ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
ผู้หญิงคนเดียว ลุยเดี่ยวเที่ยวเมืองลุง ปากประ-พัทลุง (Pak Pra-Phatthalung) จ.พัทลุง
    • โพสต์-1
    Ajung •  สิงหาคม 31 , 2559

    ไม่มีใครว่าง ติดงานกันหมด ไปคนเดียวโลด

    เป็นเพราะรูปภาพจากเพจเฟสบุค "ฟองสบู่" ทำให้การเดินทางไปพัทลุงครั้งนี้เกิดขึ้น อยากไปเก็บตะวันที่สะพานเฉลิมพระเกียรติฯ อยากไปเห็นบ้านร้างหลังนั้นที่ทะเลน้อย ตอนแรกก็คิดว่าแค่มองภาพเฉยๆ แล้วก็ชื่นชมความงดงามจากหน้าจอคอมฯ แต่ไม่รู้ว่าทำไมแค่มองมันอย่างเดียวไม่พอ มันอยากจะไปสัมผัสด้วยตัวเอง คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะไปดี ไม่ไปดี แต่สุดท้ายห้ามใจตัวเองไม่อยู่ เอามือจับเม้าส์แล้วคลิกในบัดดล เสิร์ธหาข้อมูลอย่างละเอียดเลยเดี๋ยวนั้นว่าต้องนั่งเครื่องไปลงที่ไหน ต่อรถยังไง พักที่ไหนดี พร้อมกับชวนเพื่อนไปด้วยแต่เพื่อนติดงานเลยไปด้วยไม่ได้ งานนี้จึงต้องไปคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนรักสันโดษอย่างเรา แต่ในใจนี่สิ กลับระริกระรี้ที่จะได้ไปยังที่ที่ฝันอยากไป ช่าย.. อยากไปมากๆ เลย ^o^

    เริ่มต้นด้วยการจองเครื่องไปลงตรัง กำหนดไว้ในวันที่ 26 เมษายน 2516 เป็นช่วงเวลาที่ทะเลบัวกำลังเบ่งบานและเป็นช่วงที่นกนานาพันธุ์อพยพ

    ใช้เวลาเดินทางจากดอนเมืองถึงสนามบินตรัง 1 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที เมื่อถึงแล้วก็ทำการซื้อตั๋วรถตู้ซึ่งมีบริการอยู่ในสนามบินนั่นแหละ ราคา 90 บาท เพื่อนั่งไปลงที่ขนส่งตรังก่อน

    เมื่อนั่งรถตู้มาลงที่ขนส่งแล้วก็ไปซื้อตั๋วที่รถตู้สาย 778 บอกเขาว่าไปทะเลน้อย แต่ขอลงตรงหน้าสวนพฤกษศาสตร์พัทลุง ราคาอยู่ที่ 120 บาท นั่งรอสักพักรถก็ออก

    ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงเมืองพัทลุง และลงตรงหน้าสวนพฤกษศาตร์พอดี ตรงนั้นจะเป็นหัวโค้ง

    ซึ่งวันที่ไป ป้ายสวนพฤกษศาตร์ฯ ยังทำไม่เสร็จ เลยไม่มีจุดสังเกตว่าตรงนี้คือหน้าสวนฯ แต่สามารถสังเกตเห็นป้าย "วิวยอ" "ศรีปากประ" ตรงบริเวณหัวโค้ง ซึ่งมีศรชี้ไปทางขวา คือเราต้องเดินเข้าไปในซอยนั้นแหละ ส่วนที่พักเราได้จองไว้ที่ Wetlandcamp บ้านชายเล ซึ่งอยู่ก่อนถึงสวนพฤกษศาสตร์ฯ คือถ้าเราไม่เดินเข้าไปเองก็สามารถโทรให้ทางที่พักออกมารับก็ได้ เพราะถ้าเดินไปก็กิโลกว่าๆ น่ะ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นคิดว่าไม่น่าไกลมั้ง ลองเดินชมวิวไปเรื่อยๆ ดีกว่า 

    เดินครงไปได้หน่อยก็เจอป้ายบอกว่า บ้านชายเล เลี้ยวขวา ก็ไม่ยากเดินเลี้ยวขวาไป

    เดินไปสักพักก็เจอป้ายบ้านชายเลอีก อย่างนี้ทำให้เพิ่มความมั่นใจมากขึ้น แต่ร้อนใช้ได้เลย

