เก็บกระเป๋า...เที่ยวเมืองสามหมอก
ทริปนี้เราและเพื่อนชวนกันไปบุกเมืองสามหมอก กับทริป 4 วัน 3 คืน
วันที่ 1
พวกราเริ่มการเดินทางด้วยการนั่งรถบัสของนครชัยแอร์จากกรุงเทพไปลงที่จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นรถตอน 21.30 น. ถึงเชียงใหม่ 7.30 น. ของวันที่ 2 พวกเราเหมารถตู้ที่เชียงใหม่เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองสามหมอก ค่ารถตู้เช่าวันละ 1,800 บาท ไม่รวมค่าน้ำมัน
เมื่อรถตู้มารับที่ขนส่งพวกเราตกลงที่จะเที่ยวจ.เชียงใหม่ก่อนครึ่งวัน สถานที่เเรกที่เราไปคือ วันพระสิงห์วรมหาวิหาร ที่นี่นอกจากเราจะมานมัสการพระสิงห์พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเชียงใหม่กันแล้ว ข้างๆ วิหารมีกาดเล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อของฝาก ตลอดจนอาหารคาวหวานค่ะ
เมื่อไหว้พระเสร็จพวกเราเดินทางต่อไปยังม่อนแจ่ม ช่วงที่เราไปตลอดเส้นทางขึ้นม่อนเเจ่มมีรถสวนไปมาตลอดเวลา ช่วงนี้หากใครไปม่อนแจ่มอย่าขับรถเร็วนะคะ ระมัดระวังกันด้วยเพราะเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวของภาคเหนือรถเยอะจริงๆ ค่ะ
ระหว่างทางขึ้นมีของขายทั้งผลไม้ เสื้อผ้า อาหารเมืองเหนือ
ที่นี่ดอกไม้สวยๆ เต็มไปหมดเลยค่ะ สีสันของดอกไม้ช่างเข้ากับฤดูหนาวจริงๆ
หมีตกภูเขา ฮ่า ฮา ฮา
ลื่นล้มกันจริงๆ ใครเดินไปบริเวณนี้ระวังกันด้วยนะคะ
พวกเราเพลิดเพลินไปกับการเที่ยวม่อนแจ่มอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงจนหน่ำใจ ก็ลงจากม่อนเเจ่มและเดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่เราใช้เดินทางทางคือ เส้นทางเชียงใหม่-ปาย ระหว่างที่ก็แวะกินข้าวเที่ยงกันที่ ร้านหมูทองโภชนา ร้านอยู่ติดกับถนนใกล้ทางแยกเลี้ยวไปยังปาย ร้านนี้มีขายทั้งข้าว ก๋วยเตี๋ยว ต้มเลือดหมู
กินข้าวกันอิ่มแล้ว ได้เวลามุ่งหน้าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนจริงๆ แล้ว พวกเราใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการเดินทางไปที่แม่ฮ่องสอนระหว่างทางเจอสถานที่ท่องเที่ยวก็แวะกันไปเรื่อย
ตอนนี้เรามาอยู่กันที่สะพานปาย สะพานปายเกินขึ้นได้เนื่องจากช่วงนั้นเกิดสงครามญี่ปุ่นเคลื่อนทัพมายังประเทศไทย เพื่อทำการลำเลียงเสบียงและยุทโธปกรณ์ เพื่อโจมตีประเทศพม่าแต่ด้วยการเดินทางที่ยากลำบากบนเส้นทางหุบเข้าและมีแม่น้ำปายขว้างกั้นอยู่ ญี่ปุ่นจึงได้เกณฑ์ชาวบ้านมาขุดถางเส้นทางจากเชียงใหม่จนถึงแม่ฮ่องสอนสร้างขึ้นเป็นสะพาน จนกลายเป็นสะพานและเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์สงคราม
ชมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จนจุใจ พวกเราก็เดินทางกันต่อจนมาถึงที่ กิ่วลม ในช่วงค่ำ เป็นโชคดีของพวกเรามากๆ เพราะช่วงเวลาที่มาถึงเป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ทำให้พวกเราได้ชมความงดงามของตะวันที่ค่อยๆ เลือนลับจากขอบฟ้าลงหลังทิวเขาสลับซับซ้อน
ชมตะวันลับขอบฟ้า แสงต่างๆ บนท้องนภาก็ดับแสงพอดี พวกเรายังคงเดินทางต่อเพื่อมุ่งหน้าไปอุทยานแห่งชาติปางอุ๋ง พวกเรามาถึงปางอุ๋งประมาณ 20.30 น.
