Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
5 วัน 4 คืน "แม่ฮ่องสอน" ใครว่า 1,864 โค้ง แม่ฮ่องสอน - เชียงใหม่
    • Posts-1
    Sarida •  October 29 , 2017

    คืนแรกแวะ"ปาย"ก่อนนะ

    ห่างหายจากบันทึกการเดินทางไปพักใหญ่ กลับมาคราวนี้กับทริป

    แม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่ 5วัน4คืน

    เราไม่อยากเรียกสิ่งที่กำลังจะเล่าว่ารีวิวซักเท่าไร เพราะบางที่เราก็ให้ข้อมูลอะไรไม่ค่อยได้ แถมจริงๆแล้วก่อนไปเที่ยวเราก็หาข้อมูลจากการรีวิวของหลายๆคนนี่แหละ

    เพราะฉะนั้นเราขอเรียกสิ่งที่กำลังจะเล่านี้ว่า "เมมโมรี่" แทนล่ะกันน๊อ^^

    เช้าวันที่ 30 ก.ย. 60..

    เราออกจากกรุงเทพฯกันตั้งแต่ตี5 และถึงตัวเมืองเชียงใหม่กันในช่วงเที่ยงๆ เป็นความตั้งใจที่จะขับรถยิงยาวให้ถึงปายเลยในวันแรก การขับรถถึงเชียงใหม่ตั้งแต่เที่ยงๆ ทำให้เราเอง เราเนี้ยแหละ คิดว่าไปปาย ก็ไม่น่าจะบวกระยะทางเพิ่มกว่ากันเท่าไรหรอก แม้จะรู้อยู่แล้วว่า ประมาณ2-3 ชม. ก็ถึง แต่ขุ่นพระ!!! ทางขึ้นปายใครๆก็รู้จ้า มันต้องเจอโค้ง โค้ง โค้ง และโค้ง แต่ก็นะ วันแรกยังสนุกไง ไม่เป็นไร เขียวๆชอบ!!!! 

    ขับเจอโค้งแล้ว โค้งเล่า ก็มาถึง"ปาย"

    คืนแรกเรานอนกัน ที่นี่ "ฮิมน้ำปายรีสอร์ท" จองผ่านอโกด้า ได้มาในราคา เจ็ดร้อยนิดๆ

    ถือว่าดี สบายๆ หารสอง ตกคนล่ะ สามร้อยกว่าบาท แต่ไม่มีอาหารเช้าให้นะ 

    วิวจากห้องพัก สามารถ มองเห็น สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย ได้เลย

    ช่วงที่เราไป เป็น low season ของ"ปาย"

    แม้แต่ถนนคนเดินที่เราคิดว่าจะต้องคึกคัก ก็ยังเงียบเหงา 

    กับกันที่นี่ยังเต็มไปด้วยชาวต่างชาติที่มาเที่ยวกันไม่ขาดสาย  

     

    ถึงจะผิดหวังกับถนนคนเดินไปบ้าง แต่ในปายก็ยังมีที่เที่ยว อีกหลายที่ให้เราได้แวะชมกันอยู่

    อย่างที่เราแวะไปมา น่าจะเป็นที่ๆหลายคนอาจจะเคยไปกัน เมื่อไปปาย อย่าง

    "วัดน้ำฮู"และจุดชมวิว"ทะเลหมอกหยุนไหล" 

    ถ้าใครอยากเห็นหมอก ณ จุดชมวิว คงต้องไปเช้าๆกันหน่อยนะ

    ตอนที่เราไปถึง แดดออกแล้วจ้า ทำได้แค่มองเห็นวิวตัวเมืองปายเท่านั้น

     

    จุดชมวิว มีชาให้ได้ชิมกันฟรีๆด้วยนะ 

    ออกจาก"ปาย" ไปต่อกันที่  "น้ำพุร้อนไทรงาม"   หลังจากอ่านรีวิวมาหลายสำนัก เราก็ไม่พลาดค่ะ