    อืมม.. หนทางช่างยาวไกล

    เดินมาสักพักเจอป้าย "ศรีปากประ" นั่นแปลว่าเราใกล้ถึงจุดหมายแล้ว

    นั่นไง ป้าย wetland เดินตรงไปอีก

    อุ๊ย เริ่มเห็นอะไรแว่บๆ ละ ใกล้ถึงแล้วม้าง

    เจอแล้ว บ้านชายเล แหม่เดินไกลใช้ได้เลยนะ แดดก็ร้อน ถ้าใครมาแบคแพ็คโทรให้เขามารับดีกว่าค่ะ แต่ถ้าชอบเดินก็แล้วแต่นะ ตามใจ

    ทางเข้าด่านแรกเจอสะพานไม้เก่าๆ ค่ะ ให้เดินตรงไปข้างในได้เลย

    ด่านแรกที่เจอก็เป็นโซนรับแขกค่ะ มีโต๊ะนั่งพักผ่อน ตรงนี้ลมเย็นดีจริงๆ

    ส่วนอันนี้คือทางเข้าไปยังห้องต่างๆ ที่บ้านชายเล หรือ Wetlandcamp มีห้องพักเพียง 4 หลังเท่านั้นค่ะ เรามีโอกาสได้เจอกับคุณหนุ่มซึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ เขาบอกว่ามีแค่ 4 หลังแค่นี้พอละ ไม่อยากให้มันเป็นธุรกิจเกินไป การที่มีคนมาพักที่นี่ไม่เว้นวันเป็นเพราะปากต่อปาก เพราะเขาไม่เคยทำการโฆษณาใดๆ เลย ทั้งหมด 4 หลังนี่ หลังที่ 2 กับ 3 ถือว่าวิวสวยสุดค่ะ เป็นเพราะว่าเราสามารถมองวิวทะเล ท้องฟ้า ได้กว้างๆ โดยไม่มีอะไรมาบังสายตาเหมือนห้อง 1 และห้อง 4 ส่วนราคาแต่ละหลังอยู่ที 2000 ไม่ว่าจะช่วงโลหรือเทศกาลก็ราคานี้เท่านั้น แต่สำหรับใครที่ต้องการประหยัดงบ ยังมีอีกหลังนึงซึ่งนอนได้หลายคน หลังนี้อยู่ด้านในไม่ติดทะเล หัวละ 450 พร้อมอาหารเช้า อันนี้ก็น่าสนใจมิใช่น้อย

    แต่ว่าตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว เราหิวมากเลย คนแรกที่ได้เจอคือแม่บ้านชื่อปุก เป็นแม่บ้านทำความสะอาดห้องและทำกับข้าวประจำของที่รีสอร์ทนี้ ความเกรงใจหายไปสิ้น เราถามหาว่ามีอะไรกินบ้าง ที่นี่ไม่มีร้านอาหารนะ ถ้าไม่มีรถมาแบบเรานี่ แนะนำให้ตุนอาหารมาด้วย ไม่งั้นได้หิวโซแน่ แต่ใกล้ๆ กันนี้ก็มีร้านวิวยอ ร้านอาหารร้านเดียวในบริเวณนี้ที่เราสามารถฝากท้องกันได้... และแล้ว แม่บ้านที่แสนใจดีก็จัดแจงหาข้าวปลาอาหารมาให้กินอย่างดีเลย น่ารักจริงๆ ที่สำคัญ อร่อยมากๆ ด้วย

    หลังจากกินอิ่มแล้วเราก็ได้เข้าห้องพักหมายเลขสอง หลังที่วิวสวยกว่าห้องอื่นๆ ณ เวลาเช่นนี้เข้าไปหลบร้อน ตากแอร์เย็นๆ ก่อนดีกว่า ก่อนที่จะออกไปท่องเที่ยวในช่วงเย็น ซึ่งได้ทำการพูดคุยกับแม่บ้านเอาไว้ว่าวันนี้สามีของแม่บ้านจะพาไปเที่ยวประมาณ 3 จุด โดยคิดค่าเสียหายอยู่ที่ 1000 บาท อืมก็แพงอยู่นะ แต่ต้องยอมเพราะที่นี่ไม่มีสองแถวหรือรถประจำทางอะไรเลย ถ้าเป็นไปได้มากับเพื่อนจะดีกว่าค่ะ อย่างน้อยก็มีคนช่วยหารค่ารถ ค่าเรือ

    ห้องกว้างขวาง สามารถนอนได้ถึง 4-5 คน แต่ความจริงแต่ละหลังพักได้สองคน ถ้ามีเพิ่มก็จ่ายหัวละ 400 บาท

    เอาล่ะตอนนี้ก็เกือบๆ สี่โมงเย็นละ ได้เวลาออกไปเตร็ดเตร่กันเสียหน่อย ไปกับ "พิด" สามีของแม่บ้าน "ปุก" นี่เอง

