปิดใหม่ล่าสุดในปีนี้คือภูชี้ดาว ซึ่งด้วยความไม่ไกลกันทำให้เราสามารถเที่ยวทั้งสามแห่งในทริปเดียว
หากไม่มีรถยนต์ส่วนตัวคงลำบากหน่อย เพราะเราอาจหารถโดยสารจากอำเภอเวียงแก่นขึ้นดอยผาตั้ง หรือหารถจากอำเภอเทิงขึ้นภูชี้ฟ้า แต่ระหว่างภูชี้ฟ้า ภูชี้ดาว ดอยผาตั้ง ไม่มีรถโดยสาร หากไม่มีรถส่วนตัวก็ต้องเหมารถสองแถวรับจ้าง ราคาระหว่างภูชี้ฟ้ากับดอยผาตั้งอยู่ที่ 500 บาท ขึ้นไป หรือถ้าไม่อยากเหมาก็ต้องแบบผมครับ... มอเตอร์ไซค์ มีร้านเช่าอยู่เพียบที่ตัวเมืองเชียงราย
ทริปนี้ผมเดินทางกับคุณนาย 13-16 ธ.ค. ขึ้นรถทัวร์รอบค่ำตั้งต้นจากโคราช คืนวันที่ 12 ถึงเมืองเชียงรายเช้าอีกวัน ภารกิจแรกคือเช่ารถ รถทัวร์จอดที่ บขส. ใหม่ แต่แหล่งร้านเช่ามอเตอร์ไซค์อยู่ที่ถนนเจ็ดยอด ใกล้กับ บขส. เก่า และหอนาฬิกา มาถึงแล้วเราจึงต้องนั่งสองแถวฟ้าจาก บขส.ใหม่ ไป บขส.เก่า คนละ 15 บาท แต่รถออกเมื่อคนเต็มนะครับ ไม่อย่างนั้นนั่งตุ๊กตุ๊กก็ได้ คนละ 50 บาท
ร้านเช่ารถแถวเจ็ดยอดมีเพียบ เลือกตามใจชอบ เกือบทั้งหมดมีค่ามัดจำตั้งแต่ 3,000 บาท ขึ้นไป พอเข้าใจครับว่าเชียงรายเป็นชายแดนแถมมีปัญหายาเสพติดในหลายพื้นที่ หากปล่อยไม่มีมัดจำโอกาสโดนฉกรถหรือเอารถไปทำอะไรผิดกฎหมายก็มีมาก ไม่อย่างนั้นอยากเดินถามหาร้านที่ไม่คิดมัดจำก็ลองดูเอาเองนะครับ
ผมเลือกเช่าร้าน ST ใหญ่สุดแถวนั้น หาเบอร์โทรไปจองรถไว้ก่อนเพราะเป็นช่วงไฮ เลือกฮอนด้าเวฟ 125 คันเก่าเป็นพาหนะ เพราะรถเก่ามัดจำ 3,000 บาท ส่วนรถใหม่มัดจำ 5,000 บาท ผมสู้ราคามัดจำไม่ไหว สำหรับค่าเช่าค่อนข้างถูก วันละ 200 บาท สภาพเครื่องหลวมพอสมควร น่าจะผ่านการซ่อมมาหลายหน หน้าปัดบอกระยะใช้งานตั้งหกหมื่นกว่ากิโล (ประมาณวิ่งจาก แม่สาย-สุไหงโกลก 30 รอบ) แต่ก็สามารถพาผมกับคุณนายตะลุยจบทริป และไม่มีปัญหาในการคืนรถ สะดวกรวดเร็ว ไม่มีเช็คจุกจิก (เพราะรถเก่าด้วยมั้ง) รับมัดจำคืนเต็มในเวลาไม่เกินหนึ่งนาที