    ความใสของน้ำนี่คือแบบใสมาก ใสเหมือนกระจก

    ใครที่กลัวว่าจะร้อนรึเปล่า ที่นี่ไม่ร้อนถึงขั้นต้มไข่สุกนะ แต่อุ่นกำลังดี พอสบายตัว

    ค่าธรรมเนียมที่นี่ 20 บาทเท่านั้นนะคะ

    "ถ้ำน้ำลอด" ช่วงที่เราไป สามารถนั่งแพเข้าไปได้แค่ถ้ำเดียวเท่านั้น เพราะน้ำขึ้นสูง ไกด์นำเที่ยวบอกว่า ถ้าอยากเข้าครบ3ถ้ำ ช่วงต้นพ.ย.ถึงจะเข้าได้

    แต่สำหรับเราถ้ำเดียวพอล่ะ เพราะเข้าไปแล้วข้างในมืดมากกกก  

    โดยที่นี่ไกด์นำเที่ยว จะเป็นคนที่อธิบายให้เราฟัง ถึงลักษณะของหินต่างๆที่อยู่ภายในถ้ำ

    ไกด์ก็เป็นชาวบ้านเนี้ยแหละ  มีหลายครั้งที่เค้าพูดภาษาท้องถิ่น แล้วเราเองฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง 

    แต่ก็เป็นภาษาเหนือที่น่ารักดีนะ

    บริเวณปากถ้ำ ก่อนจะเข้าไป

    ต่อกันที่ "บ้านจ่าโบ่" หมูบ้านเล็กๆในปางมะผ้า

    กับร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ที่มีวิวหลักล้าน แต่ขายก๋วยเตี๋ยวในราคาหลักสิบ

    เราถามน้องคนขายว่า "ตอนเช้าหมอกเยอะมั้ย"
    น้องตอบกลับมาว่า "เยอะค่ะ เยอะท่วมร้านเลย" 
    เราก็ได้แต่หัวเราะกับคำตอบ 
    ว่าเอ๊ะ!!! เค้าประชดเรารึป้าวนะ5555

    ใครอยากเห็นทะเลหมอก ที่ตามเพจต่างๆรีวิวก็ไปเช้าๆล่ะกันนะ ได้เห็นสมใจแน่ 

                                                                                                                     
    • Posts-2
    Sarida •  October 29 , 2017

     

    1 ต.ค.60

     

     

    คืนที่สอง เรานอนกางเต้นท์ ที่"ปางอุ่ง" 

    หากเป็นฤดูหนาว ที่นี่เต้นท์คงเรียงราย แต่ช่วงที่เราไป มีแค่3เต้นท์เท่านั่นเอง

    ไม่ต้องแย่งที่กับใคร ไม่ต้องเจอคนเยอะๆ เป็นการเที่ยวที่ดีมากจริงๆ

    เราไม่รู้ว่าปกติต้องเสียค่าทำเนียมเท่าไร แต่วันที่เราไป เราไม่ได้เสียค่ากางเต้นท์นะ เพราะเราเอาเต้นท์มาเอง

    แต่ถึงคนน้อย ก็มีเจ้าหน้าที่อยู่ตลอดนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยค่ะ

     

    เช้าของวันที่3 ในการเดินทาง

    เราตื่นมาก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นกันซะอีก ทุกครั้งที่เที่ยว นาฬิกาปลุกไม่เคยเป็นสิ่งจำเป็นเลยจริงๆ

    ร่างกายจะสั่งให้เราตื่นมาเองได้ และพร้อมจะไปต่อเสมอ เช่นเดียวกับเช้าวันนี้

    เช้าวันที่ 2ต.ค.60

    กับอากาศเย็นๆ สบายๆ 

    ตื่นเช้ามาล่องแพ ราคา150 บาท เราโทรเรียกให้เค้าพายมารับตรงลานกางเต้นท์ได้เลย

    น้องที่พายแพให้เรายังดูเหมือนเด็กมัธยมอยู่เลย ต้องมาพายให้เราสองคนที่น้ำหนักรวมกัน ปาไปร้อยกว่า น่าจะหนักน่าดู !