    วังเก่าแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อครั้งพระยาอภัยบริรักษ์ ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุง สถานที่แห่งนี้จึงมีฐานะเป็นที่ว่าราชการเมืองพัทลุง จนกระทั่ง พ.ศ.๒๔๓๑ พระยาอภัยบริรักษ์กราบบังคมทูลลาออกจากราชการ ด้วยมีความชราภาพและดวงตามืดมัวเนื่องจากเป็นโรคต้อกระจก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาวรวุฒิไวยวัฒลุงควิสัยอิศรศักดิ์พิทักษ์ราชกิจนริศราชภักดีอภัยพิริยพาหะ จางวางเมืองพัทลุง พระยาวรวุฒิไวยฯ ยังคงพำนักอยู่ ณ วังแห่งนี้ต่อมาจนถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ.๒๔๔๖ วังแห่งนี้จึงเป็นมรดกตกทอดไปยังหลวงศรีวรวัตรและทายาทตามลำดับ

    สถานีต่อไปคือ "หาดแสนสุขลำปำ" ตั้งอยู่ ต.ลำปำ อ.เมือง จ.พัทลุง หาดแสนสุขเป็นหาดทรายที่มีทิวสนร่มรื่นอยู่ทางด้านฝั่งทะเลสาบสงขลา เมื่อมองไปด้านหน้าจะเห็นทะเลสาบสงขลา เกาะน้อยใหญ่เรียงรายสวยงาม

    สถานีต่อไปคือ ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา

    ถนนเส้นนี้เปิดใช้งานเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2550 เป็นเส้นทางที่สร้างตามแนวระหว่างทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลา และเป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 8 กม. ซึ่งมีจุดจอดรถให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิวโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นควายน้ำ หรือบ้านสองหลังนี้

    บ้านแดงหลังนี้เดิมทีเป็นของคนงานที่สร้างไว้อยู่อาศัยเมื่อตอนที่สร้างสะพานเฉลิมพระเกียรติฯ แต่พอสร้างสะพานเสร็จก็ทิ้งบ้านหลังนี้ไว้ ทางจังหวัดเห็นว่าสวยดีเลยเก็บไว้มิได้รื้อทิ้งแต่อย่างใด กลายเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยงามของนักท่องเที่ยว แต่ชาวบ้านแถวนั้นเขาเล่ากันว่ามีนักการเมืองทำการรุกล้ำพื้นที่แถวนี้ โดยสร้างบ้านหลังนี้ไว้เพื่อประกาศอาณาเขตของตนเอง แต่ไม่สามารถทำได้เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ของอุทยานฯ สุดท้ายนักการเมืองผู้โลภมากก็ต้องจากไป เหลือไว้แต่บ้านแดงร้างหลังนี้ ให้พวกเราได้ดูต่างหน้า

    เราสามารถเดินลงมาใต้สะพานได้โดยไต่บันไดไม้ที่เห็นในภาพนี้ลงมา มันจะอยู่ตรงจุดพักรถใกล้ๆ กับบ้านแดงนี่ล่ะ ตอนแรกก็ไม่กล้าลงเพราะดูเสียวๆ กลัวร่วง แต่เอาวะ ไหนๆ ก็ถ่อมาถึงนี่แล้ว มาถึงบ้านในฝันหลังนี้แล้ว ยังไงขอเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ หน่อยละกัน ก็อ้าขากว้างๆ นั่งค่อมขอบสะพานอย่างระวังแล้วเกาะให้แน่น ค่อยๆ ปีนลงมาอย่างช้าๆ ไม่ยากค่ะไม่ยาก

    ในที่สุดเราก็ได้ลงมาแลนดิ้งกันตรงนี้

    บ้านแดงหลังนี้ ถ้าปรับปรุงให้เป็นร้านกาแฟนะ คงจะฟินน่าดู เนื่องจากบรรยากาศที่งดงาม เป็นจุดพักรถด้วย รับรองว่าตรงนี้ต้องเป็นจุดไฮไลต์ที่โดดเด่นที่สุดของสะพานแห่งนี้

    หลังจากชื่นชมบ้านร้างอย่างจุใจแล้ว เราก็ขึ้นรถและนั่งยาวไปจนสุดสะพานฝั่งโน้นเลย ซึ่งฝั่งโน้นเป็นบ้านหัวป่า อ.ระโนด จ.สงขลา ณ ตรงนั้นเราได้เจอฝูงควายที่อยู่ในคอกอย่างใกล้ชิด เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ได้ยลโฉมหน้าของควายอย่างใกล้ชิดขนาดนี้

    ควายย่อมมีความงามในตัวของมันเอง เห็นหน้าเขาแล้วคิดเลยว่าชีวิตควายย่อมผ่านอะไรมามากมายจริงๆ