เอาล่ะ พอได้รถแล้วลุยโลดครับ ขึ้นภูชี้ฟ้าเป็นที่แรก เส้นทางง่ายสุดและสั้นสุดคือขึ้นทางอำเภอเทิง เริ่มต้นให้มาที่แยกแม่กรณ์แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 1020 มีป้ายบอกสู่ภูชี้ฟ้าอยู่ตลอดไม่ต้องกลัวหลง ระยะทางรวมประมาณ 120 กิโลเมตร
แต่ใครไปภูชี้ฟ้ามักมางงตรงป้ายนี้แหละ อยู่แถวบ้านปางค่า ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง ขอบอกเลยว่าให้ตรงไปครับ เพราะทางเลี้ยวขวาไม่เหมาะกับรถยนต์ทั่วไป
ถนนสู่ภูชี้ฟ้าลาดยางอย่างดีตลอดสาย พังบ้างบางช่วง สูงชันบางช่วง แต่ไม่เกินปัญญารถทุกชนิด รถยนต์ใหญ่-เล็ก มอเตอร์ไซค์ เกียร์ธรรมดา ออโต้ ไปได้หมดแหละ ขอแค่มีความชำนาญในการขับขี่ก็พอ ฮอนด้าเวฟเก่าๆ ของผมกระเตงสองคนแถมเป้อีกใบใหญ่ยังขึ้นไม่ยาก
สี่ชั่วโมงจากเมืองเชียงราย พักกินข้าว กินกาแฟ ถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงบ้านร่มฟ้าไทย ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายก่อนขึ้นสู่ภูชี้ฟ้า บนภูชี้ฟ้าเป็นวนอุทยานอยู่ในความดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติ ความตั้งใจจริงของผมคืออยากกางเต็นท์นอน วนอุทยานมีให้เช่า เต็นท์ 200 บาท ผ้าห่ม 50 บาท แต่หลังจากดูทำเลที่ทางกางเต็นท์ซึ่งมีอยู่สองจุดบริเวณทางขึ้นภู คุณนายเธอฟันธงว่าไม่พอใจ หาบ้านพักดีกว่า เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้ผมก็หมดสิทธิ์เถียงล่ะสิ (ฮา...)
เกสต์เฮ้าส์แถวบ้านร่มฟ้าไทยมีให้เลือกเพียบ ผมได้ที่พักชื่อเฮือนพักร่วมสร้างสรรค์ ราคาต่ำสุด 500 บาท เตียงนอน น้ำอุ่น แค่นี้ก็โอเคแล้ว และกลายเป็นว่าการเลือกนอนบ้านเป็นการตัดสินใจถูก เพราะคืนนั้นแถวทางขึ้นภูมีก๊วนไหนไม่รู้เปิดเพลงกินเหล้าเสียงกระหึ่มแทบทะลุดอย น่าเศร้าครับว่าปัญหาการไม่มีมารยาทและเกรงใจผู้อื่นในสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติซึ่งแก้ง่ายๆ กลับไม่สามารถจัดการได้ในบ้านเรา (ขอร้องไห้แป๊บ...)
