ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
ทริปเดินป่า 4 วัน 3 คืน | ดอยปุยหลวง - ดอยสะเงาะ - ดอยเลโจ๊ะ จ.แม่ฮ่องสอน ดอยปุยหลวง บ้านห้วยฮี้ จังหวัดแม่ฮ่องสอน
    • โพสต์-1
    Namee •  มกราคม 29 , 2564

    เดินป่าสายโหด จ.แม่ฮ่องสอน

    เดินป่าสายโหด | ดอยปุยหลวง - ดอยสะเงาะ - ดอยเลโจ๊ะ จ.แม่ฮ่องสอน
    ทริปเดินป่า 4 วัน 3 คืน | 10-13 ธันวาคม 2563
    เดินป่าไทยให้ได้บรรยากาศเหมือนเดินป่าต่างประเทศ

    ทริปนี้เป็นการเที่ยวแบบจอยทริปนะจ๊ะ (เน้นสะดวกสบาย) ไปช่วงต้นเดือนธันวาคมอากาศยังไม่หนาวมาก
    จุดเด่นของดอยปุยหลวงคือไปชมทะเลหมอกและชมทุ่งดอกเอ็นอ้า แต่ในช่วงปลายปีเริ่มไม่มีให้เห็น
    อยากไปสัมผัมทะเลหมอกให้ไปเดือนตุลาคม ทริปนี้ไปกันทั้งหมด 11 คน แต่วันที่ไปมีเจออีก 2 กรุ๊ป
    #อยากเที่ยวป่าต้องกินง่ายอยู่ง่าย #นอนกลางดินกินกลางทาง 

     

    วิวบนยอดดอยปุยหลวง

     

    ::จุดเด่น จุดอ่อน จุดโหด ของ 3 ดอย::
    1. ดอยปุยหลวงมีระยะเส้นทางการเดินเท้าไม่ไกลไม่โหด และในช่วงฤดูหนาวจะพบกับดอกเอ็นอ้าสีชมพูอมม่วง ซึ่งมี 5 กลีบ มีเกสรสีเหลือง มีผลกลมเหมือนรูปถ้วย ที่บานสะพรั่งต้อนรับนักท่องเที่ยว (ในช่วงเดือนธันวาคมเริ่มมีให้เห็นไม่เยอะ)
    2. เป็นดอยที่ไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์ ที่แค้มป์ดอยปุยหลวงมีเฉพาะของทรูเท่านั้น ส่วนบนยอดดอยจะมีทรู กับ AIS (สัญญาณมาตามลมขาดๆ หายๆ) ส่วนดอยสะเงาะไม่ต้องพูดถึง และดอยเลโจ๊ะมีสัญญาณให้เห็นแต่เล่นไม่ได้ เล่นได้เป็นบางช่วงจังหวะตามแรงลม 555++ ส่วนระหว่างเส้นทางเดินเท้าทั้ง 4 วัน สัญญาณแถบไม่มีเลย
    3. ดอยปุยหลวงสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ในจุดชมวิวเดียวกัน เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองวิวได้รอบ 360 องศา
    4. บนยอดดอยปุยหลวงจะมีหมุดและป้ายจุดฝึกทหารเสือราชินี และมีสัญญาณโทรศัพท์มือถือมากที่สุดกว่ายอดดอยอื่นๆ
    5. ดอยสะเงาะระยะเส้นทางการเดินเท้าไกลกว่าทุกๆ ดอย เดินโหดระดับบานกลางมีทั้งทางราบ ขึ้นเขา ลงเขา เลาะสันเขา เดินครบทุกรสชาติ ซึ่งเส้นทางเดินเท้าระหว่างไปดอยสะเงาะ และดอยเลโจ๊ะ ค่อนข้างโหดร้ายพอควร ต่างจากดอยปุยหลวงเดินง่ายสบายๆ แพร๊บเดียวถึง
    6. ดอยสะเงาะสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ในจุดชมวิวเดียวกัน แต่บริเวณจุดชมวิวมีพื้นที่ค่อนข้างแคบ ระยะทางในการเดินไปยังจุดชมวิวไม่ไกลและไม่โหดร้ายมาก มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือแต่ไม่ค่อยแรง จะแรงเป็นบางเครือข่ายเท่านั้น
    7. ดอยเลโจ๊ะระยะเส้นทางการเดินเท้าไม่ไกลแต่โคตรของโคตรโหดร้ายทั้งขาขึ้นและลงเขา
    8. บนยอดดอยเลโจ๊ะสามารถตั้งแค้มป์บนยอดดอยได้เลย และสามารถชมวิวที่จุดพักแค้มป์ได้ แต่มีพื้นที่จำกัดในการตั้งแค้มป์ พื้นที่สามารถรับได้ 2 - 3 กรุ๊ปเท่านั้น
    9. ที่พักแค้มป์บนยอดดอยเลโจ๊ะไม่มีแหล่งน้ำใดๆ ทุกคนต้องเตรียมน้ำและแบกน้ำกินส่วนตัวเองขึ้นมาเองจากดอยสะเงาะไปดอยเลโจ๊ะ
     