    ลูกสน ในลานกางเต้นท์ ที่เห็นแล้วน่ารักจนต้องหยิบมาถ่ายรูป

    ถ่ายรูปในปางอุ๋งจนหนำใจ ก็ถึงเวลาออกเดินทางต่อกันแล้วค่ะ

     

     

    • Posts-3
    Sarida •  November 01 , 2017

    แปดโมงเช้า ของวันที่ 2 ต.ค. 60

    เราขับรถไปเที่ยวกันต่อ ที่หมู่บ้านรักไทย 
    หมู่บ้านชาวเขา ที่มีกลิ่นอายแบบชาวจีน เมื่อไปถึงแล้วให้ความรู้สึกไม่เหมือนเมืองไทยเลย

    และอีกตามเคย อ่านเพจไหนๆ ถ้าอยากเห็นหมอก ลอยเอื่อยเหนือน้ำ ก็คงต้องมาเช้าๆ
    เพราะพอเราไปถึงช่วงสายๆ  แดดก็เปรี้ยงแล้วจ้า  แต่ก็ยังได้ฟิลลิ่งแบบหมู่บ้านชาวจีนดีนะ

     


    แลนด์มาร์คอีกอย่างนึง ของคนมาบ้านรักไทย คือการไปถ่ายรูปตรงไร่ชา ของลีไวน์รักไทย
    แต่เราสองคนกลับหาทางขึ้นรีสอร์ทเค้าไม่เจอซะอย่างงั้น
    เลยเปลี่ยนแผน ไปหาอะไรรองท้องกันดีกว่า

    และนี่คืออาหารมื้อเช้าของเราสองคน!!!!

    เห็นแล้วแทบตกใจกับความใหญ่ของขาหมู-หมั่นโถว 
    มาสองคนสั่งสี่อย่าง ด้วยความโลภ เพราะแค่เซ็ทขาหมู ก็มีหมั่นโถวมาให้ 5 ลูกแล้ว 
    ข้อเสียของการออกทริปคนน้อยคงเป็นแบบนี้แหละ อยากกินอาหารหลายอย่างก็จะกินกันไม่หมด
    มื้อนี้ เลยเป็นมื้อที่แพงที่สุด และเหลือมากที่สุดของเราไปเลย ฮืออออ T T

    "ชาข้าวหอม"และ"ชาหอมหมื่นลี้" ที่ทางร้านเสิร์ฟ พร้อมบอกวิธีดื่มก่อนอาหารต่างๆจะมา

     

    อิ่มท้องแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อ เราขับรถแวะ "สะพานซูตองเป้" ก่อนเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอน
    จาก9โมงที่เรากว่าจะกินมื้อเช้ากันเสร็จ เลยกลายเป็นว่าเราได้มาเดินสะพานซูตองเป้ในเวลาเที่ยงวัน!!!


    จากหมอยเอื่อยๆที่ปางอุ๋ง จากอากาศเย็นๆที่บ้านรักไทย สู่แดดเปรี้ยงเที่ยงวันที่ซูตองเป้กันไปเลย5555

    ถึงจะร้อน แต่ทุ่งนาสองข้างของสะพาน ก็เขียวมาก มองไปแล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้

     

    จากซูตองเป้ เราขับรถเข้าเมืองไปเรื่อยๆเพื่อแวะไหว้พระธาตุประจำจังหวัด

    "วัดพระธาตุดอยกองมู"

     

    เราขับรถเข้าเมืองกันต่อเพื่อตามหาสิ่งนี้

    จากการอ่านรีวิวเพจนึง บอกว่าถ้าเราขับรถจากกรุงเทพฯมาสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน

    เราสามารถไปติดต่อขอรับใบประกาศผู้พิชิตโค้งแม่ฮ่องสอนได้ที่หอการค้าจังหวัดฯ

    เราก็ไม่รอช้า ขับตามหา และรีบไปติดต่อขอรับ  แต่ที่ๆเราไปนั่นเป็นอีกที่นึง

    คือบริเวณร้านกาแฟ หน้าสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดฯ ถ้าปักGPS แล้วไม่เจอ ลองถามชาวบ้านดูก็ได้นะคะว่าอยู่ทางไหน ใช้เวลาไม่ถึง15 นาที ก็จะมีชื่อเราอยู่ในใบประกาศแล้ว 

    โดยสติกเกอร์ ที่แปะเหนือชื่อเรา สามารถเลือกได้ หากเป็นคนขับ ก็เลือกสติกเกอร์ Super Driver 

    แต่ถ้าเป็นคนนั่งแบบเราก็เลือกประเภท Super Traveler ได้เลยค่ะ

    โดยจะเสียค่าทำเนียมนิดหน่อยสำหรับการออกใบประกาศนะคะ

     

     

     

    • Posts-4
    Sarida •  November 03 , 2017

    มาต่อกันค่ะ 

    แอบเขินนิดนึง ที่ทางเพจเอาบันทึกของเราไปเเชร์แล้ว จริงๆทริปนี้ยังไม่จบนะคะ^^

    .

    .

     

    จากตัวเมืองเรามุ่งสู่ที่พัก ในอำเภอแม่ลาน้อยกันต่อ
    จากนี้แหละ ที่เราคุยกันว่า คนที่เค้านับทางโค้งกรุงเทพฯ-แม่ฮ่องสอน นี่เค้าวัดจากไหนกันนะ
    เพราะจากตัวเมืองไปแม่ลาน้อยนี่ ร้อยกว่าโล แต่เรียกได้ว่าโค้งบ่อยซะจนคนขับโหยหาทางตรงแบบสุดๆ 555
    คืนที่3 ของทริปนี้ เราเลือกพักกันที่นี่

    "เฮินไต รีสอร์ท"

    ที่พักยอดฮิต ในเวลานี้สำหรับแม่ลาน้อย เราจองโดยตรงผ่านเพจFB ของที่นี่เลยค่ะ 
    แต่กว่าเราจะเข้ามาเช็คอินก็เกือบ5โมงกว่าแล้ว พอมาถึงที่พัก ก็แทบอยากจะล้มตัวลงนอนเลย

    แต่ก็กลัวแสงจะหมดซะก่อน ขอไปนั่งชมวิว พร้อมปั่นงานกันก่อนดีกว่า

    ในส่วนของที่พัก มีโซนห้องอาหาร ใครที่ขับรถมาเหนื่อยๆ จะฝากท้องที่นี่ก็ได้เลยนะคะ

    แต่บอกไว้นิดนึงว่าครัวปิด2ทุ่มนะ 

    3 ต.ค.60

    เช้าวันที่4 ของทริป

    เราตื่นแต่เช้าอีกตามเคย ปลายฤดูฝน ท้องนาที่ยังเขียวอยู่คือสิ่งที่ดึงดูดให้เราอยากลุกขึ้นมาเก็บภาพ 
    แม้จะเห็นรีวิวของที่นี่มาเยอะแล้วก็ตาม แต่เราก็อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นฝีมือของเราเองบ้างค่ะ

    ห้องพักของเราคือ ห้องซ้ายมือด้านบนของหลังนี้ค่ะ

    ออกมาจากห้องพัก วิวที่เห็นสดชื่นมากกกกก

    ทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์จากที่พักแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อค่ะ

    ด้วยความหวังอยากจะเห็นนาขั้นบันได ณ บ้านห้วยห้อม

    ระหว่างทางก็ยังสนุกดีอยู่นะ ฝนโปรยเล็กน้อย  สองข้างทางที่เป็นเขา จึงเต็มไปด้วยหมอก

    แต่!!! การหลงทางของเรา ก็เริ่มต้นจากตรงนี้แหละค่ะ

    555555555555

    จากการหาข้อมูล ก่อนไปเที่ยว ใครๆก็บอกว่า ไปแม่ลาน้อย

    ต้องไปดูนาขั้นบันไดนะ ต้องไปบ้านห้วยห้อมนะ

    เราสองคนก็ไปค่ะ แต่ขอสารภาพว่า!!!