กลับมาว่ากันต่อ หลังพักเอาแรงจนหายเหนื่อยก็ได้เวลาขึ้นสู่ภูชี้ฟ้ารอบแรก จากหน้าด่านตรวจขึ้นไป 2 กิโลเมตร จะพบลานจอดรถและร้านขายของ จุดนี้ต้องเดินเท้าอีก 400 เมตร ใครไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็เตรียมเหนื่อยสักหน่อยนะ และนี่แหละภูชี้ฟ้า... บนยอดภูมองเห็นวิวกว้างไกลทั้งฝั่งไทย ฝั่งลาว ทริคตลกร้ายในการสังเกตว่าฝั่งไหนไทยฝั่งไหนลาวมีอยู่ว่าถ้าตรงไหนเป็นเขาหัวโล้นนั่นแหละดินแดนพี่ไทย ถ้าเขียวร่มรื่นต้นไม้หนาฝั่งนั้นก็ของน้องลาวแน่นอน จากยอดภูชี้ฟ้ามองเห็นภูชี้ดาวอยู่ไม่ไกล ตรงยอดนั่นแหละครับคือจุดสูงสุดของภูชี้ดาวความงามบนภูชี้ฟ้าไม่ได้มีเฉพาะตอนเช้านะครับ พระอาทิตย์ตกที่ภูชี้ฟ้างดงามใช้ได้ ผมกับคุณนายเตร็ดเตร่บนยอดภูจนกระทั่งถึงเวลาชมอาทิตย์อัสดงนั่นไง
ลงจากภูชี้ฟ้าก็มาหาข้าวเย็นกินกันที่บ้านร่มฟ้าไทย อาหารตามสั่งธรรมดามีทั่วไป และพอเสียงเพลงกระหึ่มที่ว่าเริ่มต้นขึ้น ผมกับคุณนายก็ขอตัวลาเข้าที่พักดีกว่า วันนี้ค่อนข้างล้าแล้วด้วยแหละ
ตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่ ตื่นปุ๊บเด้งจากเตียงปั๊บพลันใด แว้นฝ่าความหนาวสู่ภูชี้ฟ้า ระหว่างทางเดินขึ้นภูเจอดาวระยับแบบนี้ ต้องยอมเสียเวลาหยุดตั้งขาตั้งสักหน่อย
จากนั้นรีบเร่งฝีเท้าเข้าประจำที่มุมมหาชนก่อนจะมีคนจับจองจนหมด และเมื่อเวลาแห่งความงามมาถึงก็ลั่นชัตเตอร์กันเข้าไปให้สะใจทะเลหมอกที่เราเห็นลอยปกคลุมฝั่งประเทศลาวทั้งหมดครับ ถ้าพลาดท่าตกภู ญาติก็ไปติดต่อทางการลาวได้เลย ในอดีตเคยมีนักท่องเที่ยวตกลงไปเสียชีวิตมาแล้ว ดังนั้นขอให้ระมัดระวัง ถ่ายรูปกันแค่พอเหมาะสมนะครับ
ผมกับคุณนายไม่ต้องรีบร้อน ชมหมอกชมไม้ไปเรื่อยไม่สนใจเวลา มุมนั้นบ้าง มุมโน้นบ้าง เป็นวันที่หมอกหนานุ่มเหลือเกิน แถมดูเหมือนแดดยิ่งแรงหมอกของเราก็ยิ่งฟูมากขึ้นด้วย
ถ่ายรูปชมวิวเพลินใจ กระทั่งท้องร้องหิวข้าวนั่นแหละครับ จึงได้เวลาโบกมือลาภูชี้ฟ้า
กินข้าว คืนห้อง เติมน้ำมัน (ในหมู่บ้านมีปั๊มหลอดอยู่ร้านหนึ่ง มีทั้งแก๊สโซฮอล์ และดีเซล) แพ็คสัมภาระขึ้นรถ ได้เวลาแว้นต่อสู่ดอยผาตั้ง บ้านผาตั้ง อำเภอเวียงแก่น ห่างจากภูชี้ฟ้าไปทางเหนือสัก 25 กิโลเมตร ตลอดทางเราจะต้องขี่รถไปตามไหลเขาอันคดเคี้ยว ชมวิวทิวเขาสลับซับซ้อน
