น่าน เนิบ เนิบ
สวัสดี ซา วี ดัด มือใหม่หัดรีวิว แต่สำหรับสถานที่เราไป รับรองว่าไม่ใหม่แน่นอนนน เพราะมันคือ #Unseenthailand ‘’น่าน’’ เมืองแห่งความเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยหุบเขา เหมาะกับทริปพักผ่อน ที่อยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง
รายละเอียดทริป
วัดภูมินทร์
บ้านมณีพฤกษ์
สวนกาแฟ
ดอยผาผึ้ง
ถ้ำผาผึ้ง
Day 1 การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว วันแรกหลังจากผ่านการเดินทางที่แสนจะยาวนาน ผ่านเส้นทางที่สวยงาม
ระหว่างทางไปน่าน ก่อนถึงตัวเมืองน่าน มีทุ่งนา ระหว่างทางเขียวขจีเลยทีเดียว
และแล้วพวกเราก็ได้มาถึงจังหวัดน่าน สถานที่แรกที่พวกเราได้มาถึงก็คือ วัดภูมินทร์ ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีประวัติที่ยาวนานและเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของจังหวัด (ใครที่มาจังหวัดน่านต้องมากราบเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัว)
อยู่กรุงเทพฯ ไม่เคยเข้าวัด พอมาน่านถึงกับรีบต้องขอพรเลยย5555
ซึ่งด้านใน ตรงใจกลางประดิษฐานขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ออก ด้านประตูทั้งสี่ทิศ หันเบื้องพระปฤษฏางค์ ชนกันประทับ นั่งบนฐานชุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ต่อมาจะเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่สวยงามของวัดนี้
แต่ภาพที่เป็นเรื่องราวสำคัญ ที่สุดคือ ภาพ‘’เสียงกระซิบบันลือโลก’’ หรือ ภาพ ‘’ปู่ม่าน ย่าม่าน’’ ซึ่งเป็นคำเรียก ผู้ชาย ผู้หญิง ชาวไทยลื้อสมัยโบราณ ในลักษณะ กระซิบสนทนากัน เป็นภาพขนาดใกล้เคียงกับขนาดคนจริง ของชายหนุ่มและหญิงสาว ในชุดแต่งกายแบบพม่า หรือแบบไทยใหญ่ ในท่าที่ยืนใกล้เคียงกัน ฝ่ายชายจับบ่าฝ่ายหญิงและใช้มือป้องปากเหมือนกำลังจะกระซิบถ้อยคำบางอย่าง ข้างๆหูซึ่งไม่มีใครรู้ว่ากระซิบว่าอะไร แต่ด้วยสายตาแล้ว พวกเราก็คิดว่า ต้องเป็นเรื่องความรักแน่นอน และในขณะที่พวกเราได้ยืนมองภาพ แล้วฟังบรรยายจากคุณลุง คุณลุงก็ได้บอกว่ามีอาจารย์ท่านนึงได้แต่งคำกลอนไว้สำหรับภาพนี้ พวกเราได้กับมาหาข้อมูลเกี่ยวกับคำกลอน มันช่างไพเราะ และมีความสวยงาม จากภาษาและเนื้อหา
คำฮักน้องกูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว
จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาขะลุ้ม
จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป
ก็เลยเอาไว้ในอกในใจ๋ตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา...”