    เย็นนี้ที่สะพานเฉลิมพระเกียรติ เราไม่สามารถถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกได้อย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะเมฆบดบังไปทั่ว แต่ไม่เป็นไรไว้ลุ้นพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้เช้าแทนละกัน ก่อนกลับ แวะซื้อน้ำบูดูจากชาวบ้าน ขวดละ 20 บาท กะว่าซื้อไปให้แม่บ้านปุกทำให้กินพรุ่งนี้เช้า อยากกินมานานแล้ว 

    หลังจากนั้นพระอาทิตย์ก็ร่ำลาท้องฟ้า วันนี้ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้เรามาอยู่ที่พัทลุงแล้วจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย

    • โพสต์-2
    Ajung •  สิงหาคม 31 , 2559

    ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวออกเรือไปชมยอยักษ์

    การใช้บริการล่องเรือของที่บ้านชายเลนี้ ราคาอยู่ที่ลำละ 1,200 บาท เรามีโอกาสได้ร่วมแจมล่องเรือกับห้องข้างๆ งานนี้เลยจ่ายเพียง 600 บาท เช้านี้ พิด สามีแม่บ้านปุกน่ะแหละที่เป็นคนขับเรือ เราออกเรือกันก่อนหกโมงเช้า เรือลำนึงสามารถบรรทุกคนได้หกคน แต่งานนี้ถ้าไม่รวมคนขับเรือเราไปกันสามคน โดยเราได้นั่งตรงหัวเรือเลยซึ่งถือว่าดีเยี่ยมมากๆ 

    ออกเรือมาได้สักพักเราก็แลเห็นรีสอร์ทศรีปากประซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับร้านอาหารวิวยอ ที่รีสอร์ทนี้มีที่พักอยู่หลายหลังทีเดียว จึงดูไม่ค่อยสงบเหมือนบ้านชายเลที่เราพัก

    ที่คลองปากประนี่มียอยักษ์อยู่มากมาย ชาวบ้านหนึ่งครอบครัวจะมียอยักษ์อยู่หนึ่งยอ เมื่อก่อนชาวบ้านสามารถเข้าป่าเสม็ดไปเก็บไม้เสม็ดมาทำยอเองได้ แต่เดี๋ยวนี้ทางการไม่อนุญาตให้ชาวบ้านทำอย่างนั้นแล้ว ชาวบ้านต้องไปซื้อไม้ ซื้ออวน แล้วนำมาสร้างยอ หรือไม่ก็จ้างคนติดตั้งทำยอให้เสร็จในคราวเดียวกันเลย โดยต้นทุนในการทำยอนี้อยู่ที่ประมาณห้าถึงหกพัน ส่วนมากยอของชาวบ้านจะอยู่บริเวณใกล้ฝั่งเพื่อง่ายต่อการไปเก็บปลา แต่หลังจากที่เริ่มมีร้านอาหารในบริเวณนี้ แม้ทางร้านจะได้ทำท่อกักเก็บน้ำเสียแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเข้ามามากๆ ก็จะควบคุมน้ำเสียไม่ค่อยได้ ทำให้น้ำเสียไหลลงคลอง เมื่อสะสมเป็นเวลานานแข้าทำให้ปลาไม่ค่อยเข้ามาตรงบริเวณใกล้ๆ ฝั่งเท่าไหร่ บางวันจึงไม่ได้ปลาเลยก็มี

    เช้านี้เราได้เจอลุงสนั่นด้วย คนที่นั่งหลังผู้หญิงชุดขาว เรารู้จักลุงสนั่นจากเว็บบล็อกเว็บนึงตอนที่หาข้อมูลเกี่ยวกับทะเลน้อย ลุงแกมีบริการบ้านพักและพานักท่องเที่ยวมาล่องเรือยามเช้าแบบนี้แหละ ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอแกตัวเป็นๆ ในวันนี้

    เรารอให้พระอาทิตย์เข้าไปอยู่ในยอยักษ์พอดิบพอดี เมื่อได้ที่แล้วก็จัดแจงกดแชะทันที ถ่ายมาหลายสิบภาพ รู้สึกว่ารูปนี้จะดูดีที่สุดละ