ระหว่างทางผ่านภูชี้ดาว ที่บ้านร่มโพธิ์เงิน แต่เราเลยไปก่อนครับ มีคิวมาวันหลัง
ดอยผาตั้งไม่ได้เป็นอุทยานหรือวนอุทยาน แต่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานท้องถิ่น อบต.ปอ เขาจัดพื้นที่ให้กางเต็นท์แถวลานจอดรถ สามารถเช่าเต็นท์และเครื่องนอนที่ร้านขายของด้านหน้า แต่พอคุณนายเธอเห็นสภาพก็ส่ายหัวทันที ไม่ขอนอนเต็นท์อย่างเด็ดขาด เพราะมันเป็นแบบนี้น่ะสิครับ จริงๆ ถ้าใครจะกางก็กางบริเวณอาคารที่สร้างใหม่ได้ มีห้องน้ำด้านล่าง ทว่าบรรยากาศมันไม่ได้เอาเสียเลย
ในเมื่อไม่นอนเต็นท์ก็ต้องหาบ้านพัก ที่ผาตั้งมีไม่เยอะเหมือนภูชี้ฟ้า และราคาสูงกว่าเล็กน้อย ผมมาได้ ชิว ชิว เกสต์เฮ้าสต์ อยู่เยื้องกับ ผาตั้งฮิลล์ ราคาต่อคืน 600 บาท มีอาหารเช้า ถือว่าโอเคนะ เพราะเป็นบ้านพักหลังเดี่ยว สะอาดสะอ้าน นอนสบาย เหมือนเช่นเดียวกับที่ภูชี้ฟ้า คือผมต้องการสัมผัสวิวสวยของดอยผาตั้งตอนฟ้าแจ้งด้วย ที่นี่มีจุดชมวิวหลายจุด จุดใหญ่คือเนิน 102 กับเนิน 103 ระยะทาง 450 เมตร กับ 950 เมตร แนะนำให้พิชิตทั้งสองเนิน ไม่งั้นถือว่าไม่ครบ เส้นทางขึ้นๆ ลงๆ แต่ไม่เหนื่อยเกินไป ก่อนทางขึ้นเนิน 102 มีจุดที่เรียกว่าช่องผาขาด ลักษณะเป็นหินปูนถูกลมฝนกัดกร่อนจนขาดจากกัน ผมขอมองข้ามเนิน 102 ไปก่อน รีบไปเนิน 103 ที่อยู่ไกลก่อนดีกว่า ห่างกันครึ่งกิโล แต่คุ้มค่าเหนื่อยแน่นอน เราจะมองเห็นแม่น้ำโขงไหลคดเคี้ยวตามแนวขุนเขาชัดเจน แถมเป็นช่วงที่พิเศษมากครับ เพราะไม่ใช่แม่น้ำโขงที่เป็นพรมแดนไทย-ลาว แต่เป็นแม่น้ำฝั่งประเทศลาวทั้งหมด ความจริงแค่เรายืนริมหน้าผาก็ถือว่าเป็นเขตประเทศลาวแล้วล่ะใครรู้เส้นทางไหลของแม่น้ำโขงคงพอนึกภาพออก ไหลเข้าไทยที่สามเหลี่ยมทองคำ เป็นพรมแดนไทย-ลาว จากนั้นเมื่อถึงอำเภอเวียงแก่น ก็โบกมือลาประเทศไทยเข้าสู่ประเทศลาว กระทั่งไหลกลับมาเป็นพรมแดนไทย-ลาว อีกครั้งที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดังนั้นแม่น้ำโขงที่เราเห็นจากดอยผาตั้ง จึงเป็นแม่น้ำโขงในเขตลาวโดยสมบูรณ์ จริงๆ พื้นที่ตรงนี้อดีตเคยเป็นอาณาเขตสยาม ก่อนจะเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมของลาว ในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังไงล่ะ ไปค้นประวัติศาสตร์อ่านกันเองครับ