แปลว่า “ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น”
จบเรื่องวัดดกันไว้เท่านี้ก่อนนนนนน
หลังจากที่เราได้ไปเที่ยวชมวัดไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตน เราได้เดินทางเข้าสู่ที่พักในค่ำคืนแรกของเรา คือ ‘’น่านธาราเพลส’’ ห้องพักสะอาด อาหารอร่อย ราคาย่อมเยาว์ เจ้าของบริการเป็นกันเองงง
ตั้งอยู่ที่ Nan Thara Place 72/1 Jaipasuk Rd. Ampher Mung
Nan Thailand 55000 Phone : (+66) 054-775678 Mobile : 091-8561865,097-0981811
Fax : (+66)054-775123 E-mail : jigkoo2499@hotmail.com Facebook Page : น่านธาราเพลส
Day 2 เราได้เดินทางไปสู่ “บ้านมณีพฤกษ์” เส้นทางที่เราได้เดินทางโดยรถส่วนตัว ทางเป็นโค้งตามสองข้างทางมีเขาล้อมรอบ
โดยถ้าคนเมารถ ผมแนะนำนะครับ พกยาหรือยาดมไว้ เรามีภาพเส้นทางการเดินทางและวิวสวยๆมาฝากกัน
ระหว่างทางการขึ้นไป “บ้านมณีพฤกษ์” ซึ่งสองข้างทางจะมีเขาและมีการปลูกต้นกะหล่ำปลี ต้องบอกเลยว่า กะหล่ำที่นี่นะครับอร่อยมากครับ เขาขนกัน แบบเต็มคันรถเลยทีเดียววววว
และเราก็ได้เดินทางมาถึงศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยววว
ตรงนี้ยังไม่ใช่ที่ ที่จะให้พักผ่อนนะครับ ความสวยงามของมณีพฤกษ์ ยังต้องไปต่ออีกครับ (พวกเราก็นึกในใจกันว่า ยังไม่ถึงอีกหรา)ในที่สุดพวกเราก็มาถึงบ้านท่านรองกล้วยสักที หลังจากนั้นรองกล้วยได้พาพวกเราเข้าไปข้างในบ้าน ต้องบอกก่อนเลยว่าท่านรองกล้วยเป็นประธานกลุ่มท่องเที่ยวบ้านมณีพฤกษ์
ซึ่งที่นี่เราจะได้ชิมกาแฟ “กาแฟ เดอ ม้ง” ที่เป็นของขึ้นชื่อของบ้านมณีพฤกษ์ มาให้เราได้ลองชิมกัน ระหว่างที่รอแกดริฟกาแฟให้นั้น พวกเราก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับแก ถึงความเป็นมาเป็นไป กว่าที่จะมาเป็น กาแฟ เดอ ม้ง และได้ถึงบางอ้อว่า ทำไมหากเรามาปลูกป่าที่มณีพฤกษ์ ต้นไม้ที่เราปลูกนั้นจะเจริญเติบโตไม่ถูกปล่อยให้แห้งตายเหมือนการปลูกป่าหลายแห่งที่เราเคยประสบมา การได้นั่งพูดคุยกันพร้อมบรรยากาศกลิ่นหอมๆ ตลบอบอวนของกาแฟ แถมด้วยจิบกาแฟอร่อยๆ ก็ทำให้รู้สึกฟินไม่ใช่น้อย
