คำบรรยายภาพ
มีคนกล่าวเอาไว้ว่า
"ต้นไม้ปรารถนาที่จะยืนอย่างหนักแน่น...แต่สายลมก็ไม่เคยหยุดพักเช่นกัน"
หลายต่อหลายครั้งที่เรามักจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่า "ธรรมชาติให้กำเนิดสิ่งต่างๆ มากหมายหลายอย่างขึ้นบนโลก รวมถึงการมีชีวิตของสัตว์และมนุษย์ แต่ทว่าเหตุใดมนุษย์ถึงได้ตอบแทนบุญคุณของธรรมชาติด้วยการทำร้ายพวกเขา" ป่าอาจเป็นเพียงพื้นที่สีเขียวที่ผู้คนคิดเพียงว่า "มันก็แค่ป่า" มีอะไรดึงดูดให้อยากเข้าไปอยู่ ความเจริญของเทคโนโลยีก็ไม่มี อินเตอร์เน็ตก็ไม่มีให้ใช้ ไฟฟ้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง จะติดต่อสื่อสารกับใครแต่ละทีก็แสนจะยากลำบาก จะกินอยู่อย่างไรให้รอดในผืนป่า ลองนึกย้อนกลับไปในยุคที่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นบนโลกสิ พวกเขาเหล่านั้นใช้ชีวิตอย่างไรให้สามารถอยู่รอดบนผืนป่ามาได้จนกระทั่งถึงยุคสมัยปัจจุบันที่มนุษย์เริ่มรู้จักการสร้างที่อยู่อาศัยในขณะที่ผืนป่าเริ่มถูกทำลายลงเพื่อการขยายพื้นที่ในถิ่นที่อยู่อาศัยของจำนวนมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
"มนุษย์อาจจะไม่สูญพันธุ์เพราะไม่ใช่ผู้ถูกล่า"
"มนุษย์ไม่ต้องล่ากันเองเพื่อกินเนื้ออย่างสัตว์ป่า"
"ตรงกันข้าม...สัตว์ป่าถูกล่าเป็นเมนูเปิบพิศดารของมนุษย์บางกลุ่ม"
"บ้างก็ล่าเพื่อความสนุกบันเทิงส่วนตัวเท่านั้น"
"ดังนั้นมนุษย์จึงมีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จะสูญพันธุ์หรือลดจำนวนประชากรลงอย่างสัตว์ป่า"
คำถามคือ...ถ้าเกิดให้มนุษย์ในยุคปัจจุบันอย่างคนในสังคมเมืองอพยพย้ายกลับเข้าไปอยู่ในป่าอย่างมนุษย์ยุคหินยุคโบราณสมัยก่อน พวกเขาเหล่านี้จะสามารถเอาชีวิตรอดในผืนป่าได้หรือไม่? พวกเขาจะอยู่ได้ไหมถ้าไม่มีไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายคอยให้บริการอย่างชีวิตสุขสบายในเมืองหลวงที่ผ่านมา หากลองคิดอีกแง่มุมหนึ่ง ธรรมชาติไม่เคยทำร้ายใคร พวกเขามีแต่ให้และแบ่งปัน ในขณะที่มนุษย์หลายคนได้รุกล้ำพื้นที่สีเขียวและตัดโค่นต้นไม้หลายต้น ล่าสัตว์ป่าเพื่อความสนุกบันเทิงส่วนตัวบ้างล่ะ ถ่ายรูปสัตว์ที่ตัวเองยิงมาได้ลงอวดคนอื่นๆ ในโลกของโซเชียลบ้างล่ะ แล้วผลกระทบที่ตามหาหลังการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมของพวกคุณล่ะ?