    ในที่สุดเราก็แล่นมาถึงสะพานเฉลิมพระเกียรติฯ แล้ว

    เริ่มแลเห็นควายน้ำที่กำลังเล่นน้ำอย่างมีความสุข มีแอบอิจฉาเล็กน้อย

    ได้เจอบ้านแดงอีกแล้ว ดูยังไงก็ไม่เบื่อเลย

    ควายน้ำหรือควายทะเล เป็นควายที่ชาวบ้านนำมาเลี้ยงที่ทะเลน้อยพัทลุง "ใสกลิ้ง-หัวป่า" เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว เป็นการปล่อยให้ควายมากินหญ้าเองตามธรรมชาติ แต่ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ของทะเลน้อย ในช่วงน้ำหลากทำให้ทุ่งหญ้าที่เป็นแหล่งหากินของควายจมอยู่ใต้พื้นน้ำอยู่ประมาณห้าเดือนเลยทีเดียว ทำให้ควายต้องปรับตัวโดยว่ายน้ำออกมาเป็นระยะทางไกลเพื่อดำน้ำลงไปกินหญ้าที่อยู่ใต้น้ำ บางตัวสามารถดำน้ำได้นานๆ เลย และควายบางตัวเริ่มกินสายบัวกันบ้างแล้ว ทำให้ทะเลบัวแดงบริเวณทะเลน้อยดูเบาบางลงไม่เหมือนเมื่อก่อน

    ควายบนโลกนี้จะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ ควายป่า กับ ควายบ้าน และควายบ้านยังแบ่งออกเป็นสองชนิดคือ ควายปลัก กับ ควายน้ำซึ่งเป็นควายที่ชอบแช่น้ำที่สะอาด

    ควายน้ำเป็นควายที่มีเต้านมขนาดใหญ่ ให้นมมากได้ถึงวันละ 5 ลิตร นิยมเลี้ยงไว้เพื่อรีดนมนั่นเอง

    นอกจากควายแล้วเรายังได้เห็นวิถีชีวิตของชาวประมงที่กำลังยกยอหาปลา ซึ่งยอยักษ์นี้ถือว่าเป็นภูมิปัญญาไทยที่สร้างสรรค์อย่างหนึ่งในการหาปลาเพื่อเลี้ยงชีพในชีวิตประจำวัน

    นี่คือบัวหลวง มีลักษณะใหญ่กว่าบัวแดง

     

    ถ้าเป็นเรือรับจ้างบริเวณอุทยานนกน้ำทะเลน้อย ค่าเรือจะอยู่ที่ 450 บาท แต่การล่องเรือจะพาเที่ยวชมแค่บริเวณทะเลน้อย มาไม่ถึงปากประ แต่เรือของที่บ้านชายเลที่เรานั่งมานี้ ไปทั่วทุกจุด โดยเริ่มจากปากประมุ่งหน้ามาที่ทะเลน้อย แล้วแล่นเลยไปอีกถึงคลองลาโพ คลองยวน และอีกหลายๆ จุด รวมเวลาการนั่งเรือประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ ทำให้ราคา 600 ที่ต้องจ่ายไปนั้นคุ้มค่าเป็นที่สุด

    นี่คือบริเวณคลองยวน ที่เราต้องคอยหลบใบไม้กิ่งไม้ข้างทางอย่างระวัง ช่วงเวลานี้ถือว่าผจญภัยมากๆ

     

    หลังจากล่องเรือกลับมาที่พักแล้ว สิ่งที่ได้เจอหน้าประตูห้องคือแมวลายหน้าตาแบ๊ว รูปหน้าวีเชฟมากๆ

    เราพักที่บ้านชายเลสองคืน วันนี้เราต้องย้ายจากห้องสองมาอยู่ห้องแรก ห้องนี้มีต้นไม้บังวิว มองเห็นวิวทะเลได้ครึ่งเดียวเท่านั้น และคืนนี้แขกพักเต็มสี่หลังเลย คุณหนุ่มเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้เลยต้องย้ายไปนอนหลังรวมแทน เพราะปกติถ้าไม่มีแขกเขาจะมานอนพักที่ห้องหนึ่งห้องที่เราพักคืนนี้ล่ะ

    ห้องนี้ชักโครกดูเหมือนน้ำจะค้าง กดไปได้ครั้งหรือสองครั้งมันจะกดไม่ลงละ ต้องรอสักพักยาวๆ กว่าน้ำจะกดลงได้อีก โดยรวมถ้ามีโอกาสเลือกพักห้องสองดีที่สุดค่ะ และแม่บ้านก็บอกว่าระหว่างห้องสองกะสาม ห้องสองก็ดีกว่าห้องสามอีกนะ

    เราพักอยู่ในห้องอยู่เป็นนาน เราออกจากห้องมาขอข้าวแม่บ้านกินอีก อิอิ โดยแม่บ้านปุกได้ทำน้ำบูดูเตรียมไว้ให้กินกับข้าวสวยแล้ว แม่บ้านซอยมะม่วงเปรี้ยวลงไป ทำให้ความเปรี้ยวได้หักล้างความเค็มของน้ำบูดูออกไป รสชาติอร่อยกลมกล่อมกำลังดี และตอนนี้ก็หิวแล้วด้วย ขอกินก่อนออกไปเดินเล่นที่สวนพฤกษศาสตร์พัทลุง