    ::กฎระเบียบและข้อห้าม::
    1. เสียค่าธรรมเนียมในการเข้าชุมชนคนละ 30 บาท
    2. ต้องมีผู้นำหรือไกด์นำทางทุกครั้งในการเดินเท้า หรือติดต่อ 086-432-7255
    3. ต้องฟังคำแนะนำและปฏิบัติตามผู้นำทางที่เป็นจุดอันตรายและจุดเสี่ยงอันตราย
    4. ห้ามทิ้งขยะและสิ่งของในพื้นที่ชุมชนและในป่า
    5. ห้ามเก็บดอกไม้หรือกล้วยไม้ทุกชนิด
    6. ให้พักได้เฉพาะที่แค้มป็นนอนเท่านั้น และห้ามก่อไฟบนยอดดอย

     

    ::การเดินเท้า 4 วัน 3 คืน::
    DAY-1 | จากจุดเริ่มเดินเท้า ณ บ้านห้วยฮี้ - ถึงจุดพักแค้มป์ ระยะทางประมาณ 2 กิโล ใช้เวลาในการเดินเท้าประมาณไม่เกิน 2 ชั่วโมง (แล้วแต่กำลังขาของแต่ละคน) และจากจุดพักแค้มป์ - ไปยอดดอยปุยหลวง ระยะทางประมาณ 500 เมตร ใกล้ๆ ใช้เวลาในการเดินเท้าไม่ถึง 30 นาที (เส้นทางเดินไม่โหดร้าย)

    DAY-2 | จากจุดพักแค้มป์ดอยปุยหลวง - ไปดอยสะเงาะ ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง (แล้วแต่กำลังขา) ระยะทางประมาณ 8 กิโลครึ่ง เป็นเส้นทางที่เดินไกลสุด เดินเลาะตามสันเขา ขึ้นเขา ลงหุบเขา เส้นทางไม่ถึงกับโหดร้ายแต่ทำให้ร่างกายล้ามากๆ ส่วนเส้นทางเดินเท้าไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น น่าจะประมาณ 2 กิโลได้ เส้นทางมีไต่ระดับขึ้นยอดแต่ไม่ถึงกับโหดร้าย แถมเส้นทางพาชวนหลงทางแนะนำให้เดินกันไปเป็นกลุ่ม จุดชมวิวที่นี่สวยสู้อีก 2 ดอยไม่ได้

    DAY-3 | จากจุดพักแค้มป์ดอยสะเงาะ - ไปดอยเลโจ๊ะ ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 4 กิโลครึ่ง (ลูกหาบบอกมา) เส้นทางเดินเท้าขึ้นชัน-ลงชัน มาพร้อมของแถมคือไต่เขาแบบขึ้นยอดสุด-ลงสุด เดินขึ้นลงก็ประมาณเขา 3 ลูก ส่วนจุดพักแค้มป์นั้นเป็นจุดเดียวกับจุดชมวิวเลย พักบนยอดดอยเลโจ๊ะ (ดอยหัวโล้น) แต่ความสวยงามของวิวนั้นโคตรคุ้มค่าเหนื่อยมากๆ เลยแม่จ๋าาาาา

    DAY-4 | จากจุดพักแค้มป์ดอยเลโจ๊ะ - กลับเข้าหมู่บ้าน ใช้เวลาประมาณเกือบ 3-4 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 3 กิโลครึ่ง เป็นการเดินลงแบบไต่เขาลงเกือบตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะครึ่งทางช่วงแรกเส้นทางลงเขาอย่างชัน ต้องไต่เชือกลงเขาทั้งหมดประมาณ 3 จุด ถือว่าพีคสุดๆ โหดร้ายแบบสุดๆ ต่อด้วยการเดินเท้าลงเขาแบบทางราบชันยาวๆ จนถึงทางออก เส้นทางขากลับจะเป็นคนละเส้นทางกับตอนเดินเท้าไปดอยปุยหลวงนะ

     

    มาเริ่มออกทริปกันเลยดีกว่าเนอะ!
    วันที่ 9 - 10 ธันวาคม 2563

    --------------------------------------------

    วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563
    >>  กลุ่มเราไปกัน 11 คน มีผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 8 คน เดินทางจาก กทม. - ตาก -  เถิน - ฮอด - แม่สะเรียง
     



    วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563

    >> ถึงแม่สะเรียง ประมาณ 8 โมงกว่า แวะกินข้าวเช้าและมุ่งหน้าต่อเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เพื่อเตรียมตัวและจัดเตรียมสัมภาระสำหรับเดินป่ากันที่ปั้ม ปตท.
     