กาแฟเดอ ม้ง ของบ้ามณีพฤกษ์มีสายพันธุ์ที่ชื่อว่า อาราปีก้าเกอิชา ซึ่งเป็นจุดเด่น ของ กาแฟ เดอ ม้ง และจะมีกาแฟ อีกสองชนิด ซึ่ง ชื่อว่า จาว่า และ คาดิมอ ซึ่งลักษณะ ของ 3 รสชาติ จะแตกต่างกันออกไป แต่มีสิ่งนึงที่เหมือนกัน นั่นคือเมล็ดที่มาจากความใส่ใจของชาวบ้านมณีพฤกษ์ ซึ่งวิธีการชงของเขาจะไม่เหมือนที่อื่น จะเป็นการชงแบบการดริฟ ต้องมีการวัดปริมาณ ของกาแฟและน้ำที่ใช้ในการดริฟกาแฟ ถ้าดริฟช้าไปหรือเร็วไป จะทำให้กาแฟ เสียรส แม้กระทั่งการคั่วเมล็ด ถ้าคั่วนานไป จะทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย กาแฟ เดอ ม้ง เลยเน้นไปทางรักษาสุขภาพของผู้บริโภค
แต่สำหรับคนที่ไม่นิยมกินกาแฟ สด ที่เป็นกาแฟร้อนไม่เติมน้ำตาลหรือนมหรือคอฟฟี่เมส จะมีกาแฟชงแบบเย็นเป็นเมล็ดที่จะต้องนำไปบดเองโดยสามารถที่จะเติม นม น้ำตาล คอฟฟฟี่เมส ได้ตามความชอบและสไตล์ในการดื่มของตัวเอง เป็นยังไงกันบ้างหล่ะครับ สำหรับกาแฟ เดอม้ง แห่งบ้านมณีพฤกษ์
รองกล้วยก็ได้แนะนำ ดอยผาผึ้ง ว่าสวยงามและน่าถ่ายรูปมากแค่ไหน จนทำให้พวกเราอยากจะรีบขึ้นไปเดี๋ยวนั้นเลย โดยการนั่งรถกะบะแบบลุยๆขึ้นไปตามเส้นทางที่ค่อนข้างจะขรุขระ เป็นดินแดงโคลน และมีความชันพอสมควร เส้นทางประมาณ 5กิโล จะถึงจุดชมวิว แต่การขึ้นดอยต้องใช้ รถโฟวีล์ เท่านั้น การแต่งกายแนะนำให้รัดกุม พร้อมลุยพร้อมเลอะ ที่สำคัญรองเท้าควรเป็นรองเท้าผ้าใบที่สำหรับเดินหรือวิ่ง พอถึงเชิงดอย จะต้องเดินทางเท้าขึ้นเขา ราวๆ 100-200 เมตร
ต้นทางก็สั่นไหวแล้ววว จะหยุดหรือจะไปต่อดี แต่มาขนาดนี้ หยุดไม่ได้แล้วละ ลุยยยย
ยังงง คงยังงงชิวววกันอยู่!!!!!!!!
เริ่มมมเหวี่ยงงงละะะะะะ
และแล้วววว เราก็ได้มาถึง ดอยผาผึ้ง!!! แล้ววววววว
ดูทางขึ้นนนนนนนนนนนสิ พี่เขามาตัดหญ้าให้นะเนี่ยยยยยยยย เดินต่ออีกหน่อยย
เห็นยอดดด แล้ววววววว
การรอคอยเราก็มาถึง เราได้เดินมาถึงจุดชมวิว ที่สวยงาม ดอยผาผึ้งมีลักษณะเป็นเขาหินปูนแหลมๆ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวทองขจี ความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 1,600เมตร ถือได้ว่าคุ้มค่าและสวยงาม ช่วงเวลาที่เราขึ้นไปเป็นช่วงเวลาบ่ายโมง เลยทำให้มีลมหนาวเย็นๆ
ดีนะที่ไม่ถอดใจ หลงรักเขาก็วันนี้แหละในรูปนี้ยิ้มมเต็มที แต่ขา สั่นผับ ผับ เลยจ้าเอาไปอีก รูปแล้วกันนนนนน แดดมันแรงจริงๆนะ แต่มีลมเย็นๆ ตลอดเลย
จบแล้วววว ซะทีไหนละ ลงดอยยยกันนนนนนไปสวนกาแฟกันน
