-
Sathaporn • ตุลาคม 29, 2558ความลำบากของเส้นทางหาใช่อุปสรรค หากเเต่ความงดงามของการเดินทาง ล้วนมาจากประสบการณ์ระหว่างทางเเทบทั้งสิ้นเสือดำผจญภัย
-
Sathaporn • ตุลาคม 29 , 2558
ความลำบากที่งดงาม ของชาวไทยภูเขา อ.อุ้มผาง จ.ตาก
สวัสดีเพื่อนร่วมทางทุกท่านอย่างเป็นทางการครับ นี่เป็นครั้งเเรกของผมที่มีโอกาสได้เขียนบอกเล่าประสบการณ์การเดินทางผ่านสื่อออนไลน์ ต้องบอกก่อนครับว่า...การที่ผมลองหันมาเขียนบันทึกเเบบนี้นั่นก็เป็นเพราะงานประจำที่ผมทำคืออาชีพ"นักข่าว" ห้องทำงานในเเต่ละวันของผม จึงเปลี่ยนไปตามสถานการณ์เเละความเป็นจริงในสังคม...ผมเดินทางบ่อยได้ไปในหลายๆสถานที่ เเน่นอนว่าทุกที่ที่ผมไปก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพความทรงจำดีๆกลับมาด้วย เเต่นานวันภาพที่ถ่ายมาก็เริ่มเยอะขึ้นจนเนื้อที่จัดเก็บในฮาร์ดดิสก์ไม่พอ จะลบไปก็เสียดายทั้งๆที่ภาพถ่ายเหล่านี้ยังไม่ได้ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวของมันเลย ด้วยเหตุนี้เองผมจึงอยากเเชร์ประสบการณ์การเดินทางอีกหนึ่งรูปเเบบ ที่ไม่ใช่เเค่การรีวิวสถานที่ หากเเต่ในบันทึกยังบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของกลุ่มคนที่ผมมีโอกาสได้ไปสัมผัสเเละพูดคุยกับพวกเขา ผมเรียกมันว่า การเดินทางในเเบบของ "เสือดำผจญภัย"
ขอเริ่มจากประสบกาณ์ล่าสุด(20 สิงหาคม 2558) ผมเเละทีมข่าวใช้เวลาราว 3-4 ชั่วโมง โดยรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์(รถทีมข่าว) ออกจากอำเภอเเม่สอด ขึ้นไปที่ อ.อุ้มผาง ซึ่งเป็นจุดนัดพบของทีมออฟโร้ด เเละเจ้าหน้าที่มูลนิธิ พอ.สว.เพื่อไปเริ่มตั้งขบวนคาราวานของหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ เตรียมเดินทางมุ่งหน้าไปที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขาบนพื้นที่สูงบ้านกุยต๊ะ ในตำบลเเม่จัน เเต่ก่อนออกเดินทางผมเเละทีมงานต้องเเวะตุนเสบียงเเละของใช้ส่วนตัวติดกระเป๋าไว้ เนื่องจากพื้นที่ปลายทางไม่ค่อยมีร้านค้าเพราะคนที่นั่นส่วนใหญ่ มีวิถีชีวิตเเบบชาวไทยกะเหรี่ยงที่ยึดอาชีพเกษตรกรรมทำไร่ทำนาเป็นหลัก เเนะนำว่าถ้ามาถึงอำเภออุ้มผางจะมีร้านสะดวกซื้อเซเว่นฯเพียงเเห่งเดียว สิ่งไหนที่คิดว่าจำเป็นต้องมีติดตัวไปด้วย หรืออยากเอาไปเผื่อเด็กๆที่นั่นก็จัดการให้เสร็จสรรพซะตั้งเเต่ที่นี่เลย
