คำว่า "รัก" ไม่ต้องหลุดปากออกมา แต่คะแนนจากแววตาที่ส่งผ่านกันมา อบอวลเต็มสิบ
ง่อวววว ถึงมีนาแล้วเราจะยังไม่มีใครก็เหอะ แต่ลิ้นชักแห่งความทรงจำทริปนี้ก็ละมุนอยู่หน่อย ๆ ช่วงนี้อากาศบนที่สูงยังสบาย ต้นไม้ลำธารก็ยังสวย พาหัวใจออกไปเบ่งบานด้วยกันนะ
"ผาหินกูบ" มุมเล็ก ๆ แต่รู้สึกมหาศาล
เปิดประตูรถ ณ ที่ทำการอุทยาน เวลาราว ๆ ตีสอง เสียงหรีดเรไร ระงมเบา ๆ ต้อนรับผู้มาเยือนเช่นเรา ที่นี่เวลานี้ ไม่มีใครคนอื่น มีบ้านพักหลังเล็ก ๆ พอให้เราได้มุดตัวในถุงนอนและหลับสบายในคืนนี้ ... ง่วงเกินบรรยาย ... ราตรีสวัสดิ์นะ
แปะ แปะ แปะ ๆ ๆ เสียงเม็ดฝนค่อย ๆ กระทบหลังคา และเทลงมาในที่สุด ใช่แล้วล่ะ มันคือมรสุมพายุฤดูร้อนที่แวะมาทักทายกล่าวคำอรุณสวัสดิ์พวกเราแต่เช้าเลย นั่ลลลลลร้ากกกก ชุ่มฉ่ำหัวใจมากจ้า
พวกเราเก็บสัมภาระที่จำเป็นและเริ่มเดินเวลาประมาณสิบโมง เมื่อองศาเย็นไม่เป็นใจ ก็เลยต้องปรับโหมดเป็นลุยกันไปก็แล้วกัน เดินตากฝนด้วยกันเป็นอะไรที่แฮปปี้มาก ไม่มีคู่มาหรอก แต่มองคู่อื่นแล้วมีความสุข ไม่ได้เดินด้วยกันตลอดทาง ไม่ได้เดินใกล้กันทุกฝีก้าว เพียงแค่อีกคนไม่ไกลจนพ้นสายตาก็พอ แบบนี้ใช่ไหมนะ? ที่เรียกว่าระยะห่างกำลังดี จังหวะที่ลงตัวของความรัก คือจังหวะที่ไม่เป็นของคนใดคนหนึ่ง และไม่ใช่จังหวะที่ต่างคนต่างเป็น มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เข้าใจมันอย่างดี รักษาใจกันไปนะ มันน่ารักที่สุดแล้ว
ระหว่างเห็นความน่ารักของคู่อื่น ก็ทำให้คิดถึงใครบางคนไม่น้อยเหมือนกันนะ บวกกับเห็นเจ้าแมลงปีกอ่อนตัวนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าหนอนและดักแดมาก่อน เจ้าผีเสื้อแยกจากดอกไม้ ใช่ว่าความรักที่เคยมีต่อกันจะหายไป ความรักที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีวันหายไปไหน มันยังคงปรากฎอยู่บนเส้นทางของคนสองคนที่ร่วมสร้างกันมา ความรู้สึกในใจของคุณอาจเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้ไม่มีใครเก็บมันไว้ มันก็ไม่ได้หายไปไหน
กลับมาที่เส้นทางของการปีนป่ายไต่เขากันต่อ ยอมรับเลยว่า ไม่ได้เตรียมใจมาเจอศึกหนักขนาดนี้ ผาหินกูบ ไม่ชิว ไม่สิว แถมค่อนไปทางหินซะด้วย แต่ระหว่างทางของความลำบาก มันก็ไม่ได้แยกขาดจากลำธารน้ำใส ไม่ได้แยกขาดจากความงามของดอกไม้ข้างทาง ไม่ได้แยกขาดจากฝูงปลาตัวน้อยน่ามอง ทั้งหมดมันคลุกเคล้าจนกลายเป็นรสชาติชีวิตที่สนุกไม่รู้ลืม
เพียงสองชั่วโมง น้องคนสุดท้องของแก๊งก็เอาค็อปเตอร์ไม้ไผ่ติดหัวและพิชิตหน้าผาด้วยรองเท้าช้างดาวแกะสลักลวดลายโดเรมอน เพียงเพราะเหตุผลว่ากลัวรองเท้าจะเลอะ จ้าาาา รีบก็ไปหาทำเลเลยจ้าาาา ส่วนตัวเรานั้น หกชั่วโมง เวลามาตรฐานจ้า
มิตรภาพก่อตัวพร้อม ๆ กับกองไฟที่ค่อย ๆ ลุกขึ้น แต่เดี๋ยวก่อน ก่อนที่จะสำลักควันตายเป็นผีเฝ้าผาที่นี่ ลุกหนีก่อนดีกว่า ไม่ไหว ๆ โคตรแสบตา ฮ่า ฮ่า พวกเราไปเก็บบรรยากาศกัน เขาหินปูนที่ห้อมล้อมด้วยต้นไม้ ท้องฟ้า อากาศบริสุทธิ์ที่สูดเท่าไรก็จดจื้นนน รวมถึงแสงอาทิตย์ยามอัสดง ละมุนใจดีจริง ๆ หายเหนื่อยเลย
คืนนี้พวกเรานอนไม่ไกลกัน บ้างผูกเปล กางเต็นท์ บ้างก็นอนใต้หน้าผาเช่นเรา ความเหนื่อยล้าอ่อนแรงจากการเดินบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ไม่ราบเรียบ แถมยังสูงชัน ทั้งยังต้องปีนป่าย เป็นเวลาหกชั่วโมง ทำให้เราหลับสบายใต้แสงดาว ราตรีสวัสดิ์อีกครั้งนะ
เช้านี้ตื่นนอนด้วยความคุ้นเคย ลืมตาขึ้นมา อ่าวววว ไม่ได้อยู่บนที่นอนนี่นา แสงอาทิตย์ยังไม่ปรากฎ ขณะนี้เวลา ห้านาฬิกาพอดีเด๊ะ ดาวเหนือดวงกลมโต พร้อมกับดาวบริวารดวงน้อย ๆ ทอแสงอ่อนละมุน เรานั่งมองมันอยู่อย่างนั้น พระอาทิตย์ค่อย ๆ ฉายแสงไปบนหมอกฟุ้ง ๆ ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไปทีละนิด ทีละนิด ก่อนจะบ๊ายบาย อยากบอกเธอว่า เธอสวยมาก ๆ เลยนะ "ผาหินกูบ"