    ส่วนภาพล่างนี้คือผัดเผ็ดหมู

    เมื่ออิ่มท้องแล้วก็ไปเดินเล่นที่สวนฯ เดินเลยที่พักไปประมาณ 300 เมตรเอง เดินผ่านสวนอโนดาตนี่ไปก่อน

    เดินผ่านบ้านหลังนี้ไปอีกหน่อย

    เดินตรงไปข้างหน้าโน่นเลย วิวข้างขวาก็จะเป็นทะเลที่กำลังซัดคลื่น

    สวนพฤกษศาสตร์ พนางตุง แห่งนี้เป็นพื้นที่ป่าพรุ ตั้งอยู่ที่ ต.พนางตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง มีเนื้อที่ประมาณ 6,100 ไร่ สภาพโดยรอบเป็นพื้นที่ริมทะเลหลวงที่ได้รับอิทธิพลของน้ำทะเล มีลักษณะเป็นป่าพรุน้ำจืดที่พบพันธุ์ไม้ประเภท ค้อ ลำภู เสม็ดขาว กระจูด เตย จิก หว้า กุมน้ำ อินทนิลน้ำ สมอทะเล จูดหนู กุระ ก้างปลาขาว ไซโข หวายลิง ปอทะเล คล้า สาคู จาก เมา กระท่อมหมู ลำแทง เป็นต้น

    ด้านในเป็นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทาง 960 เมตร ตอนที่กำลังเดินนี่เวลาประมาณห้าโมงเย็น ซึ่งไม่มีมนุษย์อยู่ในสวนเลยแม้แต่คนเดียว สรุปคือเดินคนเดียวโดดๆ เลยท่ามกลางป่าพรุ ตื่นเต้นดีพิลึก

    อืม.. ทางเข้าก็เปลี่ยวดีนะ

    บรรยากาศก็ดูวังเวงใช้ได้เลย บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าชอบหรือเปล่า

    นึกถึงหนังที่เกี่ยวกับหลงป่าแล้วต้องเจอพวกโรคจิต เริ่มจินตนาการอะไรไปเรื่อยเปื่อย

    ยิ่งเดินยิ่งคิดมาก สองข้างทางก็เป็นป่าตลอดแนวดูเหมือนๆ กันไปหมด ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ยิ่งระแวงมากขึ้นเท่านั้น เอาไงดี หันหลังกลับแล้วเดินกลับไปที่เดิมดีกว่าเนอะ ฮี่ฮี่

    คืนนี้เข้านอนเร็วหน่อยเพราะทีวีดูไม่ได้ เมื่อตอนเย็นมีโอกาสได้คุยกะคุณหนุ่มอีก เขาบอกว่าเขาออกเรือไปกับลูกค้าเกือบทุกเช้า เขาได้ถ่ายรูปทุกวัน แต่ละวันที่เขาถ่ายรูปมานั้นก็ไม่ได้ซ้ำแบบ เขาสามารถหามุมมองใหม่ๆ ได้เสมอ เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนกับเจ้าของเพจ "ฟองสบู่" ต้นเหตุแห่งการมาพัทลุงครั้งนี้นั่นเอง คุณฟองสบู่นี่ที่แท้เป็นคุณหมออยู่ที่พัทลุงนี่แหละ เป็นเจ้าของโรงพยาบาล ทุกวันเสาร์คุณฟองสบู่จะมาถ่ายรูปบริเวณปากประนี่เป็นประจำ ใช่ค่ะ รูปภาพสวยๆ จากคุณฟองสบู่ ทำให้เราได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้

    คุณเห็นหรือยังล่ะว่าจุดนี้มันน่ายืนแค่ไหน ระยะทางแสนไกลไม่ใช่ปัญหาเลยสำหรับเรานะ นี่ยังนึกขำในใจเลยนะว่าถ้าได้เจอภาพสวยๆ ที่ไหนอีก แล้วรู้สึกอินกับภาพนั้นมากๆ การเดินทางของเราคงต้องเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็นะ สิ่งนี้มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นส่วนเกินของชีวิตเราไปแล้ว เพราะเราเดินทางด้วยความรู้สึก มันลึกล้ำมากกว่าการไปเที่ยวก็ว่าได้

    เช้านี้เป็นวันพฤหัสที่ 28 ซึ่งต้องกลับบ้านวันนี้แล้วล่ะ ถึงวันนี้ไม่ได้ล่องเรือแต่ก็ตื่นเช้ามาเก็บภาพภายในรีสอร์ทอีกครั้งก่อนจาก

    มื้อเช้านี่เริ่มด้วยขนมปังทาแยมกับโอวัลตินร้อนๆ รองท้องก่อนเบาๆ

    และตามด้วยชุดขนมจีนน้ำยา พร้อมเครื่องเคียงครบครันและแน่นอนต้องมีบูดูด้วยนะ ของโปรดเราเลย