เราเริ่มเดินทางออกจากตัวอำเภออุ้มผางในช่วงก่อนเที่ยง เริ่มไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากถนนที่เป็นทางลาดยางก็ค่อยๆกลายเป็นคอนกรีตเล็กๆ เมื่อเริ่มเห็นฝุ่นเเน่นอนนั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่า จากนี้ไปจะต้องเจอกับทางลูกรังไปจนกว่าจะถึงที่หมาย...เราใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขาพื้นที่สูงบ้านกุยต๊ะ(หลักสูตรกศน.) ซึ่งที่นี่จะใช้เป็นศูนย์กลางหรือเป็นที่ตั้งของหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ของมูลนิธิพอ.สว.เเละทีมทันตเเพทย์อาสาที่มาจากหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศ
เรากางเต้นท์บริเวณลานหญ้าติดสนามฟุตบอล โชคดีตอนไปถึงอากาศโปร่งไร้เมฆฝน เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯเเละพี่ๆออฟโร้ดจิตอาสาก็เริ่มช่วยกันทยอยนำข้าวของที่จำเป็น เช่น วัตถุดิบที่จะใช้ปรุงอาหาร ของบริจาค เเละอุปกรณ์ที่จะใช้สำหรับบรรยายในช่วงค่ำ...ก่อนที่ในช่วงเย็น ทุกคนจะมารวมตัวกันลงสนามดวลเเข้งกับน้องๆชาวไทยกะเหรี่ยงที่ต้องบอกว่าเเม้สภาพสนามจะลาดเอียงขรุขระ เเต่หลายคนฝีเท้าใช้ได้เลยทีเดียว...ผลการเเข่งขันพวกผมเป็นฝ่ายเเพ้โดนเด็กรุมไปไม่เป็นเลย ฮ่าๆๆ เเต่ก็ถือว่าเป็นกิจกรรเเรกที่พวกเราได้ทำร่วมกับคนที่นี่ ได้เห็นพวกเขามีความสุขมีรอยยิ้มก็ดีใจมากๆเเล้ว
เดิมพี่ๆออฟโร้ดตั้งใจว่าคืนนี้จะฉายหนังให้เด็กๆดู เเต่เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงค่ำมีฝนโปรยปรายลงมาทั้งที่ตอนบ่ายฟ้าใสมาก เด็กเเละผู้ปกครองหลายคนมายืนเกาะรั้วโรงเรียนผมเห็นเเล้วก็เสียดายที่อากาศไม่เป็นใจ จะมาฉายในอาคารก็สถานที่คับเเคบเพราะอุปกรณ์ที่พี่ๆเตรียมมาเป็นจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ จึงสัญญากับทุกคนว่า วันพรุ่งนี้ถ้าอากาศดีให้มาดูกันเยอะๆ ส่วนนี่คืออาหารเย็นมื้อเเรกพ่อครัวของมูลนิธิพอสว.ทำอร่อยมาก )เอ๊ะ!!! รึผมหิว เเซวเล่น เพราะมันอร่อยจริงๆ
คืนนั้นเราพักผ่อนในเต้นท์ท่ามกลางเสียงฝน ซึ่งปกติผมเป็นคนชอบนอนฟังเสียงฝนอยู่เเล้ว พอ 2 ทุ่มจึงรีบอาบน้ำ ซึ่งห้องอาบน้ำที่นี่เป็นลักษณะ Open Air พันผ้าขาวม้าจ้วงอาบ(คงพอนึกภาพออก) มีผ้ามาขึงล้อมรอบเท่านั้น พออาบเสร็จก็รีบเข้ามาในเต้นท์ ถึงเสียงฝนจะกล่อมเเต่ด้วยความที่เป็นคนนอนดึกทำยังไงก็ไม่หลับ โชคดีที่ติดเเผ่นคอนเสิร์ตคาราบาวไปด้วย ความบันเทิงจึงเริ่มขึ้นในเต้นท์เล็กๆของผม เเต่ก็ต้องรีบดูเพราะที่นี่ระบบไฟ(เเผงโซล่าเซลล์)จะตัดในเวลาสี่ทุ่ม