    ข้าวเช้ามื้อแรกของพวกเรา ในหมู่บ้านแม่สะเรียง

     

    >> จัดการสัมภาระเสร็จก็ประมาณเที่ยงเกือบบ่ายโมงได้ โดยเราจะต้องเปลี่ยนถ่ายสัมภาระขึ้นรถกระบะแทน สำหรับเดินทางต่อไปยังจุดเริ่มเดิน ณ บ้านห้วยฮี้ เพื่อออกเดินเท้าขึ้นแค้มป์ปุยหลวง จากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเดินทางไปถึงชุมชนบ้านห้วยฮี้ รวมระยะทางประมาณ 36 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง
     

    แวะจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าชุมชนคนละ 30 บาท

     

    ห้ามพลาดนะกาแฟดริป บ้านห้วยฮี้ แก้วละ 30 บาท

     

    ระหว่างจัดเตรียมสัมภาระ กินข้าวมื้อบ่ายๆ ก่อนเริ่มออกเดิน

     

    จุดสตาร์ท >> เส้นทางที่ใช้สำหรับเริ่มออกเดินเท้า

     

    >> การเดินเท้าสำหรับวันแรก หัวหน้าแก๊งบอกว่าเป็นการซ้อมขา เดินเบาๆ สบายๆ ชิลๆ ใช้เวลในการเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 2 กิโล (ชิลเปล่าไม่รู้นะต้องลองไปเดินกันเอง)
     


    >>  เดินมาถึงที่ตั้งแค้มป์กันแบบไม่รู้ตัว เพราะไม่คิดว่าจะถึงเร็วขนาดนี้ ก็ว่าทำไมขนาดบ่าย 2 บ่าย 3 ยังให้เดินขึ้นได้ ก็ไม่พูดพรำทำเพลงใดๆ รีบช่วยกันตั้งแค้มป์ ก่อนออกไปจุดชมวิวบนยอดดอยปุยหลวงเพื่อเฝ้ารอดูพระอาทิตย์ตกกันจร้า

    จุดตั้งแค้มป์แรก ณ ดอยปุยหลวง

     

     >> พวกเราช่วยกันตั้งแค้มป์เสร็จประมาณ 4 โมงเกือบ 5 โมงได้ ก็เริ่มออกไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกบนยอดดอยปุยหลวง ระยะทางจากจุดพักแค้มป์ไปยอด ประมาณ 500 เมตรได้ เส้นทางเดินสบายๆ ชิลๆ

    ดอกเอ็นอ้า (มีให้เห็นแค่ดอยปุยหลวง)

     

    "ดอยปุยหลวง" ตั้งอยู่ที่ บ้านห้วยฮี้ ตำบลห้วยปูลิง อำเภอเมือง เป็นดอยที่สูงที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ความสูงประมาณ 1,700 เมตร (เขาว่ากันเช่นนั้น) บนยอดดอยมีลักษณะเป็นภูเขาหัวโลนไม่มีต้นไม้ปกคลุม ระยะทางในการเดินขึ้นยอดไม่ไกลจากจุดพักแค้มป์ เดินสบายๆ ไม่โหดมาก ระยะทางประมาณ 500 เมตร และถ้าใครอยากจะมาสัมผัสกับทะเลหมอกแนะนำให้มาช่วงปลายฝนต้นหนาวช่วงเดือนตุลาคม (อย่าลืมพวกดวงมาด้วย) ซึ่งเป็นช่วงที่ทุ่งหญ้ากำลังเขียวขจี แต่ถ้าชอบแบบทุ่งหญ้าสีทองแนะนำให้มาช่วงหน้าหนาว
     


    >> ช่วงตอนกลางคืนที่ปุยหลวงดาวสวยมากๆ พวกเรานั่งกินข้าวและนั่งดูดาวกันไป แถมได้สัมผัสกับบรรยากาศเย็นๆ โคตรฟินเลยเพื่อน นั่งจิบน้ำชาอุ่นๆ นั่งเมากับเพื่อนๆ ไม่ใช่ๆ นั่งเมาส์กับเพื่อนในกลุ่มกันแบบสนุกสนามแต่ไม่ได้เสียงดังรบกวนใครนะ เพราะวันที่ไปรวมแล้วมีแค่ 3 กรุ๊ป และตั้งแค้มป์กันอยู่ห่างๆ แต่มีอีกกลุ่มไปตั้งแค้มป์อีกฝั่งของดอย