    แลนด์มาร์คที่หลายๆคนไปกัน เราน้านนน หาไม่เจอค่ะ

    เพราะไม่ว่าจะไปทางไหน ก่อนจะถึงหมู่บ้าน ก็เห็นชาวบ้านทำการเกษตร เลี้ยงวัว ปลูกข้าวกันทั้งนั้น 

    พอขับไปถึงบ้านห้วยห้อม เราเลยตัดสินใจว่าลงจากหมู่บ้านไป "ดอยอินทนนท์"กันดีกว่า

    เพราะอากาศวันนั้นดีค่ะ แต่ฝนลงเม็ด สลับกับหมอกไม่หยุด 

    ความสวยงามที่เห็นจากตา ก็เพียงพอจะเก็บไว้ในความทรงจำแล้วล่ะค่ะ

    พอตัดสินใจจะไปต่อ ความหฤหรรษ์ก็เกิดขึ้น!!!!

    ใครที่เดินทางแล้วต้องพึ่งพา GPS บ่อยๆน่าจะรู้ดีว่า ปกติแล้ว GPS มักจะหาเส้นทางที่ย่นระยะเวลาให้เราอยู่เสมอ โดยไม่สนว่าเส้นทางนั้นจะเป็นยังไง งานนี้ก็เช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เราเจอกับตัวเองค่ะ 

    เจ้าGPSแนะนำทางที่จะขึ้นสู่อินทนนท์ในระยะที่ใกล้ที่สุด แต่ๆๆๆ เส้นทางนี้มันคือทางที่ชาวบ้านเค้าใช้กันค่ะ เป็นถนนแบบเดินรถได้ทางเดียว ส่วนอีกข้างคือหน้าผา เราหลงทางไปทางนั้น และฝนตก ถนนที่เป็นดินเลยเกือบๆจะกลายเป็นเลน และอีกทีสัญญาณโทรสัพท์ ก็หายไปเจ้าข้าาาา

    T T

     

    ขับไปเรื่อยก็เจอวิวแบบนี้ไปเป็นระยะๆ

    บ้านชาวบ้านเราก็เจอค่ะ

    แต่ถนนใหญ่นิซิอยู่หนายยยนะ 5555

     

    ขับมาซักระยะนึง ทางที่ชาวบ้านบอกว่ามาได้สบายมาก หากไม่ใช่หน้าฝนทางนี้ก็คงย่นระยะเวลาได้ดีเลยล่ะค่ะ

    และถนนใหญ่ที่เราเจอทางแยกนั้นคือทางไป "อ.แม่แจ่ม" อีกไม่กี่กิโลก็ถึง ดอยอินทนนท์ค่ะ

    แต่ด้วยตอนนั้นที่ฝนตกตลอดทางจนเราและคนขับไม่แน่ใจว่า ไปแล้วทางจะเป็นแบบไหน 

    เราเลยขับรถไปทางถนนใหญ่ เพื่อลงไปทางอ.ฮอด แล้วกลับขึ้นมาใหม่ดีกว่าค่ะ 

    ใครที่กลัวไม่ชัวร์ อย่าหลงเชื่อGPSนะคะ ลงจากแม่ลาน้อย แล้วมาทางแม่สะเรียง น่าจะปลอดภัยกว่าค่ะ

    รถเก๋งอย่าเสี่ยงไปเลยนะคะ อันตรายสุดๆ 

    ขับมาเรื่อยๆ เราก็เจอ "สวนสนบ่อแก้ว" ที่ๆเราไม่ได้แพลนกันไว้ แต่ผ่านแล้วก็ขอแวะนิดนึงค่ะ

    กว่าเราจะถึงอินทนนท์ หาที่พักก็เลยเวลาไป 4 โมงเย็นเลยค่ะ

    ความคาดหวังจะไปนอนที่"สถานีเกษตรหลวงดอยอินททนท์"

