บทที่ 7
หมาป่า และ อีกา
" ไม่นานเราก็จะลืม " ผมเห็นด้วยนะกับประโยคนี้เมื่อเวลาผ่านไปเราจะค่อยๆลืมทุกแรงบันดารใจแล้วเรื่องราวที่แสนพิเศษต่างๆ เหลือไว้แต่เพียงแค่บางสิ่งที่เลือนลาง ไม่นานผมก็คงจะลืมทุกการเดินทางที่ผมเคยผ่านมาและเดินหน้าสู่การเดินทางครั้งใหม่ๆ แต่ผมมีทริคอยู่นิดนึง ทุกการเดินทางของผมจะมีเพลงประจำตัวอยุ่เมื่อไหรก็ตามที่ได้ยินเพลงนี้ผมจะจำได้แม้กระทั้งคำพูดที่เราพูดกันในการเดินทางครั้งนั้น ที่ดอยม่อนจองผมมีเพลง Step out ของ Jose Gonzalez คอยเตือนความทรงจำ และที่แปลกก็คือเพลงเหล่านี้ผมไม่สามารถใช้ซ้ำกับที่อื่นได้ จนผมรู้สึกได้เลยว่าทุกที่ที่ผมไปเหมือนจะเลือกเพลงของตัวเองไว้แล้ว ที่ดอยหลวงเชียงดาวก็เช่นกัน
เรามาถึงข้างล่างตรงที่พักประมาณ 1 ทุ่ม ผมก็เพิ่งสังเกตุเห็นว่ามีเต้นส์อื่นมากลางอยู่ข้างๆค่อนข้างใหญ่มากผมก็ไม่ค่อยได้ทักทายอะไรเขามากแค่ถามเขาว่าห้องน้ำไปทางไหน กฎของที่นี้ห้ามใช้เสียงหลัง 4 ทุ่มเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่นและสัตว์ป่า มั้ง (เอ้า -*-) ก่อนนอนผมเลยแวะเข้าห้องน้ำนิดหน่อย จนเพิ่งมารู้ตัวว่าอากาศข้างนอกหนาวมากจนผมหายใจเป็นไอ อย่างเท่นี้พูดเลยว่าตอนนั้นหายใจออกมากว่าหายใจเข้าอีก แต่ติดอยู่อย่างเดียวคือเวลาถอดกางเกง อื้อหือ เปิดช่องนิดเดียวหนาวยันปลายคิ้ว จนคิดว่าถ้ากุฉี่ออกไปมันจะกลายเป็นน้ำแข็งเหมือนในคลิปฝรั่งมั้ย ผมล้มตัวลงนอนอย่างจริงจังตอนเกือบ 2 ทุ่มถามว่านอนหลับมั้ยไม่เลย เพราะเสียงเต้นส์ข้างดังพอควรแต่ผมก็ไม่โกรธอะไรเขานะแถมฮาอีกตั้งหากเหมือนนั่งฟังตลกคาเฟ่ผสมคำคมจากอ่อนนุชยังไงไม่รู้ แต่ความชอบใจของผมกับหมดลงเมื่อตอนเที่ยงคืน ขณะที่ผมเคลิ้มๆใกล้จะหลับก้มีเสียง ดัง คร่อกกกกก !!! คึก คึก คร่อกกกก !! แครก !! ดังจริงๆ ดังจนนึกว่ามีคนมากรนอยู่หน้าเต้นส์ ดังจนผมสงสัยว่าพวกพี่ๆนอนกันได้อย่างไรรรร คือยอมรับเลยไม่เคยเจอคนที่มีพลังปรานแกร่งกล้าขนาดนี้ ผมว่าพ่อผมหนักแล้วนะพี่คนนี้เหมือนหลุดมาจากเขาคุนหลุนอะ จนจากผมโมโหกลายเป็นเริ่มจะเป็นห่วงพี่แกละ กลัวว่าพี่แกจะเป็นอะไร สรุปคือหลับๆตื่นๆทั้งคืน ป.ล และหนาวมากในตอนกลางคืน 7 องศามั้ง