    >> แค้มป์กรุ๊ปนี้ไม่ธรรมดานะมีบริการถุงกรองน้ำไว้ให้ที่แค้มป์กลางด้วย ให้ลูกทริปสามารถนำขวดน้ำเปล่ามาไว้เติมน้ำกันได้ (เหมาะสำหรับพวกขี้เกียจแบกน้ำกินขึ้นดอยจริงๆ)

    อาหารมื้อเย็นของพวกเรา (อิ่มอร่อยเพราะปลาตะเพียรทำให้กินแบบจัดเต็ม)

     

    >> นอนดึกได้ เมาได้นิดหน่อย เพราะพรุ่งนี้ก่อนออกเดินเท้าไปดอยสะเงาะ พวกเราจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยปุยหลวงกันต่อ

    • โพสต์-2
    Namee •  มกราคม 29 , 2564

    ออกพิชิต "ดอยสะเงาะ"

    ออกพิชิตดอยสะเงาะ
    วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563
    --------------------------------------------
     

    >>  เช้าของวันที่ 2 วันที่ต้องเก็บเต็นท์และเดินเท้าต่อเพื่อไป "ดอยสะเงาะ" แต่ในช่วงเช้ามืดของวันเราลุกกันตอนตี 5 เพื่อขึ้นไปจิบกาแฟร้อนๆ กับการสัมผัสบรรยากาศเย็นๆ บนยอดปุยหลวง เพื่อเฝ้ารอถ่ายรูปและชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ทริปนี้กินแห้วนะไม่เจอพระอาทิตย์ขึ้น แต่โชคไม่เข้าข้างเราเท่าไร ตามภาพจร้า พระอาทิตย์อยู่ไส.... เจอแต่หมอกหนาขาวโพลนเต็มดอยเลย แต่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร 555++ เพราะได้เห็นพระอาทิตย์ตกบนยอดนี้ไปละ
     

    ดริปกาแฟกินแก้หนาวบนยอดดอยปุยหลวง

     

    >>  เราเริ่มออกเดินเท้ากันเกือบ 9 โมง โดยวันนี้ต้องเดินตามสันเขา ขึ้นเขา ลงหุบเขา เลาะสันเขา ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง (แล้วแต่กำลังขา) ระยะทางประมาณ 8 กิโลครึ่ง เพื่อเดินไปตั้งแค้มป์ที่ดอยสะเงาะ เส้นทางไม่ถึงกับโหดร้ายแต่ทำให้ร่างกายล้ามากๆ
     

    เตรียมข้าวมื้อกลางวัน

     

    >>  เส้นทางที่เริ่มออกเดินเท้าคือใช้เส้นทางที่เดินขึ้นไปยอดปุยหลวง หรือจะเดินเลาะสันเขาก็ได้ แต่พวกเราเดินขึ้นยอดดอยปุยหลวงกัน รอบนี้ได้เห็นทะเลหมอกอยู่ไกล และวิวบนยอดดอยช่วงสายๆ คือสวยงามและอากาศดีมาก แนะนำเดินขึ้นแทนการเดินเลาะชันเขา
     

    ไม่ผิดหวังใช่มะ! สวยป่ะละ

     

    >> ไปๆ ได้เวลาเดินกันต่อ วันนี้ถึงเส้นทางการเดินเท้าจะไกลสุด แต่ถ้าได้เดินคุยกันไป เดินร้องเพลงกันไปกับชาวแก๊งนะ เดินเพลินลืมเหนื่อยเลย และวิวทิวทัศน์ระหว่างเส้นทางเดินคือบางจุดสวยแปลกตาดี เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางเดินเท้าที่ไม่ซ้ำกันสักวันเลย แต่ก็มีเส้นทางที่โหดอยู่ตอนช่วงของการไต่เขาลงมาเพื่อไปเดินเลาะชันเขาของเขาอีกลูกหนึ่ง ต้องระมัดระวังกันหน่อยเดินกันไปเป็นกลุ่มดีสุดเพราะต้องค่อยช่วยกัน และต้องมีคนนำทางและลูกหาบเดินปิดท้ายตามๆ กันไป มีเดินทิ้งระยะห่าง แต่กลุ่มเราก็ไม่ได้เดินทิ้งกัน (มีแอบเดินแซงกลุ่มอื่นๆ คริๆ )