สัตว์ป่าไม่เคยทำร้ายใคร...พวกเขาแค่ป้องกันตัวเอง แม้แต่มนุษย์ยังสามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดและปลอดภัย ใครบ้างจะไม่หวงแหนหรือรักชีวิตตนเอง
ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าทำให้ประชากรสัตว์ป่าเพิ่มจำนวนขึ้น ในขณะเดียวกันก็ล่อเอาผู้คนที่คิดร้ายต่อผืนป่าและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าได้เช่นกัน หากจะกล่าวหาว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวที่สุดสำหรับสัตว์ป่าคงจะถือว่าถูกต้องที่สุด ในขณะเดียวกันมนุษย์เองก็คิดว่าสัตว์ป่าน่ากลัวและอันตราย
ผืนป่าคือบ้าน คือทุกอย่างของสัตว์ป่า พวกเขาเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เมื่อเกิดการล่าขึ้นในหมู่ของสัตว์ป่า ทุกอย่างเป็นวัฏจักรหมุนเวียนไป มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในป่า ยกตัวอย่าง หมาในออกล่ากวางป่า เมื่อกวางป่าตัวหนึ่งถูกล้มโดยหมาใน ฝูงหมาในจะกัดกินเนื้อของกวางป่า เมื่อภารกิจของพวกมันจบลง พวกมันก็จะทิ้งซากของกวางป่าเอาไว้ จากนั้นตัวเหี้ยและบรรดาสัตว์กินเนื้อตัวอื่นๆ ก็จะมาจัดการซากที่เหลือต่อ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวงจรชีวิตของสัตว์ป่าจะเป็นแบบนี้เสมอ เมื่อกวางป่าตัวหนึ่งตายลงเพราะฝีมือหมาในหรือเสือ สัตว์กินเนื้อตัวอื่นๆ ก็จะได้รับส่วนแบ่งตรงนั้นประทังชีวิตไปด้วย และนั่นทำให้พวกมันสามารถดำรงชีพจนกระทั่งขยายพันธุ์อยู่ในผืนป่าได้อย่างยั่งยืน
ทว่า...ในขณะเดียวกัน หากการล้มลงของกวางป่าตัวหนึ่งอาจไม่ใช่ฝีมือของหมาในหรือเสือ ถ้ามันเกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่รุกล้ำผืนป่าเข้ามาทำเรื่องผิดๆ แทนที่จะช่วยกันอนุรักษ์และดูแลผืนป่า สิ่งที่ตามมาคือผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อหลายสิ่งในธรรมชาติ รวมถึงความสมดุลของผืนป่าและประชากรสัตว์ป่าเองก็เริ่มสั่นคลอน เมื่อกวางป่าถูกยิงตาย ประชากรของกวางลดลง แต่กวางตัวที่ตายไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับผืนป่าและสัตว์ตัวอื่นๆ เลย "มันคือการตายอย่างไร้ความหมาย" เราจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษาผืนป่าตามพื้นที่ต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศไทยนั้นมีจำนวนน้อยกว่าพื้นที่ของป่าที่พวกเขาต้องดูแลเสียอีก แถมชีวิตพวกเขาเหล่านี้ยังเสี่ยงตายมากกว่าอาชีพไหนๆ โดยเฉพาะจากกลุ่มคนที่บุกรุกผืนป่าและล่าสัตว์ เจ้าหน้าที่รักษาป่าคนหนึ่งถูกยิงตายในผืนป่าแทบจะไม่มีข่าวอะไรเล็ดรอดออกมาให้ผู้คนภายนอกได้รับรู้ด้วยซ้ำ หรือหากว่ามีจริงๆ ผู้คนจะให้ความสนใจอะไรกับแค่ชีวิตของคนรักษาป่าคนหนึ่ง คุณรู้หรือไม่ว่าพวกเขาเหล่านี้ต้องทำงานหนักและเสี่ยงอันตรายแค่ไหนในการรักษาผืนป่าเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งต้องแบกรับภาระหน้าที่ในการดูแลผืนป่าตั้ง 5,000 ไร่ แต่ได้รับเงินเดือนแทบจะไม่ถึงหมื่น พวกเขาต้องออกลาดตระเวรโดยมีอาวุธติดตัวคือปืนลูกซอง เมื่อเกิดการปะทะกับผู้ที่บุกรุกผืนป่าซึ่งมีอาวุธเป็นปืนไรเฟิล คุณคิดว่าใครชนะ? และใครรอด?
สิ่งที่เกิดขึ้นในผืนป่าล้วนเกิดผลประโยชน์ต่อทุกสิ่งบนโลกเสมอ อย่าคิดว่าป่าเป็นเพียงแค่ป่า แต่ป่ามีชีวิตและเป็นมากกว่าป่า ยิ่งเป็นช่วงฤดูที่ไม้ป่าออกผลความครื้นเครงของสิงสาราสัตว์ก็เริ่มบังเกิด เมื่อลูกไทรป่าเริ่มสุกสัตว์ป่าก็จะเริ่มมาจับจ้องพื้นที่บริเวณต้นไม้ จะเรียกว่าเป็นการปาร์ตี้ขนาดเล็กของเหล่าสัตว์ป่าก็ว่าได้ นกหลายชนิดเองก็บินมาเพื่อหาลูกไทรกิน หมีขอก็แทบจะย้ายก้นมานอนเฝ้าลูกไทรบนต้นไม่ยอมห่าง ขณะเดียวกันแหล่งน้ำในป่าก็คอยให้ประโยชน์แก่ผืนดินและสัตว์ป่า เมื่อสัตว์ป่าผลัดเวียนกันลงมากินน้ำที่ลำธารหรือกินดินที่โป่งนักล่าก็จะเริ่มทำหน้าที่ของเขา มีการซุ่มรอเหยื่อเพื่อล่าและหากิน ระบบนิเวศในผืนป่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ป่าให้อากาศ เป็นลมหายใจของสัตว์รวมถึงมนุษย์โลกด้วย ถ้าหากไม่มีป่า ไม่มีต้นไม้ แล้วเราจะเอาอากาศที่ไหนหายใจ...
เรื่องและภาพ : KAWIN
ความคิดเห็น