ผมตื่นขึ้นมาตอนตี 4 เนื่องจากเสียงพี่จอมยุทธผสมกับนาฬิกาปลุก เช้าวันนี้เรามีแพลนเดินทางไปที่กิ่วลม กิ่วแปลว่าอะไร ไม่รู้ ทุกวันนี้ผมยังหาคำตอบอยู่เลย ผมกับน้องออกมายืนปรับสภาพร่างกายอยู่หน้าเต้นส์บังเอิญเจอพี่คนนำทางของเต้นส์ข้างๆ เขาบอกผมว่าไปกิ่วลมหรอ ไปได้เลยนะ ห๊ะ ไปได้เลยหรอ ผมก็ถามพี่เขาว่าไปทางไหนพี่เขาก็ชี้เข้าไปในป่ามืดๆ ผมกับน้องนิ่งอยู่สักแปบนึงเหมือนพี่เขาจะรู้ทัน พี่เขาบอกว่างั้นไปกับพี่ แต่ประมาณตี5ครึ่งนะ ผมก็โอเคเพราะมันมืดจริงๆมืดจนผมไม่กล้าพาน้องเดินไป และพี่เขาถามผมว่ามีกาแฟมั้ยเพราะว่าพี่เขาจะต้มน้ำร้อนข้างบนจะได้ต้มกินได้ ด้วยความเกรงใจพี่เขามาก ไม่มีครับ ผมตอบด้วยความมั่นใจ(โถ่วว) พี่เขาค้นๆและหยิบกาแฟมาให้จากในเต้นส์ เราออกเดินทางตอนตี 5 ครึ่งขึ้นสู่กิ่วลมคณะเดินทางตอนนี้มีทั้งหมด 7 คนรวมผมกับน้อง หากใครคิดว่าทางไปยอด 2225 ว่าเลวร้ายแล้วคุณคิดผิด นอกจากจะสูงแล้วแถมไกลให้กุด้วย หอบจนจะขาดใจ คนข้างบนบอกจะถึงแล้วจนหลายจะถึงก็ยังไม่ถึงสักที และข้อเสียของการเดินทางเป็นกรุ๊ปคือเราช้าไม่ได้เพราะคนข้างบนรออยู่ ทำให้ผมต้องจ้ำขึ้นไปให้เร็วกว่าเดิม ทางต่างระดับค่อนข้างเยอะถึงมันจะไม่ถี่เท่ายอดเชียงดาวแต่ระยะทางก็ทำให้จุกได้เหมือนกัน เราเดินมาเรื่อยๆในความมืด ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ไหน รู้แต่ว่าต้องเดินไปเรื่อยๆแต่อย่างว่าอะแหละทุกการแสดงย่อมมีผ้าม่านขนาดใหญ่ปกปิดโชว์ที่แสนวิเศษไว้อยู่
เรามาหยุดอยู่ตรงหมู่ก้อนหินปูนที่เรียงรายอยู่หลายก้อนทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก พี่ที่นำทางเราบอกว่าเราจะมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นกันตรงนี้แต่ตรงนี้ยังไม่ใช่กิ่วลมนะ ไม่เป็นไรครับพี่ตอนนี้ลมจะจับผมแล้ว ผมเลือกหามุมดีๆตั้งขาตั้งและนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้น พอสติกลับมารู้ตัวเลยว่า ชิปละกุป่วยแน่ะๆ เพราะเหงื่อที่ออกชุ้มไปทั้งตัวกับลมอากาศที่แสนจะเย็นจนปุ่ม shift หาย มันเป็นความหนาวที่ผมควบคุมไม่ได้อาการลุ่มๆมาละกลัวปอดจะบวม แม่มทำอะไรไม่ได้จริงๆได้แต่ยืนทนอยู่แบบนั้นจนกระทั้งพี่ที่นำทางเดินมาหาผม