    >> ความสวยงามของวิว ระหว่างเส้นทางจากดอยปุยหลวง ไป ดอยสะเงาะ บรรยายไปมันก็เหนื่อยดูรูปแทนละกันเนอะ (รูปเยอะหน่อยนะ)

    จุดนี้ดูว่าไม่โหด แต่ถือว่าโหดในระดับหนึ่งเลยสำหรับการลงเขามันชันใช้ได้เลย

     

    นี่คือวิวตอนอยู่บนเขาอีกลูกที่กำลังไต่เขาลงมาเพื่อไป ณ จุดนั้น

     

    มื้อเที่ยงของวันที่ 2 กินให้ง่ายอยู่ให้ง่าย

     

    >>  ใกล้จะถึงแค้มป์ หัวหน้าแก๊งชวนเดินเลยขึ้นไปดูจุดชมวิวอีกหนึ่งจุด (ไปกันไม่ครบแก๊ง) ก่อนเดินย้อนกลับมายังจุดตั้งแค้มป์ ซึ่งจุดชมวิวนี้กลุ่มอื่นๆ ไม่ได้เดินมากันเพราะมันไม่ใช่จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น

    บอกเลยว่าตอนนั้นคือร้อนถ่ายรูปให้เพื่อนๆ เสร็จก็หมดแรง มีรูปตะเองเพราะแรงกระตุ้นของเพื่อน 55++

     

    >>  หลังจากที่ชมวิวถ่ายรูปกันเสร็จเรียบร้อย และคงไม่ย้อนกลับมากันตรงจุดนี้อีกแล้ว จุดพีคที่สุดคือหัวหน้าแก๊งไม่พาเดินย้อนกลับไปเพราะบอกว่าไกลเสียเวลา แต่พาพวกเราเดินมาอีกเส้นหนึ่ง เพราะบอกว่าระยะทางสั้นกว่าและถึงเร็วกว่าแค่ประมาณ 15 นาทีก็ถึง เดินมาสุดทาง! ร้องว้าวววเลยจร้าา พาเรามาไต่ลงเขาเล่นกันว่างั้นเถอะ ความราดชันประมาณ 80 % ได้ (โดนซิจ๊ะ บ่นกันถึงตีนเขา)

    >>  จุดพักแค้มป์ที่นี่เป็นพื้นที่ราบกว้างที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ ดีตรงที่ต้นไม้จะช่วยกันน้ำค้างให้ได้ในระดับหนึ่ง จุดพักแค้มป์แรกเป็นพื้นที่โล่งๆ ไม่มีต้นคลุมเต็นท์ก็จะโดนน้ำค้างเต็มๆ ตื่นเช้ามาเต็นท์เปียกกันไป


    >>  เส้นทางเดินเท้าไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น น่าจะประมาณ 2 กิโลได้ ซึ่งเป็นจุดชมวิวเดียวกัน เส้นทางมีไต่ระดับขึ้นยอดแต่ไม่ถึงกับโหด แต่พื้นที่ตรงจุดชมวิวจะค่อยข้างแคบและเป็นหน้าผาสูง ดอยสะเงาะจุดชมวิวสวยสู้ดอยปุยไม่ได้ เราเลยเลือกขึ้นไปดูแค่พระอาทิตย์ตกอย่างเดียว ไม่ได้ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเพราะเก็บแรงขาไว้เดินต่อวันที่ 3 (แต่มีเพื่อนๆ ในกลุ่มบ้างส่วนที่ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น)
     

    นั่งชิลรอชมพระอาทิตย์ตกบนยอดดอยสะเงาะ
     

    "ดอยสะเงาะ" บนยอดดอยมีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน ที่มีหินก้อนใหญ่ 2 ก้อน ตั้งอยู่ริมหน้าผาทั้ง 2 ข้าง มีพื้นที่แคบๆ ไม่กว้างมาก บนยอดสามารถมองเห็นทิวเขาหลายยอดที่ทอดต่อเรียงรายกันออกไป สามารถมองเห็นสันหม้อข้าวนึ่งได้ ดูทิวเขามุมสูงได้แต่ไม่สามารถเดินเชื่อมต่อไปถึงกันกับเขาลูกอื่นๆ ได้ และสามารถดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ ระยะทางจากแค้มป์ไปยอดดอยประมาณ 700 เมตร เป็นเส้นทางราบประมาณ 200 - 300 เมตรได้ ต่อจากนั้นเดินเลาะเขาไต่ระดับความชันขึ้นยอดกันยาวๆ ไป