ต้นกาแฟ ถ้าต้นไม้อยู่ไม่ได้ต้นกาแฟก็อยู่ไม่ได้ อนาคตเขาจะมีคิวบาร์โค้ด ให้เขายิง เพื่อให้เขารู้ว่านี้มาจากเดอ ม้ง ถ้าเรากินกาแฟซองนี้เราจะมีส่วนดูแลป่าเท่าไหร่ คำนวณเป็นปริมาณคาร์บอนได้เท่าไหร่ เพื่อให้เขามีความรู้สึกว่าเขากินกาแฟตัหลังจากลงจากดอยผาผึ้งแล้ว เราได้ไปชมสวนกาแฟ ซึ่งการปลูกต้นกาแฟจะใช้ระยะเวลาในการเจริญเติบโต 3ปี ถึงจะนำเมล็ดมาคั่วได้ ซึ่งเราได้เก็บภาพต้นกาแฟ มาให้ชมกัน การปลูกกาแฟของที่บ้านมณีพฤกษ์ มีหัวใจสำคัญ คือ การปลูกป่าควบคู่ไปด้วย ซึ่งเพื่อปกคลุมวนี้ไม่ได้หลอกหลวง เหมือนเขาเห็นภาพจริง ให้เขาได้รู้ว่าเขามีส่วนในการดูแลป่าให้เรา รายได้จากการขายกาแฟเนี่ย มันก็กลับสู่คนที่ปลูกเพื่อให้เขามีรายได้ดูแลตัวเขาและดูแลป่าให้เรา ปีหน้านี้ในเพจ เดอ ม้ง หรือบ้านมณีพฤกษ์ก็ตามเราจะประชาสัมพันธ์ออกไป ถ้าใครอยากจะปลูกป่ามีอยู่ 2 แนวทาง แนวทางแรก ก็คือ บริจาคพวกต้นไม้มาให้เรากับแนวทางทางที่สอง คือ บริจาคเงินมาให้เราซื้อต้นไม้มาปลูก แต่เราอาจจะต้องระบุนิดนึงว่า ถ้าเขาส่งเงินมาเท่าไหร่ถึงจะทำป้ายให้เขา หรือว่าเขาส่งต้นไม้มากี่ต้นถึงจะทำป้ายอันนึงให้เขา แล้วไปปักต้นไม้ที่เราปลูกให้เขาแล้วอัพเดทให้เขาดู ทุกปีว่า ปีนี้ต้นไม้เขาเป็นยังไง แล้วปีถัดไปต้นไม้เขาเป็นยังไง แล้วเราอาจจะทำทริปให้เขากลับมาดูต้นไม้ของเขาด้วย ให้เขากลับมาดูต้นไม้ที่เราปลูกให้เขา เขาจะได้รู้ว่าเราทำจริง ไม่ได้เอาเงินเขามาทิ้ง
นี่แหละคนนี้แหละ รองกล้วย แห่งบ้านมณีพฤกษ์ โอปป้ามากจ้า
วันนี้ทำให้เรารู้ว่า กว่าจะมาเป็นกาแฟที่เราดื่มกันอย่างเอร็ดอร่อย มันยากลำบากมากนะ
หลังจากชมสวนกาแฟเสร็จ เราได้เดินขึ้นมาตรงบ้านพักที่เป็นไร่ของท่านรองกล้วย มีลานกางเต้นท์ และเป็นโฮมสเตย์ ขอบอกเลยว่าบรรยากาศดีมาก อากาศหนาว ยิ่งดึกๆ ลมยิ่งแรงแต่น่าเสียดาย วันที่เราไปพักเป็นคืนเดือนหงาย ทำให้ไม่เห็นทางช้างเผือก ปกติบริเวณที่เราไปกลางเต้นท์นอน จะเห็นทางช้างเผือกได้ชัดเจนมาก หน้าเสียดายจริงๆ ส่วนไฟฟ้าจะปั่นให้ใช้งานจนถึง5ทุ่ม หรืออาจจะไม่ถึง สิ่งของที่ควรเตรียมไป ก็คือ ไฟฉ่าย ถุงนอน แต่สำหรับในส่วนของโทรศัพท์ สัญญานค่อนข้างหายาก หรืออาจจะไม่มีเลย ซึ่งทำให้เราได้เหมือนอยู่ในโลกที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต เป็นสิ่งที่ดีมากที่ทำให้อยู่กับธรรมชาติมากขึ้น มากกว่าการอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ เหมือนในชีวิตประจำวันของพวกเราทุกวันนี้ ผมว่ามันคุ้มค่ากับการพักผ่อนที่แท้จริงครับ
บ้านมีเราไม่นอนนนนนนนนน
เราชอบอะไรท้าทาย และสะดุ้งๆหน่อยๆงะ