เคยดูโฆษณากาแฟมั้ยที่จะเป็นแบบใส่ชุดเสื้อผ้าหนาๆห่มผ้าห่มถือถ้วยกาแฟร้อนๆด้วย 2 มือหน้าตาดูอบอุ๊นอบอุ่น ตอนเด็กผมเคยลองทำนะเผื่อจะฟินเหมือนในโฆษณา แม่ด่ายับเลยทำแก้วแตก -*- ร้อนชิหายถือได้ยังไง ไม่เคยเข้าใจเลยจนกระทั้งวันนี้ พี่ที่นำทางเรามาเขาเอาน้ำร้อนที่ต้มมาให้ พอผมได้ถือแก้วกาแฟร้อนๆคือเข้าใจเลยว่าความฟินในโฆษณามันเป็นยังไง นอกจากมันจะไม่ร้อนแม่มดันอุ่นม๊ากกก เหมือนความร้อนและความหนาวหักล้างกันพอดี กาแฟกลิ่มหอมๆพอจิบเข้าไปนะเหยด กุราดอาบเลยได้มั้ย T T ฟินไปยันลำไส้ตรง I'm alive !! หลังจากเพิ่งรอดตายไปหมาดๆฟ้าก็ค่อยสว่างขึ้น พอมองออกไปทางด้านหน้าเราจะเห็นตัวเมืองน่าจะเชียงดาวมั้งถ้าผมจำไม่ผิด คนมากมายต่างจ้องมองออกไปรอผ้าม่านผืนใหญ่ค่อยๆเปิดออก แสงแรกค่อยปรากฎขึ้น ทุกคนต่างตื่นเต้นกับมันมาก ผมก็เช่นกัน เป็นเช้าวันใหม่ที่สวยงามเป็นเหมือนคำอวยพรที่แสนวิเศษ ผมสังเกตไปเห็นพี่ 2 คนที่อยู่ข้างหน้าผม พี่ผู้หญิงก็แซวผมนะถ้าลุกขึ้นมาตอนนี้จะโกรธมั้ย พี่ผู้ชายก็บอกว่าอย่าเลยเดี๋ยวเขาเอาไปด่าในพันทิพ พี่คิด..ถูกครับ 55555 ล้อเล่นน่า เอาจริงๆผมอิจฉาพี่เขาทั้งคู่นะ คงเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกน่าดู (ถ้าไม่ใช่แฟนกันนี้ผมชิปหา_เลยนะ 5555 )
ผมนั่งดูพวกเขาทั้งคู่พรางกับกดชัตเตอร์ พอผมเห็นพวกเขาแล้วมันทำให้ผมนึกถึงเพลงเพลงหนึ่งชื่อ The Wolves and the Ravens ของ Rogue Valley ผมไม่รู้จะอธิบายเพลงนี้ยังไงมันเป็นเพลงรักระหว่างคน 2 คน เราต่างเติมเต็มให้กันและกันแม้ว่าจะเจอความยากลำบากแค่ไหนและกาลเวลาจะค่อยๆพรากความทรงจำเหล่านั้นไป แต่ความรักที่ผมมีให้คุณจะไม่มีวันหาย เสียงกีต้าที่ฟังสบายๆไม่มีลูกเล่นมากมายแสงแดดยามเช้า ลมหนาวและสายหมอกการเดินทางที่สุดแสนจะยากลำบากกับปลายทางที่หอมหวานและชั่วนิรันดร์ น่าแปลกที่สถานที่ที่ดูดุดันกับมีเพลงอ่อนโยนและอบอุ่นขนาดนี้ ช่างดูขัดกันชะมัด เราไม่สามารถมองคนจากภายนอกได้ ธรรมชาติก็เช่นกัน บางทีผมคงต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่
