การเดินในวันนั้นเพลิดเพลินเพราะวิวจากสองข้างทางระหว่างขึ้นภูลังกาสวยมากๆ
แสงแดดตอนสี่โมงเย็นส่องสะท้อนกับต้นหญ้าข้างทางนั้นงามปะล้ำปะเหลือ
แต่เสียดายกล้องแบตหมดอดถ่ายเลยเราแวะเข้าไปที่ทำการของวนอุทยานภูลังกาด้วยค่ะ
แต่ว่าไม่มีรูปมาฝากนะคะเพราะแบตหมดไปตั้งแต่ในตัวเมืองพะเยาแล้วค่า
ที่นี่มียอดภูลังกาสามารถขึ้นไปกางเต้นท์ชมวิวสวยๆได้แต่เราไม่ได้ขึ้น
เพราะครั้งนี้เราไม่ได้มากางเต้นท์เราตั้งใจไปพักที่ภูลังการีสอร์ท
ถ้าหากมาจากทางวนอุทยานฯ ภูลังการีสอร์ทจะอยู่ทางซ้ายมือค่ะให้สังเกตจะมีป้ายบอกตลอดทาง
เข้ามาเจอร้านกาแฟและร้านขายของเล็กๆของรีสอร์ทและเป็นที่เช็คอินอีกด้วย
จะเรียกว่าล๊อบบี้ก็ดูทางการไปอ่ะเน๊าะ
ที่นี่มีทั้งสถานที่สำหรับกางเต้นท์และห้องพักมีตั้งแต่หลักร้อยถึงพัน
เต้นท์มีตั้งแต่ 300 - 500 บาท ถ้านำเต้นท์มาเองคนละ 120 บาท
ราคาห้องพักก็มีตั้งแต่ 700 บาท ถึง 3,000 บาท รายละเอียดตามภาพเลยค่ะ
ส่วนเราเลือกกางเต้นท์ค่ะคนละ 120 บาทเท่านั้นคุ้มสุดคุ้มกับวิวแบบนี้ ^_^
พอเริ่มมืดอากาศก็เริ่มเย็นพอสองทุ่มก็เริ่มง่วงกันแล้วค่ะ
ก็เลยนอนพักผ่อนให้เต็มที่พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้ามาชมภาพที่รอคอยกันมาแสนนาน
เราลืมตาขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังมืดแต่ไม่รอช้าคว้ากล้องไปนั่งรอหมอกกันตั้งแต่เช้า
ถึงแม้ฟ้าจะยังไม่สว่างมากแต่เราก็ได้เห็นหมอกปกคลุมพื้นที่ของหมู่บ้านด้านล่างแล้ว
แค่นั้นก็ตื่นเต้นแล้วล่ะแต่ก็รอลุ้นอยู่ว่าจะมีมากแค่ไหน
พอฟ้าเริ่มสว่างเห็นหมอกรำไรวิวที่เห็นก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่นิด
สวยอย่าบอกใคร แต่อันนี้บอกได้บอกเลยเยอะๆ ของเค้าดีจริง
ที่เห็นเราปรับสีภาพโทนนู้นโทนนี่ต้องบอกก่อนว่ารูปที่เราถ่ายมามันค่อนข้างมืดในบางภาพ
เพราะท้องฟ้าค่อนข้างขมุกขมัวฟ้าปิดไม่มีแดดแต่ก็สว่างพอให้เห็นน้องหมอกได้อยู่
ก็เลยลองปรับสีดูเพื่อให้ภาพพอใช้ได้บ้าง ถือว่าปรับเปลี่ยนอารมณ์ในการชมภาพแล้วกันเน๊าะ
แต่แนะนำถ้าอยากได้ภาพสวยๆ ให้เดินออกมาหน้ารีสอร์ทแล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอลานช่างภาพ
ถ่ายภาพกันได้โล่งๆไม่มีต้นไม้บังเลยค่ะ เสียดายมาสายไปหน่อยหมอกเริ่มจางแล้ว
สมกับเป็นลานช่างภาพไม่ว่าจะกล้องเล็กกล้องใหญ่กล้องมือถือ แหม่มุมมหาชนจริงๆ
ที่ลานช่างภาพมีบ้านอยู่ไม่รู้ว่าจะเปิดให้พักมั้ยไม่รู้แต่ดูวิวซิสุดๆไปเลย
ภูเขาที่เห็นในภาพบ่อยๆที่จะเรียกว่าเป็น signature หรือ logo ของภูลังการีสอร์ทเลยก็ว่าได้
เขาลูกนี้คือผาช้างน้อยเพราะมองคล้าย ๆ ลูกช้างในบางมุม เลยเป็นที่มาของ ต.ผาช้างน้อยนั่นเอง
สายหมอกกำลังจะโอบล้อมช้างลูกน้อยตัวนี้ไว้แล้วมันเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่น่าทึ่งนะว่ามั้ย
ไม่ว่ามนุษย์จะมีสติปัญญาหรือเงินมากเพียงใดก็ไม่สามารถจะทำได้หร๊อกกกก
มองจากด้านบนนี้จะมองเห็นด้านล่างที่มีหมู่บ้านอยู่ เรามองจากข้างบนมีหมอกเยอะขนาดนี้
ที่นั่นคงกลายเป็นหมู่บ้านในสายหมอกไปแล้วซินะ
นั่งแช่อยู่ที่ลานช่างภาพชมวิวอยู่สักพัก ก็เริ่มหิวก็เลยกลับมาทานอาหารเช้าที่รีสอร์ท
120 บาทกับวิวสวยพร้อมอาหารเช้าด้วยน่ะจ๊ะ สุดยอดคุ้ม!!!