    ต้องพังทลาย555 เพราะเราคิดเอาเองว่าวันธรรมดาที่พักไม่น่าจะเต็ม

    แต่จริงๆแล้วควรจองล่วงหน้าค่ะ ถ้าใครอยากพักที่สถานีเกษตรฯ ไม่อย่างนั้นจะอดเข้าพักเหมือนเราสองคนค่ะ

     งานนี้เราเลยทำได้แค่ฝากท้องมื้อเย็นที่นี่ค๊าาา ^^

     

     

     

    • Posts-5
    Sarida •  November 05 , 2017

    เช้าที่ 5 ณ อินทนนท์

     

    หลังจากพลาดที่พัก ที่สถานีเกษตรฯ

    คืนที่4ของเราเลยได้ลงมานอนกันที่ "แม่กลางหลวง"ค่ะ

    วิวจากที่พักของเราค่ะ

     

    ช่วงที่เราไป นากำลังเขียว ได้ที่เลยล่ะค่ะ

    เรียกได้ว่าได้วิวสวยกับราคาที่พักหลักร้อยอีกที่นึงเลยล่ะค่ะ

    ก่อนจะขับรถยิ่งยาวกลับกรุงเทพฯในเช้าวันที่ 4ต.ค.60 วันสุดท้ายของโรดทริปนี้

    เราก็ขอขึ้นไปสัมผัสอากาศเย็นๆบนยอดดอยอินทนนท์กันบ้างค่ะ 

    เช่นเคยค่ะ เช้านี้ฝนลงเม็ดเป็นระยะ จนหมอกขึ้นหนามากกว่าจะถึงยอดดอย

    แต่โชคดีที่พอถึงแล้ว ฝนก็หยุดค่ะ

    อากาศเช้านั้น 12 องศาฯ แต่มาพร้อมกับลมแรงๆ และเม็ดฝน

    "อินทนนท์" ในฤดูฝน ทุกอย่างก็จะเขียว และชื้น แต่สดชื่น ดีจริงๆ

     

    ก่อนลงจาก"อินทนนท์" ก็ขอเดินแวะใน "เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา" กันซักหน่อยค่ะ

    ในวันที่ฝนพรำ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ไม่มีคนเลยล่ะค่ะ แม้ฝนจะหยุดแล้ว แต่พอลมพัดทีน้ำค้างที่อยู่บนยอดกิ่งไม้ ก็พัดแรง จนเราคิดกันว่าฝนตกอีกรอบรึเปล่า รีบเดิน รีบเก็บกล้องกันแทบไม่ทัน

    แต่ช่วงปลายๆฝน ที่ใครๆอาจกลัวความชื้นแฉะ แต่จริงๆแล้วช่วงนี้แหละค่ะ ที่มองไปทางไหนก็สบายตา แถมคนก็น้อย อากาศก็กำลังดี แค่เตรียมร่างกายให้พร้อม ออกไปเที่ยวได้ทุกฤดูแน่นอนค่ะ

     

    สรุป ที่พักทั้ง 4 คืนของเรานะคะ

    >> คืนแรก "ฮิมน้ำปาย รีสอร์ท"

        >> คืนที่สอง กางเต้นท์ที่ "ปางอุ๋ง"

    >> คืนที่สาม "เฮือนไต รีสอร์ท"

    >> คืนที่สี่ "บ้านแม่กลางหลวง"

    ส่วนค่าใช้จ่าย ด้วยความที่เราไปกันสองคนพร้อมเจ้า"T-rex"  D-maxคู่ใจ ค่าใช้จ่ายจึงไปหนักที่ค่าน้ำมันค่ะ

    ค่าที่พัก ค่ากิน ไม่เกินงบที่เราตั้งไว้เลย  

    งานนี้ จบทริป5วัน4คืน  แบบกระเป๋าเบาๆกันไปเลยทีเดียวค่ะ

    ^^