มาถึงเนิน 103 ชมวิวกันให้จุใจ ความสูงประมาณ 1,600 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ใกล้เคียงกับภูชี้ฟ้า จากจุดนี้มองเห็นเนิน 102 อยู่ไม่ไกล
นักท่องเที่ยวมากันเรื่อยๆ ไม่มากแต่ไม่หงอยเหงาเสียทีเดียว ใครเดินไม่ไหว เขามีบริการขี่ม้าด้วยนะ ไป-กลับ เนิน 102 150 บาท เนิน 103 350 บาท ได้เวลาพอสมควรค่อยย้อนกลับมาเนิน 102 รอชมพระอาทิตย์ตกกันที่นี่ วันนี้แสงสวยมาก ฟินกันไปสมใจอยาก บ้านผาตั้งเป็นชุมชนชาวจีนยูนนาน ระหว่างทางเราจะเห็นร้านอาหารจีนยูนนานหลายแห่ง อ่านป้ายขาหมูหมั่นโถวแล้วอดใจลองกินไม่ได้ครับ เลือกมาหนึ่งร้านชื่อบ้านดิน สั่งกับสองอย่างคือขาหมู กับซุปไข่ แล้วก็หมั่นโถวคนละสองลูก ราคาเบ็ดเสร็จเกือบสี่ร้อย เพราะขาหมูก็สองร้อยแล้วล่ะ ดูเหมือนแพงแต่ปริมาณถือว่าไม่น้อยเลย ที่สำคัญคืออร่อยมาก คิดว่ารสชาติแต่ละร้านก็ไม่น่าจะทิ้งกันนะคืนนี้มีฝนดาวตก ผมออกมาชมได้สักพักเห็นตกวูบวาบนานๆ ที เลยขอกลับไปนอนเอาแรงดีกว่า ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีสี่ เพราะต้องเดินไกลไปชมทะเลหมอกที่เนิน 103
ยามเช้าทำเวลาได้ดีครับ ผมกับคุณนายเป็นก๊วนแรกซึ่งเดินขึ้นผาตั้ง ถึงเนิน 103 ยังมืดสนิท นั่งอาบไอหนาวจนแสงเริ่มสว่างความงามจึงปรากฏ แม้จากคำเล่าขานบอกว่าปัจจุบันทะเลหมอกที่ดอยผาตั้งน้อยลงมาก นานหลายปีมาแล้วที่ไม่ได้เห็นหมอกหนาขนาดแทบแตะฝ่าเท้า แต่แค่เท่าที่เห็นผมยังรู้สึกว่าอลังการสวยงามมากแล้วล่ะ
หามุมกดภาพไปเรื่อยครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว สวรรค์อยู่ตรงหน้า
จากนั้นตามสเต็ปคือเดินกลับไปเนิน 102 มุมตรงนี้เห็นทะเลหมอกงามไม่แพ้กันผมกับคุณนายขึ้นมาเป็นกลุ่มแรกและอยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายเลยทีเดียว กว่าจะลงมาก็สายโด่ง กินข้าวเก็บของแล้วค่อยไปต่อ จุดหมายสุดท้ายคือภูชี้ดาว บ้านร่มโพธิ์เงิน อำเภอเวียงแก่น หรือตรงกลางระหว่างภูชี้ฟ้า กับดอยผาตั้ง
ภูชี้ดาวเพิ่งเปิดตัวให้เที่ยวปีนี้เป็นปีแรก เท่าที่ขี่รถผ่านมาเมื่อวานสังเกตเห็นว่าไม่มีที่พักตรงตีนภู ใกล้สุดทางฝั่งภูชี้ฟ้าคือภูชี้ฟ้าคุณต้น ส่วนใกล้สุดทางฝั่งดอยผาตั้ง มีลานกางเต็นท์ชื่อบ้านฟาง ผมอยากลองดูครับ และนั่นคือที่พักของสองเรา