                          
    • โพสต์-3
    Namee •  มกราคม 29 , 2564

    ไปต่อรอไม่ได้แล้วนะ "ดอยเลโจ๊ะ"

    ขาไหวใจไหวก็ไปต่อได้
    วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563

    --------------------------------------------


    >>  วันที่ 3 ของทริปกับการเดินแบบขึ้นชัน - ลงชัน แถมไต่เขาให้ด้วย หัวหน้าแก๊งบอกว่าเดินแบบกรุบกริบๆ พอประมาณ แต่จากที่เดินกันมามันไม่ได้กรุบกริบๆ เลยนะ มันโหดสาดเหนื่อยสาดๆ เลยนะ ถ้าแบกเป้ด้วยใครสายสไลด์ก็เตรียมตัวเตรียมตูดสำหรับสไลด์ลงเขาให้พร้อม มีเป็นบางช่วงบางตอน หรือถ้าอยากจะคลานก็ทำได้บ้างเป็นบางครั้งบางคา ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 4 กิโลครึ่ง (ลูกหาบบอกมา)

    นี่คือผู้นำทางของเรา "หัวหน้าหมู่"


    >>  หลังจากที่เก็บสัมภาระเสร็จ ออกเดินไปยังดอยเลโจ๊ะ ประมาณ 9 โมง ซึ่งยอดดอยเลโจ๊ะจะไม่มีแหล่งน้ำพวกเราทุกคนต้องเตรียมน้ำดื่มของตัวเองขึ้นไปเองด้วยบางส่วน (แบกกันเอง) วันที่ 3 แวะกินข้าวกันตรงหุบเขาซึ่งมีลำธาร จุดนี้ละที่ทุกคนจะสามารถเติมน้ำใส่ขวดเก็บเอาไว้ไปกินบนยอดดอยเลโจ๊ะได้

    ส่วนคนนี้ "หัวหน้าแก๊ง"


    ความสวยของธรรมชาตในป่าระหว่างทางเดิน

     

    >>  ความสุขของการออกทริปคือช่วงที่ได้นั่งพักขากินข้าวกลางวันเท่านั้นละ เพราะวันนี้เดินขึ้นโหดจริงๆ กินข้าวเสร็จก็ต้องเดินเลาะชันเขาไต่ระดับขึ้นลงๆ ยอดเขาไม่รู้กี่ลูกกว่าจะถึงยอดดอยเลโจ๊ะ และที่นี่คือจุดพักกินข้าวกลางวันเป็นหุบเขาที่มีลำธาร พักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนที่จะได้สัมผัสความโหด #ขอพักเติมพลังงานแพร๊บบ 

    จุดเติมน้ำที่จะนำไปใช้กินใช้ทำอาหารกันบนยอดดอยเลโจ๊ะ
     

     

    >>  ความสุขได้หมดลงแล้ว ไป ไปลุยกับความเหนื่อยต่อ... ดอยเลโจ๊ะ พีคสุดก็ช่วงก่อนใกล้จะถึงจุดพักแค้มป์บนยอดดอยละ ต้องร้องโอ้โห! กันเลยทีเดียวอะ เพราะต้องปีนไต่ความชันขึ้นไปกันการที่ต้องพาตัวเองขึ้นไปก็หนักหนาแล้ว นี่ต้องแบกเป้ขึ้นไปด้วยไม่มีคำจะบรรยายจริงๆ อะไรที่ดึงได้ เกาะได้ ยึดได้ จับไว้หมด ที่สุดแต่ยังไม่สุดของแจ้ เพราะวันลงเขาวันที่ 4 สุดกว่าจร้าา

    ได้ครึ่งทางละนะ


    >> ขึ้นสุด ลงสุด จุกๆ กันทุกลูก ทุกคนไปเลยจร้าาาา


    >> ก่อนจะขึ้นมาถึงจุดนี่เรียกได้ว่าพีดสุดๆ อีกหนึ่งจุดเลย กว่าจะพาตัวเองและเป้ดึงหญ้า ดึงต้นไม้ ไต่เขาขึ้นมาได้ แทบตาย เป็นจุดสุดท้ายของความโหด และเป็นจุดที่ใกล้จะถึงยอดแล้ว ซึ่งมุมนี้ถ่ายจากบนยอดดอยเลโจ๊ะลงมา

     