การมาถึง ปางอุ๋ง ดึกๆ ปางอุ๋งมีข้อเสียคือ ที่อุทยานจะเปิดให้นักท่องเที่ยวใช้ไฟได้ตั้งแต่18.00-22.00 น. จากนั้นไฟจะดับลง และในส่วนของที่พักพวกเราเช่าบ้านในอุทยานฯ หลังละ 900 บาท บ้านอยู่บริเวณหน้าอ่างเก็บน้ำพอดี
วันที่ 3
ตื่นเช้ามาพวกเราได้เห็นสายหมอกลอยล่องอยู่บนผิวน้ำช่วง 6 โมงเช้า งดงามจริงๆ นี่สินะเสนห์ปางอุ๋งที่ใครๆ ก็อย่างมาสัมผัส ทั้งนี้ที่อุทยานฯ มีบริการแพให้นักท่องเที่ยวได้พายเล่นในอ่างเก็บน้ำลำละ150 บาทค่ะ เดินไปอีกหน่อยก็จะมีทิวต้นสนเรียงรายสลับกันไปมาให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปเล่นและสามารถกางเต้นท์นอนได้
กินอิ่มแล้วก็ไปตะลุยกันต่อที่วัดพระธาตุดอยกองมู มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาสักการะพระธาตุ ตลอดจนชมวิวทิวทัศน์ของเมืองแม่ฮ่องสอน
จุดจำหน่ายดอกไม้ ธูป เทียน ใส่ตู้ตามกำลังศรัทธา
เพื่อนๆ บ่นว่าร่างกายต้องการคาร์เฟอีนแล้ว... พวกเราก็ไม่รอช้าไปหาซื้อกาแฟกินกันดีกว่า เรานั่งรถมาที่ร้านคอฟฟี่ มอร์นิ่ง ที่ถนนสิงหนาถ ถนนวัฒนธรรมของเมืองแม่ฮ่องสอน หากใครมาที่ร้านนี้ลองมานั่งอ่านปรัชญาการเปิดร้านกาแฟของเจ้าร้านดู เราชอบมากๆ กับประโยคที่ว่า "ข้าเจ้ามิได้นิยมชมชอบการดื่มกาแฟ แต่ข้าพเจ้าชอบบรรยากาศของร้านกาแฟ"
ใส่คาร์เฟอีนให้กับกระแสเลือดเรียบร้อยแล้ว เรามุ่งหน้าไปสู่ถ้ำปลา ถ้ำปลาห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร ด้านในมีปลาตัวเล็ก ตัวใหญ่ และตัวใหญ่มาก แหวกว่ายในธารน้ำจำนวนนับร้อย ทั้งนี้ที่ถ้ำปลาจำหน่ายอาหารเลี้ยงปลาให้กับนักท่องเที่ยวบริเวณด้านหน้าทางเข้า หรือใครไม่อยากซื้อตั้งแต่ข้างหน้าก็สามารถเดินเข้ามาซื้อด้านในได้เช่นกัน ปลาที่นี่ชอบกันจั๊กจั่นมากกว่าผักและผลไม้
เลี้ยงปลาแล้วพักกินข้าวกันดีกว่า มาเที่ยวเหนือทั้งทีจะพลาดอาหารพื้นเมืองได้ยังไงกัน เราพวกนั่งรถกลับเข้าไปในเมืองอีกครั้ง และมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารบ้านเพลง ขายอาหารพื้นเมืองซึ่งอาหารที่พวกเราสั่งให้กะเพาะได้กินกันนั้นได้แก่ ลาบหมูสมุนไพร ไส้อั่ว อุ๊บไก่ แกงโฮ๊ะ แกงฮังเล ปลาทับทิมทอดกระเทียม น้ำพริกอ่อง อู่ได้กำเดียวว่าลำขนาดหน่อ... ^_^