ออกจากดอยผาตั้งย้อนกลับมาทางฝั่งภูชี้ดาวสักพักก็ถึงบ้านฟาง เขาเพิ่งเปิดรับนักท่องเที่ยวไม่ถึงสองเดือน ไม่มีบ้านพัก มีเพียงลานกางเต็นท์ที่ยังไม่ทันได้ปูหญ้าด้วยซ้ำ ใครไม่ได้เอาเต็นท์มาเช่ากับเขาได้เลย คิดเป็นรายหัว คนละ 200 บาท พร้อมถุงนอนและอาหารเช้า ผมไม่เกี่ยงเรื่องราคา ในที่สุดก็ได้นอนเต็นท์สมใจ
ที่นี่น่าจะจัดอยู่ในประเภทที่เที่ยวเชิงเกษตร แรกเริ่ม ลุงไก่ เจ้าของไร่ซึ่งย้ายมาอยู่ตรงนี้เมื่อปีก่อนทำการปรับพื้นที่ไว้ปลูกพืช เพาะต้นไม้ดอกไม้ขาย จากนั้นค่อยนำแนวคิดท่องเที่ยวมาเสริมแล้วเปิดเป็นลานกางเต็นท์ มีห้องน้ำสะดวกพอควร มีน้ำอุ่นให้อาบ ไฟฟ้าจากหลวงเข้าไม่ถึง แต่ลุงไก่มีไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์และพลังงานน้ำให้ใช้สบาย ส่วนน้ำเป็นระบบประปาภูเขาต่อท่อจากต้นน้ำ ช่างกิ๊บเก๋เหลือเกิน
ใครมากางเต็นท์หรือแวะเวียนผ่านมา สามารถเข้าชมพืชผลต่างๆ โดยเฉพาะแปลงสตรอเบอร์รี่แนวใหม่ปลูกในโรงเรือน ส่วนพวกดอกไม้สวยงามเป็นไปตามฤดูกาล ถ้าโชคดีจะได้เจอน้องอัน สาวน้อยชาวม้ง คอยพาเที่ยวพาชมไร่ พร้อมรอยยิ้มน่ารักๆ
ได้เต็นท์และเที่ยวชมบ้านฟางพอหอมปากหอมคอแล้ว ผมพาคุณนายมุ่งหน้าไปบ้านร่มโพธิ์เงิน ตั้งใจขึ้นภูชี้ดาวสักรอบก่อน ขี่มอเตอร์ไซค์สักสิบห้านาทีก็ถึง ด้านล่างทางขึ้นมีร้านขายของชำ ปั๊มหลอด และเป็นจุดจอดรถบริการพาขึ้นภูด้วย
อธิบายนิดหน่อยคือภูชี้ดาวอยู่ในความดูแลของชุมชน ด้านบนมีลานสามารถกางเต็นท์ได้ มีห้องน้ำเล็กๆ ตามอัตภาพให้ใช้บรรเทาทุกข์ยามจำเป็น ตอนนี้ไม่คิดค่าพื้นที่กางเต็นท์ แต่ทางหมู่บ้านจะจัดอาสาสมัครดูแลความปลอดภัย ซึ่งคงต้องมีสินน้ำใจให้นิดหน่อยว่ากันไป
การขึ้นยอดภู จะมีรถกระบะโฟร์วีลชาวบ้านจอดรออยู่ด้านล่าง ค่าบริการไป-กลับ คิดคนละ 100 บาท แต่ขั้นต่ำห้าคน หมายความว่าราคาเหมาไม่ถึงห้าคน คือ 500 บาท
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่ามอเตอร์ไซค์ขึ้นได้หรือเปล่า? ตามผมมาเลยครับ เพราะขึ้นคราวแรกนี้ผมลองใช้มอเตอร์ไซค์ คิดว่าตอนเช้ามาดูทะเลหมอกค่อยว่าจ้างรถเป็นการอุดหนุนชาวบ้าน
ทางขึ้นภูชี้ดาวระยะประมาณ 3 กิโลเมตร ช่วงไม่กี่ร้อยเมตรแรกเป็นถนนคอนกรีตตัดผ่านหมู่บ้านชาวม้ง หลังจากนั้นจะเป็นทางลูกรังซึ่งบางช่วงชัน บางช่วงพื้นโคลนลื่น ผมใช้ฮอนด้าเวฟคันแก่ซ้อนสองขึ้นผ่านช่วงถนนลูกรังได้ไม่เกิน 300 เมตร ก็ต้องยอมแพ้ ตบเกียร์หนึ่งเร่งจนสุดยังแรงส่งไม่พอ ยิ่งรถเช่าเขามาด้วย หากพลาดท่าล้ม เงินมัดจำคงลอยหายวับ