    "ดอยเลโจ๊ะ" เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดของเทือกเขานี้  มีลักษณะเป็นเขาหัวโล้นบนยอดเขาเป็นทั้งจุดตั้งแค้มป์และจุดชมวิวพระอาทิตย์และพระอาทิตย์ตกได้ในจุดเดียวกัน ส่วนวิวทิวทัศน์นั้นเป็นวิวสันเขาที่ทอดยาวสลับทับซ้อนตามระดับความสูงของภูเขาที่แตกต่างกันไป ส่วนทางด้านล่างของเขาจะมีเส้นทางเชื่อมต่อไปยังยอดเขาอื่นๆ ได้  ด้านซ้ายสุดจะเป็นยอดปีลอโจ๊ะ ส่วนยอดเลโจ๊ะ จะอยู่ตรงกลาง รองวัดความสูงจากนาฬิกาที่ใส่แล้ววัดความสูงของยอดได้ 1,590 เมตร และมียอดเลอปอเฮอ อยู่ด้านขวาสุด


    >>  บนยอดดอยมีพื้นที่จำกัดในการกลางเต็นท์นอน สามารถตั้งแค้มป์บนยอดดอยได้ประมาณ 2 กรุ๊ปใหญ่ วันนั้นมีไปทั้งหมด 3 กรุ๊ป อีกกรุ๊ปต้องเดินลงไปตั้งแค้มป์ด้านล่าง ด้วยที่บนยอดเป็นเขาหัวโล้นไม่สามารถนอนเปลได้เด้อ ในคืนที่ 3 จึงมีนอนปลาทูครึ่งเข่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนอนเต็นท์กันจร้าา ขึ้นมาถึงยอดประมาณบ่าย 2 กว่า ก็กำลังร้อนได้ที่เลยเพราะบนยอดไม่มีต้นไม้ใหญ่

    วิวหลักล้าน กับแดดร้อนๆ ตอนบ่าย 2 

     


    >>  ดอยเลโจ๊ะ สวยจบในจุดเดียว เป็นจุดตั้งแค้มป์ และจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา โคตรชิลเลยอะไม่เคยมีทริปไหนที่สามารถนั่งกินข้าวเย็นและข้าวเช้าพร้อมกับการนั่งดูพระอาทิตย์ตกและขึ้นไปพร้อมกันได้เลย

     

    >> ส่วนในช่วงค่ำคืนนั้นไม่ต้องพูดถึงบรรยากาศ พวกเรานอนปลาทูกันล้อมวงกันนอนดูดาวโคตรโมแมนติกมาก ยิ่งถ้าเป็นคืนเดือนมืดด้วยละก็ โอ้ย! รับรองเจอช้างเผือกในป่าแน่นอน
    >>  อากาศช่วงกลางคืนไม่หนาวมาก เย็นๆ แบบกำลังดี (สำหรับเรานะ) แต่คนอื่นๆ คือหนาว ลมพัดไม่แรงเบาๆ สบายๆ แต่ช่วงกลางดึกกำลังลมพัดแรงกระทบเข้ากับฟลายชีทชายเต็นท์นอนฟังเสียงผ้าใบกระพือกันไปจร้าาทั้งคืน แต่ถือว่ากำลังลมอ่อนกว่าที่อื่นที่เคยไปนอนบนยอดมา และถึงแม้กลางดึกอากาศจะเริ่มเย็นลงแต่ไม่ถึงขั้นนอนหนาวทั้งคืนนะ ที่สำคัญน้ำค้างแรงมาก

    • โพสต์-4
    Namee •  กุมภาพันธ์ 01 , 2564

    ซาโยนาระ "ดอยเลโจ๊ะ"

    เส้นทางสายโหด

    วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563

    --------------------------------------------

     

    >>  วันที่ 4 วันสุดท้ายของทริปเป็นการตื่นตอนเช้าเพื่อมาชมวิวสวยๆ ตอนพระอาทิตย์ขึ้นได้สบายสุดกว่าทุกดอย เพราะวิวอยู่ ณ เบื้องหน้าที่นอนกันเลยจร้าา เป็นช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนกันตามอัธยาศัยจริงๆ เช้าของวันนี้พวกเราเริ่มออกเดินเท้ากันประมาณ 9 โมง แต่ตอนนี้มาดูแสงเช้ากันเถอะ


