เบื่ออออออ >>> โควิด แต่เราจะไป >>> ทำดีกัน
ยอมรับโดยดีว่า "เบื่อ ออออ" โควิด - 19
แต่ในเมื่อมันเกิดมาอยู่กับเราในโลกนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับ ต่อสู้ ป้องกัน และรักษากัน >> ต่อไป
จะมัวแต่ ... นั่งเบื่อ นั่งเซ็ง อยู่ไปใย งานก็ Work From Home เงินลด คนว่างงาน - ตกงานกันเยอะแยะ เราพอจะรวบรวมสรรพกำลัง ระดมทุนของเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง และเพื่อนๆ ขันอาสา หาซื้อสิ่งของไปบริจาค ช่วยเหลือคนที่กำลังทุกข์ใจ ต้องกักตัวเพราะโควิด - ขาดแคลนอาหารเครื่องดื่ม - เสริมเพิ่มกำลังใจให้คนที่หายป่วย เป็นเป้าหมายหลัก ส่วนเป้าหมายรองคือ ออกจากบ้าน ท่องเที่ยว ให้ผ่อนคลายหายจากอาการลงแดงเพราะหยุดเที่ยวมาเกินครึ่งปี
ครั้งนี้ ขออนุญาตเอารูปเก่าบ้าง รูปใหม่บ้างมาลง เพราะไปที่บ้านแหลมฟ้าผ่าหลายรอบ และไปก่อนโควิด-19 จะระบาดหนัก และยังไม่มีผลกระทบ บางรูปจึงไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยกันนะจ๊ะ ^^
ได้รับข้อความจากอาจารย์มยุรีย์ ผู้อำนวยการนักพัฒนาของโรงเรียนบ้านขุนสมุทร ส่งข่าวว่าคิดถึง จึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ได้ทราบว่าตอนนี้แม้โรงเรียนจะไม่เปิดทำการเรียนการสอน แต่คุณครูก็มาทำงาน แม้ช่วงสถานการณ์โควิด ระบาดอย่างรุนแรงก็ต้องสลับผลัดเวรกันมาโรงเรียน และต้องสอนเด็กๆ ผ่านระบบออนไลน์ เครื่องอุปโภค-บริโภคก็ร่อยหรอ ว่าแล้วก็ขอทุนสนับสนุนจากเจ้านาย เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นัดแนะวันไปส่งมอบของ เช่น ข่าวสาร อาหารแห้ง เครื่องปรุง และอาหารไก่ เพื่อเป็นอาหารกลางวัน และจัดส่งไปให้ครอบครัวนักเรียนที่อยู่ใกล้ๆโรงเรียนด้วย
เราตั้งต้นกันที่ซีคอนสแควร์ ถนนศรีนครินทร์ แล้วมุ่งหน้าขึ้นทางด่วนไปสะพานภูมิพล 1 เพื่อออกเส้นถนนสุขสวัสดิ์ และตรงไปอำเภอพระสมุทรเจดีย์ เลี้ยวขวาไปเส้นทางเดียวกับป้อมพระจุลฯ และเลี้ยวขวาอีกครั้งเพื่อไปยังที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ ก่อนพุ่งตรงไปยังโรงเรียนบ้านขุนสมุทร ตำบลบ้านแหลมฟ้าผ่า
เส้นทางไม่ได้ซับซ้อน แต่จะ งง งง นิดหน่อยที่พอเลยที่ว่าการอำเภอไปทางวัดสาขลา ผ่านร้านอาหารครัวปูหลน ร้านอาหารครัวช้อนทอง และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทางหลวงชนบท 3081 เจอถนนดินแดงติดบ่อปลาของชาวบ้าน ไปต่อตามเส้นทางเพื่อสุดทางที่รถจะไปต่อได้และต้องมารอรถสามล้อเครื่องของวัดขุนสมุทรจีนมารับถ้าอยู่ในช่วงสถานการณ์ปกติ แต่ตอนที่เราไป (รอบนี้) ทางวัดปิดไม่รับนักท่องเที่ยว จึงได้ ผอ.มยุรีย์เป็นคนประสานหารถมารับทั้งคนและของไปได้ เพราะถ้าจะให้เดินเข้าไปเองคงเล่นเอาหอบ ปกติต้องนั่งรถเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร และเดินต่ออีก 400 เมตร จึงจะถึงโรงเรียน เหอะเหอะ
พี่ใหม่ สาวแกร่ง จะเป็นคนที่ขับรถสามล้อเครื่องมารับ-ส่งนักท่องเที่ยวไปยังวัดขุนสมุทรจีน หากสถานการณ์ดีขึ้น นักท่องเที่ยวสามารถเรียกใช้บริการของพี่ใหม่ได้เลย รับรองพี่ใหม่ไม่พาซิ่งให้หวาดเสียวแน่นอน ^^
สองข้างทางก็จะมีบรรยากาศดีคอยต้อนรับ สามารถสูดดมกลิ่นไอทะเลและกลิ่นป่าชายเลนได้เต็มปอด
การเดินทาง ถ้าไม่อยากจะขับรถมา สามารถนั่งเรือหางยาวมาได้ และต้องมาสิ้นสุดตรงท่าเรือวัดขุนสมุทรจีน เป็นที่เดียวกับที่รถจอดอยู่บนสะพานเช่นกัน