อิ่มท้องสบายใจกันแล้ว พวกเราก็มีพลังพร้อมตะลุย ซูตองเป้ แล้ว ไปกันเลย... สะพานซูตองเป้เป็นสะพานไม้ไผ่แห่งการอธิษฐาน เกิดขึ้นจากความร่วมไม้ร่วมมือของชาวบ้าน โดยสะพานทอดยาวผ่านกลางทุ่งนาแต่ในช่วงที่พวกเราไปน่าเสียดายที่ข้าวถูกเกี่ยวไปแล้ว ชาวบ้านที่นี่ปลูกข้าวนาปีเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวพวกเขาจะรวมพลกันมาเกี่ยวข้าวในแบบวิถีไทใหญ่ โดยไม่ใช่รถเกี่ยวและหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จ ชาวบ้านก็จะเปลี่ยนมาปลูกกระเทียมแทนหมุนเวียนกันไปแบบนี้เพื่อไม่ให้หน้าดินเสีย
ชมสะพานซูตองเป้เสร็จ สามารถขึ้นมาเขียนคำอธิษฐานได้ที่สวนธรรมสมะ โดยให้เขียนในแผ่นไม้เล็กๆ เหมือนดั่งในรูป อธิษฐานขอพรตามที่ต้องการ
พระประธานแห่งสวนธรรมภูสมะ
หน้าทางเข้ารีสอร์ท
ทั้งนี้ร้านอาหารลีไวน์รักไทย มีของฝากจำหน่า่ยให้นักท่องเที่ยวซื้อติดไม้ติดมือกลับไปด้วย สินค้าก็มีมากมายหลากหลายผลิตภัณฑ์ อาทิ ชา ผลไม้อบแห้ง เห็ดหอม อุปกรณ์ชงชา เป็นต้น
วันที่ 4
ต่อมาเวลาตี 5 รถตู้เคล่ื่อนล้อพาพวกเราเดินทางกลับมายังจังหวัดเชียงใหม่ เราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง มาถึงเชียงใหม่ประมาณ 10 โมงเช้า พวกเราแวะกินข้าวกันที่ร้านอาหารสวนผัก เป็นร้านอาหารที่อยู่ในเครือโรงแรมVC@Suanpaak โรงแรมอยู่ใกล้ๆ กับสนามบิน อาหารที่พวกเราสั่งเป็นอาหารพื้นเมืองและอาหารไทยทั่วไป
รองท้องยามเช้าด้วยอาหารหนักจนจุใจแล้ว เราเดินทางไปยังสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องบินตอน 13.05 น. ของสายการบินLION AIR กลับกรุงเทพมหานคร
หมดเวลาสนุกของพวกเราแล้วหรืเวลาผ่านไปเร็วจริง โอ้ย!! กลับกรุงเทพฯ แล้ว เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ แต่ถึงอย่างไรความสุขในการเดินทางมาเยือนเมืองสามหมอกในครั้งนี้ก็เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวภาพความประทับใจกับเพื่อนๆ คิดถึงเสียงกรนของพวกคุณจังเสียงอะไรทำให้เราไม่ได้หลับไม่ได้นอน คิดถึงโค้งนับร้อยที่ทำให้เราจะลงรถมาอ้วกตลอดการเดินทางวิงเวียนสีรษะคล้ายจะเป็นลม... คิดถึงชาวบ้านจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีมากๆ คิดถึงทริปนี้จังเลย...