ยอมแพ้ในที่นี้คือรถยอมแพ้ รถไปไม่ไหวแต่สองเท้าเดินได้นี่นา พาคุณนายเดินเท้าขึ้นไปต่อ ระหว่างทางมีฮอนด้าคลิกคันเอี่ยมบิดเสียงฮึ่มๆ ไล่หลังมา เจอช่วงหลุมโคลนต้องให้คนซ้อนลงช่วยเข็นกันทุกลักทุเล แต่ก็ผ่านขึ้นไปจนสุดได้ เล่าเพิ่มเลยแล้วกันว่าต่อมาเช้าอีกวันมีบิ๊กไบค์สามคันขี่ขึ้นมา ต้องลงเข็นถูลู่ถูกังใช้ความพยายามสุดเหวี่ยงกว่าจะขึ้นถึงจุดจอดรถ
ดังนั้นขอสรุปว่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ขึ้นภูชี้ดาวได้ครับ แต่... แต่... แต่... สภาพรถต้องดีเยี่ยม และต้องใช้ฝีมือระดับแอดวานซ์ ใครคิดเสี่ยงขึ้นมาโปรดรับสภาพกันเอง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากเส้นทาง ประกอบความเสี่ยงทั้งกับรถและคน ผมถือว่าค่ารถบริการขึ้น-ลง 500 บาท ถูกมากครับ ยอมควักจ่ายเถอะ
ผมกับคุณนายเดินมาเรื่อยเหนื่อยก็พัก สักชั่วโมงจึงถึงจุดจอดรถ สวนทางกับน้องฮอนด้าคลิกที่ลงมาจะกลับกันแล้วพอดี จากตรงนี้เป็นทางชันอีก 400 เมตร สู่ยอดเขา เอาล่ะฮึดอีกสักเฮือก
แล้วสิ่งที่ได้เจอคือภาพแบบนี้ครับ ภูชี้ดาวมีความสูงประมาณ 1,800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง หรือสูงกว่าทั้งภูชี้ฟ้า และดอยผาตั้ง ในภาพรวมแม้ผมไม่ได้ชอบวิวที่นี่มากไปกว่าดอยผาตั้ง แต่เรื่ององค์ประกอบหลายอย่างถือว่าสุดยอด หันฝั่งหนึ่งมองเห็นโค้งแม่น้ำโขงอยู่ไกลๆ หันอีกฝั่งเห็นภูชี้ฟ้าเด่นตระหง่านลิบๆ บางช่วงเป็นสันเขาแคบ เดินแต่ละก้าวหวาดเสียวพอดู มาถึงนี่แล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งด้วยความที่เดินขึ้นมาไกล ทำให้ไม่สามารถอยู่รอชมพระอาทิตย์ตกที่ภูชี้ดาว ต้องรีบลงทั้งที่ยังเก็บภาพไม่ครบทุกมุม แอบโกรธตัวเองน่าจะยอมเสียเงินค่ารถ เพราะบางสถานที่เราอาจได้มาเยือนแค่ครั้งเดียวในชีวิต
ที่บ้านฟางตอนนี้ยังไม่พร้อมบริการอาหารเย็น ลงเขามาแล้วผมเลยขี่รถไปบ้านร่มฟ้าไทย ตีนภูชี้ฟ้า ซื้อข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง กลับไปนั่งกิน นั่งคุย ผิงไฟกับลุงไก่ ดื่มข้าวยาคู (น้ำนมข้าว) อุ่นๆ กินกล้วยน้ำว้าปิ้งร้อนๆ ที่ลุงไก่จัดหามาให้ นั่งดูดาวพราวฟ้า เป็นค่ำคืนที่ยิ้มกว้างมาก