พอมาถึงจุดทางแยก วัดขุนสมุทรจีนจะเลี้ยวขวา ทางซ้ายจะเข้าไปที่โรงเรียนบ้านขุนสมุทร
ทางเข้าโรงเรียนต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 400 เมตร ผ่านสะพานปูนและสะพานไม้ และบ้านเรือนของชาวบ้านที่ทำประมงไม่กี่หลังคาเรือน เดินสบายๆ เพราะมีร่มไม้โกงกาง และไม้ป่าชายเลนที่ขึ้นเต็มสองข้างทาง ทำให้อากาศไม่ร้อน เดินได้ชิวๆ
ความน่าสนใจของการมาเยี่ยมเยือนครั้งนี้ เป็นเพราะเมื่อปลายปี 2563 ได้ค้นหาโรงเรียนที่จะเข้าโครงการจิตอาสาของบริษัทฯ จึงพบว่าโรงเรียนบ้านขุนสมุทร เป็นโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก มีคุณครูและบุคลากรทางการศึกษาอยู่เพียง 5 คน ในขณะเดียวกันนักเรียนก็มีกันอยู่เพียง 5 คน เช่นกัน (ความเป็นจริง มีนักเรียน 4 คน และเตรียมอนุบาล 1 คน) ซึ่งโรงเรียนประสบปัญหาเรื่องงบประมาณอาหารกลางวันที่ได้รับการสนับสนุนโดยคิดเป็นรายของนักเรียนคนละ 20 บาท อาจารย์มยุรีย์ คนเจน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านขุนสมุทร คนเก่งและแกร่ง ที่เข้ามาพัฒนาและช่วยเหลือนักเรียน รวมถึงครอบครีวของนักเรียนด้วยเช่นกัน
ที่นี้ Wi-Fi ยังแรงดีอยู่ อาคารและห้องเรียนได้รับความอนุเคราะห์จากทีมจิตอาสาของบริษัทต่างๆ มาช่วยกันทาสีทำให้โรงเรียนของเราน่าอยู่มากขึ้น ^^
ห้องสมุดเล็กๆ ที่มีความพร้อมจะให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ จากสภาพอาคารเรียนทำให้รับรู้ได้ว่า โรงเรียนแห่งนี้เคยมีนักเรียนจำนวนมากหลายร้อยคนมาก่อน แต่ด้วยสภาพปัจจุบันที่ผู้ปกครองมีกำลังและสามารถส่งลูกให้ไปเรียนที่โรงเรียนขนาดใหญ่ได้ ทำให้นักเรียนในปัจจุบันมีอยู่แค่ 4 คน
ปัญหาที่ทางโรงเรียนประสบคืองบประมาณอาหารกลางวันสำหรับเด็กๆ แม้อาจารย์จะคิดหาวิธีการแก้ไขเฉพาะหน้าไป แต่ยังต้องการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน จึงมีโครงการเลี้ยงไก่ไข่ และเพาะเห็ดเพื่อนำมาใช้ประกอบอาหาร ความโชคดีของที่นี้ คือ มีอาหารทะเลแบบไม่อั้น ทำให้พอจะกล้อมแกล้มไปได้ แต่สิ่งที่ตามมาคือ อาหารไก่ที่ค่อนข้างแพง หลังจากไข่ที่เหลือจากการกินในแต่ละวันก็สามารถเอาไปขายเพื่อทยอยเก็บออมเงินนำเงินมาซื้ออาหารไก่ได้
หลายอย่างเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของคณะครูและบุคลากรของโรงเรียน ซึ่งเป็นผู้หญิงสาวเก่งและแกร่งทั้ง 5 คน และการบริจาคจากหน่วยงานหรือบริษัทเอกชนต่างๆ
ในการไปสำรวจที่แรก เตรียมเมล็ดผักเพื่อให้นักเรียนได้ปลูกทานกัน แต่ด้วยสภาพดินและน้ำที่อยู่ติดทะเล ทำให้เมล็ดพันธุ์ผักเติบโตได้อย่างกระท่อนกระเแท่น และได้กลายเป็นสื่อการสอนให้กับเด็กๆ ไป 55555
อาจารย์มยุรีย์ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง และสิ่งหนึ่งที่เป็นแนวทางและหลักในการทำงานของการเป็นผู้อำนวยการ คือ การชื่นใจและยินดีทุกครั้งที่มีพวกเรากลุ่มจิตอาสาหรือนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมและรับฟังพูดคุยกับคุณครูและเด็กๆ สอบถามสารทุกข์ว่าอยู่กันอย่างไร?? ท้ายสุดคือเพื่อเป็นกำลังใจให้กับด็กๆ และคณะครู โดยไม่ได้ต้องการแค่ความสงสาร
หากเรามีจิตใจที่อยากมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเมล็ดพันธ์ุของเยาวชนของชาติ เพียงกำลังทรัพย์เล็กๆน้อยๆ ไม่มากมาย หรือการเยี่ยมชมที่สื่อสารเป็นกำลังใจให้กับพวกเขา ผู้ที่หลายๆ คน อาจลืมเลือนไป