พี่ที่นำทางจะพาพวกผมไปต่อแต่เนื่องจากว่าผมต้องกลับวันนี้เลยขอไม่ไปด้วย พี่เขาก็เข้าใจและก็พากันเดินหายไปได้พักสักทีผมนั่งตากแดดกับลมหนาวจนบางครั้งการที่ไม่มองอะไรผ่านกล้องบ้างก็ดี ผมนั่งจกปาร์ตี้เพราะชีวิตขาดหวาน(เบาหนาว)ไม่ได้ นั่งรอคอยน้องของผมได้สนุกกับสิ่งที่เขาไม่เคยเจอ ไม่ใช่เขาไม่เคยเข้าป่าแต่ผมหวังว่าชีวิตเขาจะช้าลงกว่านี้ จังหวะนี้นี่บอกเลยว่า นึกถึงรายการนึงเลย เป็นรายการท่องเที่ยวที่คนนำทางหน้าตาหล่อๆ "ตอนนี้เราก็มาถึง กิ่วลมมองออกไปทางด้านหน้าเราจะเห็นตัวเมืองเชียงดาว ทางด้านหลังจะเป็นยอดดอย 3 พี่น้องอากาศบนนี้เย็นมากจะเย็นไปไหนก็ไม่รู้ สวยงามมากครับ ให้ความรู้สึกสดชื่นมาก " กล้องก็แพนไปรอบๆพร้อมกับเพลงประกอบ ไปจนสุดฟ้าไกล ใจไม่เคยหวั่น เราอาจจะพบเจอทะเลที่สวยงาม แล้วพี่เขาก็เปิดกาแฟกระป๋องเย็นๆกระดกบนดอยที่อากาศหนาวๆ และก็ทำหน้าชื่นใจ 555555 รักหรอกจึงหยอกเล่นนะพี่น้า
เราลงจากกิ่วลมตอน 8 โมงหน่อยๆ เพราะเราต้องลงจากดอยตอน 9 โมงระหว่างลงเราก็เจอกับสิ่งที่หายากพอสมควรของยอดดอยแห่งนี้คือ เลียงผา เดินๆอยู่ผมก็ดันไปเห็นบางอย่างมันเดิน 4 ขาวิ่งพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้เนินข้างๆ ผมตะโกนลั่นเลย เฮ้ยเลียงผานอกจากน้องผมจะหยุดแล้วผมยังทำให้คนที่เดินตามมาอีก 2-3 คนหยุดไปด้วย พวกเรายืนมองอย่างใจจดใจจ่อหวังว่าจะได้เห็นเลียงผาแบบใกล้ ผ่านไป เกือบนาทีเจ้าเลียงผาก็ส่งเสียงร้อง โฮ่ง !! บ้าเอ๊ยยยย หมาภูเขาไม่ใช่เลียงผา บอกเลยว่าตอนนั้นอายมาก อยากกระโดดลงหน้าผาข้างๆไปเลย แต่โชคก็ยังเข้าข้างผมในตอนเรากำลังเดินกลับไปที่เต้นส์ ด้วยความที่ชอบมองไปเรื่อยผมเลยไปสังเกตุเห็น ตัวอะไรไม่รู้กำลังกระโดดตามก้อนหิน ผมเลยหันไปถามน้องผมว่า ไอ่ตัวนั้นเลียงผาใช่มั้ย แม่มกระโดดเป็นจิงโจ้เลย น้องผมก็ตอบกลับมาว่าใช่ ผมนี้ยืนยิ้มเลย บอกแล้วว่ากุเจอเลียงผา(เนียนนะเมิงอะ)
เรามาถึงเต้นส์ตอน 8.40 น. กล้าเดินมาบอกผมว่าเดี๋ยวรอเต้นส์แห้งก่อนได้มั้ยผมก็โอเคนั้งพักกันอยู่ในเต้นส์ เชื่อมั้ยพี่จอมยุทธยังนอนอยู่เลย ผมก็นั่งกินขนมปังไปฟังพี่แกไป จนกล้าเดินมาตรงหน้าเต้นส์ผมแล้วก็ขำ คงไม่ต้องถามว่าขำอะไร ผมเลยเปิดเต้นส์ไปขำกับกล้ามันด้วย 55555 บอกว่า