Day 3 เช้าวันที่สาม เป็นเช้าวันสุดท้ายของพวกเรา ที่บ้านมณีพฤกษ์ เวลา ตี 5:20 เราได้เดินทางขึ้นดอยผาผึ้งอีกรอบเพื่อดูแสงแรกของวันซึ่งอากาศหนาวราวๆประมาณ 13-15องศา ต้องบอกเลยว่าดอยแห่งนี้ทั้งในตอนเช้ามืดและตอนสายๆ มีความสวยงามที่แตกต่างกัน และมีคำๆนึงที่ต้องบอกกับทุกคนเลยว่า พวกเราก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปทีไม่ชอบการตื่นเช้าสักเท่าไหร่ พอได้ตื่นเช้าแล้วได้ขึ้นมาสัมผัสบรรยากาศ เลยทำให้พวกเราได้เปลี่ยนความคิดที่ว่า การตื่นเช้านั้นได้อะไรหลายอย่าง ธรรมชาติมันก็คือธรรมชาติ ไม่ว่าเราจะหันหลังกลับไปแล้วมองย้อนกลับมา มันก็ยังคงสวยงามเสมอ ไม่เหมือนกับใจของคนที่สามารถเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา
แสงแรก มาแว้ววววววววววววววววววว
หมอกจางๆและควันนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
หลังจากลงจากดอยผาผึ้งเราได้เดินทางไป ถ้ำผาผึ้ง คือสถานีสุดท้ายของเราในทริปนี้ ซึ่งถ้ำผาผึ้งต้องเดินทางเท้า 200 เมตร และเดินลงไปในถ้ำ 200 เมตร เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หน้าบริเวณปากถ้ำยังมีน้ำตกเล็กๆ ที่มีปลายทางน้ำไหลลงสู่ในถ้ำ ดูลึกลับและน่าค้นหามากๆ ซึ่งทางเดินค่อนข้างชัน มีโขดหิน ต้นไม้ล้อมรอบ และมีดินแดงโคลน ทางลงจะมีบันไดเป็นระยะ ซึ่งจะต้องระมัดวังอย่างมาก อาจจะทำให้ลื่นตกได้ ภายในถ้ำจะมีแสงแดด เล็ดลอดออกมา ดูลึกลับและน่าค้นหาอย่างมาก รับรองว่าสวยงามแน่นอน
200เมตรที่ไหนนนนนนนนละ คุณหลอกดาวววววว
มีลำธารตามทางเดินนนด้วยยยย น้าาาาาา
เริ่มลึกกกละ แต่แค่ครึ่งทางงเอง
ชันมาก ลงไปอีกสิๆๆ
ลงมาแล้ววว เจอแต่นายแบบทั้งนั้นเลยย
มีน้ำตก ไหลลเล็กด้วยยย
และแล้วก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย ของทริปนี้ พวกเราขอขอบคุณทุกท่าน ที่เข้ามาอ่านประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวของพวกเรา พวกเราอยากฝากสถานที่แห่งนี้ ไว้เพื่อ เป็นอีก หนึ่งทางเลือกสำหรับใคร ที่อยากท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และยังไม่มีแสงสีเสียงที่มากนัก
พวกท่านเคยได้ยินคำนี้ไหมครับ “อย่าสนใจแค่ปลายทาง เพราะมีเรื่องราวมากมายหลายอย่าง อยู่ระหว่างทางให้จดจำ”
พวกเราเพิ่งจะเข้าใจในความหมายของมันก็วันนี้แหล่ะ พวกเราไม่สามารถลืม “บ้านมณีพฤกษ์” และทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้เจอ จะถูกบันทึกในลิ้นชักแห่งความทรงจำของพวกเราตลอดไป