    ส่วนกับเหล่านี้ไว้กินกับข้าวต้มร้อนๆ

    นี่เป็นไข่ปลาทอด อร่อยดีนะ

    และนี่คือแม่บ้านปุกที่คอยดูแลเราเรื่องอาหารการกินตลอดระยะเวลาสองวันนี่ ทำให้เรารู้สึกว่าที่นี่เหมือนเป็นบ้านเราเอง แม่บ้านบอกว่ามีผู้หญิงที่มาคนเดียวแบบเรานี่ก็มีบ้างนะ มีอยู่คนนึงอายุ 56 ละ แต่ชอบเที่ยวคนเดียว เธอนำจักรยานพกลงเครื่องมาด้วย เธอไปไหนมาไหนด้วยการปั่นจักรยาน และเธอก็มาพักที่บ้านชายเลแห่งนี้อยู่หลายครั้ง บางครั้งเธออยู่นานเป็นอาทิตย์กว่าๆ โดยมาพักที่ห้องที่ราคาหัวละ 450 ก่อนหน้านี้สองวันก่อนที่เราจะมา มีผู้หญิงวัยรุ่นคนนึงตัวเล็กๆ มาคนเดียวเหมือนกัน เราถามแม่บ้านว่าทำไมน้องเค้าถึงมาคนเดียว คำตอบคือมากับเพื่อนบางทีมุมมองการเที่ยวมันไม่เหมือนกัน บางคนอยากไปหลายๆ จุด อยากแวะหลายๆ ที่ ในขณะที่บางคนอยากแค่มาเพื่อมานั่งกินลมเฉยๆ มาอยู่นิ่งๆ เสียบหูฟังเพลงแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว และน้องคนนี้ก็เป็นอย่างหลัง เธอจึงเลือกที่จะมาคนเดียวในแบบฉบับของตัวเธอเอง

    ส่วนการเดินทางลุยเดี่ยวของเรานั้น เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากมาเราก็มา ไม่ว่าจะมากับเพื่อนหรือมาเดี่ยว มันสนุกคนละแบบนะ แต่ละแบบมันมีความหมายด้วยกันทั้งนั้น มากับเพื่อนเราได้มีความทรงจำที่ดีร่วมกัน ร่วมแบ่งปันวันดีดีไปด้วยกัน ยังไงซะเพื่อนก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่การมาคนเดียวครั้งนี้ของเราก็ให้อะไรกับเราได้หลายๆ อย่าง มันทำให้เรารู้จักตนเองมากขึ้น รู้จักพึ่งพาตนเอง รู้ที่จะแก้ไขสถานการณ์ในช่วงเวลาคับขัน ได้มิตรภาพที่ดีจากคนรอบข้าง เรามาต่างถิ่นอย่างนี้ เชื่อเถอะว่ามีคนมากมายที่พร้อมจะช่วยเหลือเราเสมอ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสำหรับเรานะ

    เราร่ำลาแม่บ้านเสร็จ ลูกชายของแม่บ้านปุกก็ได้ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งที่หน้าสวนพฤกษศาสตร์ฯ ตรงจุดเดิมที่เรามา เราเดินมารอรถตู้ที่ไปตรังตรงด้านหน้าสายตรวจบ้านชายคลอง ตอนแรกไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ด้านใน เรายืนรอรถตู้อยู่เป็นนาน จนสายตรวจที่ประจำอยู่ป้อมนี้ก็ได้ขับรถเข้ามาจอด เราก็เลยได้มีโอกาสคุยกัน สายตรวจคนนี้อัธยาศัยดีมาก เรามาต่างถิ่นนี่เจอแต่คนใจดีนิ เราไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเลยจริงๆ มองไปทางไหนก็มีแต่รอยยิ้ม ไม่นานนักรถตู้ก็มา รถตู้จากสงขลาไปตรังนี่จะมาทุกๆ ครึ่งชั่วโมง พอรถมาถึงสายตรวจรีบโบกรถให้จอดและพาเราขึ้นรถโดยปลอดภัย ช่าย..ต้องกลับบ้านจริงๆ แล้วสินะ ลาก่อนปากประ ถ้ามีโอกาสจะมาเที่ยวอีก ประทับใจมาก