เผอิญเจอกันเพื่อนพี่เขาพอดี ทีนี้ ผม กล้า เพื่อนพี่เขานี้ยืนขำกันเลย เพื่อนพี่เขาก็ถามว่านอนหลับมั้ยเมื่อคืน ผมก็ยิ้มและตอบไปว่า เรื่องมันยาวพี่ 5555 ว่าแต่พี่นอนกันได้ไง เราใช้เวลาลงน้อยกว่าตอนขึ้น 3 ชั่วโมงเดินบ้างวิ่ง rally ลงมาบ้างมาเจอกับลุงที่มาส่งเราตอนขาขึ้น ลุงเขาก็ถามผมนะถึงเขตแล้วไปยังไง ผมก็บอกลุงว่าเดี๋ยวผมโบกรถออกไป ลุงก็บอกว่าบ้า ลงไม่มีหรอก เเดี๋ยวลุงไปส่งตรงขนส่งเชียงดาว ผมก็เลยถามลุงไปว่าลุงคิดเท่าไหร ลุงแกก็บอกแล้วแต่เราจะให้ ลุงแกบอกลุงแกเป็นคนง่ายๆ สมัยนี้เก็บค่ารถกันแพงเกินไปจนทักท่องเที่ยวมองในแง่ลบ ซึ้งมันก็จริงเพราะผมก็คิดแบบนั้นตอนแรก
รถขับผ่านเส้นทางสายเดิมกับตอนแรกที่เรามา แต่ความรู้สึกผมกับไม่เหมือนเดิน ผมหันไปมองยอดดอยหลวงเชียงดาวที่สูงลิบ ผมถามตัวเองว่านี้คือสิ่งที่กุเพิ่งขึ้นไปหรอ ผมหันไปถามกล้าเพื่อความแน่ใจ กล้ายิ้มแล้วบอกว่าใช่ครับนั้นแหละที่เราเพิ่งขึ้นไปกันมา ผมกับน้องมองหน้ากันแล้วหัวเราะ เพราะมันสูงมาก สูงเกินกว่าผมจะจิตนาการว่าจะไปถึงได้เมื่ออยู่ตรงนี้ เชี้ยกุขึ้นไปได้ไงวะ 5555 เป็นประโยคที่หลุดมาจกปากไม่รู้ตัว นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีขีดจำกัด เราขับเคลื่อนด้วยพลังกายและความหวัง ตราบใดที่ยังมีหวังเราก็ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ตกลงนี้กุเป็นนิ้วกลมรึป่าว 5555 ตัดจบละนะ ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน ผมสัญญาว่าจะมาต่อให้เร็วขึ้นและจะอู้ให้น้อยลงนะจุ้บจุ้บ 5555 ขอขอบคุณน้องปุ้ยที่ยอมสละชีวิตมาหลอนกับพี่ในการเดินทางครั้งนี้ ขอขอบคุณทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก้าวแรกที่ผมออกจากบ้านมาจนถึงก้าวสุดท้ายที่กลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้าน ขอบคุณดอยหลวงเชียงดาาว และสุดท้ายนี้ขอบคุณบทเพลงที่มอบให้ หวังว่าสักวันผมจะเจออีกกาที่ทนอยู่เน้นตรงคำว่า ทน กับหมาป่าขี้บ่นตัวนี้และใช้ชีวิตดั่งบทเพลงที่ว่าไว้
I recall the days were few
That is all that I can do
Feel the carvings in the tree
That gives shade for you and me
" ขอบคุณครับ ^ ^ "