ตั้งปลุกตีสี่ครึ่ง แว้นไปภูชี้ดาว จอดมอเตอร์ไซค์ กระโดดขึ้นกระบะ กำแบงค์ห้าร้อยแน่นๆ แล้วออกตัวโลด ขึ้นไปยังไม่ทันไรแหละครับที่ผมเห็นบิ๊กไบค์สามคันเร่งเครื่องแซงขึ้นไป ก่อนจะต้องลงเข็นฉุดกระชากลากกันสุดฤทธิ์กว่าจะขึ้นถึงยอดภู ยอมรับในฝีมือเลยครับว่าแจ๋วจริงที่ขึ้นไปได้
แต่ถึงยอดภูแล้วต้องยืนนิ่งตะลึงงันนิดหน่อย หลังเจอทะเลหมอกหนาๆ ฟูฟ่องตลอดสองวัน ผมไม่ได้เผื่อใจเจอสถานการณ์อย่างนี้เลย ลมพัดโหมตามร่องเขาตีหมอกฟุ้งกระจายขาวโพลนไปทั้งภู ทัศนวิสัยไม่เกินห้าสิบเมตร
แต่ไหนๆ ขึ้นมาแล้วต้องอดทนรอสักหน่อย ลมแรงพัดเย็นยะเยือก พระอาทิตย์ขึ้นตอนไหนไม่รู้เลย ต้องลุ้นรอจนหมอกขาวเริ่มจางบางเวลาแค่ไม่กี่สิบวินาที นั่นแหละภาพที่อยากเห็นจึงปรากฏบางๆ ถึงจะไม่ใช่ภาพทะเลหมอกแสนเพอร์เฟกต์ แต่ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แค่นี้ถือว่าบุญโขแล้วล่ะ ผมตัดสินใจลงจากภูชี้ดาวประมาณเก้าโมงเช้า ขี่รถกลับไปบ้านฟาง ลุงไก่เตรียมอาหารเช้าให้แล้ว เป็นกาแฟกับข้าวผัดไข่ใส่เกลือ เห็นธรรมดาแบบนี้แต่รสชาติเยี่ยมมาก ไม่รู้เพราะหิวหรือเปล่า (ฮา...) ส่วนประกอบเกือบทั้งหมดในจานหาได้จากที่ไร่ ยกเว้นก็แต่น้ำมัน น้ำปลา ที่ต้องซื้อเอาล่ะนะหลังนอนกลิ้งในเต็นท์พักเอาแรงสักหน่อยก็เก็บข้าวของ ประมาณเที่ยงจึงต้องไหว้อำลาลุงไก่ มาทางไหนก็กระเตงกลับทางนั้น สตาร์ตรถตอนเที่ยง ถึงตัวเมืองเชียงรายประมาณสี่โมงเย็น หาข้าวกิน คืนรถตอนห้าโมง จับตุ๊กตุ๊กไปยัง บขส. ใหม่ รอรถกลับโคราชรอบหนึ่งทุ่มครึ่ง ปิดทริปโดยสวัสดิภาพ
สามคืน สามดอย สามทะเลหมอก แห่งเชียงราย นับเป็นหนึ่งในทริปซึ่งเราสองคนเดินทางสนุกมาก สมบุกสมบันมาก แต่ก็ประทับใจอย่างมากด้วยเช่นกัน ซึ่งจากภาพทั้งหมดทั้งมวลที่เห็นมา ผมคงไม่ต้องเอ่ยอะไรเพิ่มอีกแล้วล่ะมั้ง...
----------------------------------------------------------------------------------
ใครอยากคุยกับผมเรื่อยเปื่อยเรื่องท่องเที่ยว สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) หรือชวนเที่ยว ยินดียิ่งนะครับ
www.facebook.com/alifeatraveller
หรือ
----------------------------------------------------------------------------------
และปิดท้ายกับคลิปวีดีโอทะเลหมอกสามขุนเขาแห่งเชียงรายด้านล่างครับ
↓
↓
↓
↓