ก่อนถึงที่ทานอาหารเดินผ่านมุมนี้เป็นซุ้มสมุนไพรต่างๆ สามารถชงดื่มได้มีกาน้ำต้มไว้บนเตาถ่าน
ตอนทานอาหารเช้าคุณลุงแคะเหว่น (เป็นภาษาของชาวเขาแต่จำไม่ได้ว่าเผ่าอะไรนะคะ)
คุณลุงเป็นเจ้าของรีสอร์ทค่ะมาเล่าประวัติของชนเผ่าและนำ “เกีย เซน ป้อง”
จะเปรียบเสมือนพาสปอร์ตของคนในสมัยนั้นค่ะที่จำได้นิดหน่อยก็คือ
“เกีย เซน ป้อง” นี้กษัตริย์ของจีนในสมัยนั้นมอบให้กับคนจีนใช้ในการอพยพ
และชนเผ่าก็จะจดบันทึกเรื่องราวการเดินทางเมื่อผ่านไปยังสถานที่ต่างๆ ก็คล้ายๆพาสปอร์ต
ทุกคนดูจะตั้งใจฟังคุณลุงพูดมากๆค่ะ เราก็ถ่ายรูปไปด้วยเลยจำไม่ค่อยได้
“เกีย เซน ป้อง” มีขนาดที่ยาวมากคุณลุงบอกว่า “เกีย เซน ป้อง” ฉบับนี้เป็นฉบับเดียวที่หลงเหลืออยู่ค่ะ
ฉบับอื่นๆถูกนำไปเผาทิ้งเมื่อครั้งตอนที่มีสงครามคอมมิวนิสต์กัน
นอกจากคุณลุงจะเล่าประวัติของ “เกีย เซน ป้อง”
คุณลุงยังเล่าประวัติของชนเผ่าตั้งแต่เมื่อสมัยอพยพมาจากเมืองจีนเข้ามาประเทศไทยได้อย่างไร
และเมื่อเข้ามาแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างไปจนถึงเมื่อครั้งคอมมิวนิสต์ที่นี่ก็เป็นฐานของคอมมิวนิสต์ด้วยนะคะ
ลานข้างล่างที่สวยๆนั่นก็เคยเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ของพวกคอมมิวนิสต์ด้วยค่ะ
จริงๆมีรายละเอียดเยอะและเรื่องราวสนุกมากๆ ถ้าคนชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์
ฟังคงเพลินแน่ๆค่ะ แต่เสียดายที่ความจำเราไม่ค่อยดีเลยเล่าได้แค่นี้อาจจะไม่ค่อยแม่นยำนะคะ ^_^
แต่ถ้าได้ฟังคุณลุงเล่าสนุกแน่นอนค่ะ พอเล่าเสร็จคุณลุงก็จะให้แขกได้ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกกัน
วิวตรงที่ทานอาหารเช้านี่ก็สวยไม่แพ้ตรงลานช่างภาพเลยนะคะ
ที่จริงวิวตรงนี้แหละที่ส่วนมากเราเคยเห็นกัน เช้าที่เราไปฟ้าปิดมาก
แต่โชคดีมีแสงลอดลงมาจากท้องฟ้าในเวลาเพียง 10 วินาที เพราะฉะนั้นจึงกดชัตเตอร์ไม่ยั้ง
เวลาเราเห็นภาพที่มีแสงแบบนี้เราชอบเรียกเอาเองว่าเป็นแสงจากยูเอฟโอนะคะ
มันเหมือนนะว่ามั้ยๆ พอแสงยูเอฟโอหมดฟ้าก็เริ่มสว่างเข้าสู่โหมดปกติ
พอสว่างหมอกก็หายแต่วิวก็ยังสวยอยู่ดี อากาศก็ดี
ในส่วนของพักก็มีหลายแบบค่ะ เราก็ไปแอบถ่ายมาบ้างก็คือห้องพักหลักร้อย
ก็คือห้องภูบังเกอร์ราคา 700 บาทค่ะพักได้ 2 คน
ส่วนบ้านหลังใหญ่สุดชื่อบ้านภูสิงห์มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ราคา 3,000 บาทต่อคืนพักได้ 8 คน
ห้องนี้น่าจะเป็นห้องที่วิวสวยมากเพราะด้านหน้าไม่มีอะไรมาบังเลยแม้แต่น้อย ดูจากคนที่มาพักซิค่ะยืนชมวิวชิลเลย
หลังนี้(ด้านหน้าที่เป็นสีๆ) คือบ้านชมดาวพักได้ 4 คนค่ะราคา 1,500 บาท
ส่วนด้านหลัง(บ้านสีขาวๆ) บ้านภูชมฟ้าพักได้ 2-3 คน ราคา 1,500 บาท มีเครื่องทำน้ำอุ่นและโทรทัศน์
ห้องพัก 2 แบบนี้จะมีดาดฟ้าไว้สำหรับชมวิวค่ะและเป็นบ้านพักใหม่
เห็นมั้ยค่ะว่าการเดินทางไม่จำเป็นว่าต้องมีเงินหลักหมื่นหลักแสน
บางทีจ่ายแค่ร้อยก็ได้พักในรีสอร์ทวิวระดับเทพแบบนี้แล้ว
แล้วยังรออะไรอยู่เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าซะแล้วออกไปเที่ยวกันดีกว่า
สนใจภูลังการีสอร์ทเข้าไปที่ https://www.facebook.com/PhulangkaResort
หรืออยากพูดคุยหรือสอบถามเรื่องท่องเที่ยวจากรีวิวของเมษาไปที่ https://www.facebook.com/maysatraveller
แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางครั้งหน้านะคะ...