    >>  ปิดทริปนี้กับความโคตรพิเศษของเส้นทางการเดินลงเขา กับระยะทางประมาณ 3 กิโลครึ่ง ซึ่งจะเป็นการเดินลงเขาทางชันเกือบตลอดครึ่งทาง ด้วยการไต่เขาที่โคตรหวาดเสียว ต้องดึงเชือกโรยตัวลงมา ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 ช่วงที่ต้องดึงเชือก ดึงหญ้า มีอะไรให้จับให้ดึงจับหมด เพราะมันชัน มันโคตรชัน มันชันจริงๆ แถมพื้นเขาก็เป็นดินร่วน ปนหิน ปนทราย ปนซากใบไม้ลื่นดีซะมัดเจ้าพระคุณเอ๋ย นับถือคนนำทางลูกหาบของแต่ละทีมต้องแบบมืออาชีพนะถึงจะเอาอยู่ ไม่งั้นคือลูกทริปแย่แน่ ตั้งแต่เดินป่ายังไม่เคยเดินลงเขาไต่เขาได้โหดสาดดดขนาดนี้มาก่อนเลย แค่ลำพังเอาตัวเองลงมาก็ว่าแย่แล้ว โหดมากแล้วกับเส้นทางลงเขาเส้นนี้ แถมต้องแบกเป้แบกเต็นท์ลงมาด้วยที่สุดของแจ้มากๆ ผ่านเส้นทางอันโหดร้ายนี้มาได้ไปเดินป่าที่อื่นคงจะชิลน่าดู 555++

    ปล. ไม่มีรูปประกอบไม่สามารถถ่ายรูปได้จริงๆ ดูรูปวิวแทนละกันนะ

     >>  เดินลงไปถึงถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงประมาณ 11 โมงกว่า นั่งรถกระบะไปยังบ้านของพี่คนขับรถที่ทางพวกเราติดต่อไว้เพื่ออาบน้ำ กินข้าวมื้อเที่ยงแบบอาหารพื้นบ้านกันที่นั้นเลย ก่อนเตรียมตัวเดินทางกลับกรุง


    ::ค่าใช้จ่ายตลอดทั้งทริป::
    ค่าทริปคนละ 5,500 บาท
    - ค่าอาหาร 10 มื้อ
    - ค่ารถตู้ปรับอากาศ VIP
    - ค่ารถกระบะรับส่งไป-กลับ
    - ค่าคนนำทาง
    - ค่าลูกหาบ (แบกกองกลาง อาหาร, อุปกรณ์ประกอบอาหาร, อุปกรณ์ตั้งแค้มป์กลาง)
    - ค่าเข้าพื้นที่ (คนละ 30 บาท)
    - ค่าประกันอุบัติเหตุ

    ::ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ไม่รวมค่าทริป)::
    - ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 
    - ค่าจ้างลูกหาบแบกสัมภาระส่วนตัว (กิโลละ 120 บาท)
    - ค่าทริบให้กับลูกหาบ (แล้วแต่น้ำใจ)


    ::สิ่งที่ต้องเตรียมไปเอง::
    - เต้นท์ หรือหาเช่ากับทางคนจัด 200 บาท
    - ถุงนอน หรือหาเช่ากับทางคนจัด 100 บาท
    - เสื้อผ้าเดินป่า ชุดลำลอง ของใช้ส่วนตัว (ของบางฝากไว้ในรถตู้ได้ป
    - อุปกรณ์กันแดด  อุปกรณ์กันหนาว
    - รองเท้าสำหรับเดินป่า รองเท้าแตะ
    - จาน ช้อน แก้วน้ำส่วนตัว ไฟฉาย
    - ยากันยุง ยารักษาโรค


    ::สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปเที่ยว::
    1. เดินป่าฤดูฝน เสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวทุกอย่างต้องใส่ถุงพลาสติกรัดหนังยางให้แน่นเพื่อกันน้ำ
    2. เดินป่าฤดูฝน การเดินขึ้นลงดอยอาจจะเจอฝนเป็นบางช่วงหรือไม่ก็อาจเจอฝนตกทั้งวันทั้งคืน
    3. เดินป่าฤดูฝน เสื้อผ้าควรเป็นเสื้อผ้าที่แห้งง่าย และรองเท้าที่ใช้เดินควรมีดอกยางสำหรับกันลื่นได้
    4. การจ้างลูกหาบแบกสัมภาระให้ ควรมีเป้ใบเล็กระหว่างเดินไว้ใส่ข้าวกลางวันและน้ำดื่มระหว่างทาง รวมทั้งของใช้ส่วนตัว

    ::ช่องทางการจองทริป::
    เพจ : Platapien ปลาตะเพียร 
    เบอร์ติดต่อ : 0991242002
    ID line : cys12-2522


    By : Namee Be Bear

    #เที่ยวให้มีความสุขและสนุกกับสิ่งที่ทำ #เมื่อไรที่เริ่มออกเดินเมื่อนั้นเราก็จะเริ่มเหนื่อย!

    ขออภัยหากมีข้อมูลส่วนใดผิดพลาดไป
    Fanpage : www.facebook.com/KanXengStudio