    รถตู้ขับไปถึงขนส่งตรัง เราจ่ายค่ารถไป 100 บาท เราลงตรงวินมอเตอร์ไซค์ก่อนเข้าขนส่ง เรานั่งมอเตอร์ไซค์ไปสนามบินในราคา 100 บาท แต่เราตัดสินใจผิดเพราะมันร้อนมาก แดดนี่กำลังจัดๆ เลย แนะนำว่าไปลงขนส่งจะดีกว่า แล้วต่อรถตู้ไปลงสนามบินอีกที เพราะมันก็ไม่ใช่ใกล้ๆ นะ 15 นาทีกับที่ต้องตากแดดมันทรมานใช้ได้เลย

    โอเคค่ะ ในที่สุดเราก็ถึงสนามบินตรังโดยปลอดภัย วันนี้เครื่องดีเลย์ไป 25 นาที กว่าเครื่องจะมาก็ประมาณบ่ายสาม รันเวย์ที่นี่สั้นค่ะ เวลาเครื่องลงพอล้อแตะพื้นกัปตันรีบเบรคตัวโก่งเลย และก็จอดได้อย่างสวยงาม

    สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณภาพสวยๆ จากเพจ "ฟองสบู่" ที่ทำให้การเดินทางนี้เกิดขึ้น และขอขอบคุณคนพัทลุงทุกคนที่ให้การต้อนรับและดูแลผู้หญิงกินจุคนนี้เป็นอย่างดี ขอบคุณยอยักษ์ ทะเลบัวแดง นกที่บินไปมา ขอบคุณบ้านชายเลที่พักสวยๆ ขอบคุณแม่บ้านปุกที่อุตส่าทำบูดูใส่กระปุกไว้กลับไปกินที่กรุงเทพฯด้วย 5555 กินให้เบื่อกันไปข้าง อ้อ..และขอขอบคุณควายน้ำทุกตัวด้วยนะที่ว่ายน้ำให้เราชมตั้งหลายตัว ขอบคุณอย่างแรงนิ

    หน้าจอคอมฯ ขณะนี้ เรากำลังมองภาพถ่ายมากมาย สายตาของเราตอนนี้เป็นประกายอีกครั้ง มุมปากมีแอบยิ้มอยู่ในที มือคลิกเม้าอย่างใจจดจ่อ อา.... ภาพนี้ช่างสวยเสียจัง มันคือที่ใดกันนะ!!! o_O

     

    สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้

    แท็กซี่ไปสนามบินดอนเมือง 75.-

    ค่าเครื่องบินขาไป 890.- ขากลับ 1,233.-

    แนคเกต KFC กินรองท้องที่สนามบินดอนเมือง 99.-

    รถตู้จากสนามบินตรังไปขนส่งตรัง 90.-

    รถตู้ สงขลา-ตรัง 120.-

    ข้าวราดแกงที่ขนส่งตรัง แกงเหลือง ไข่ดาว น้ำ 1 ขวด 50.-

    ซื้อน้ำที่หาดแสนสุขลำปำ น้ำแดง น้ำมะพร้าว แก้วละ 20 เป็นเงิน 40.-

    น้ำบูดู 1 ขวด 20.-

    นมไวตามิล 15.-

    ซื้อปลาดุกสองตัวที่ตลาดนัด 80.-

    มะม่วงเขียวเสวยที่ตลาดนัดครึ่งโล 20.-

    เฉาก๊วยนมสดที่ตลาดนัด ถุงละ 12 สองถุงเป็นเงิน 24.-

    มาม่าสองห่อ กับยาสีฟันหลอดเล็กที่ร้านของชำ รวมเป็นเงิน 25.-

    ค่าล่องเรือที่ปากประ 600.-

    ค่าห้องที่บ้านชายเลคืนละ 1,800 (ลดจาก 2,000 เพราะเขาเห็นว่ามาคนเดียวเลยสงสาร) นอน 2 คืน เป็นเงิน 3,600.-

    ค่าปิคอัพพาเที่ยวลำปำ วังเก่า และถนนเฉลิมพระเกียรติฯ 1,000.-

    รถตู้จากหน้าสวนพฤกษศาสตร์พัทลุงไปลงขนส่งตรัง 100.-

    มอเตอร์ไซค์จากขนส่งตรังไปสนามบินตรัง 100.-

    แท็กซี่่กลับบ้านอีก 110.-

    รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 8,291 บาทถ้วนจ้า ^_^!

     

    ติดตามการท่องเที่ยวของเราได้ที่เพจเฟสบุค "ลากแตะไปแชะฝัน"

    • Ajung  ได้ตื่นเต้นแน่ๆค่ะ เพราะเราจะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง รีวิวให้อ่านด้วยนะ 27 เมษายน 2562 13:46:13
    • Ann  จะไปเที่ยวพัทลุงเหมือนกันคะ ดูเป็นจังหวัดเล็กๆแต่มีสถานที่ให้เที่ยวชมมากอยู่ รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ครั้งแรกเลย 31 มีนาคม 2562 19:03:10