แม่สอด ตาก

มีโอกาสได้ไปทำธุระที่แม่สอด จริงๆแล้วก็ไปช่วงนี้ของทุกปี แต่นี้ก็เช่นกันหลังจากจัดการธุระเสร็จ ก็เลยตะเวณเที่ยวแม่สอด ปกติแล้วไม่ค่อยได้เที่ยวแม่สอดเท่าไหร่ มักจะขลุกอยู่ที่เมืองเมียวดี เมืองหน้าด่านที่ตอนนี้กำลังพัฒนาเต็มรูปแบบ ฝั่งแม่สอดก็เช่นเดียวกัน คราวนี้ถนนกำลังสร้างและขยายให้เป็น 4 เลน เพื่อให้รถวิ่งสะดวกขึ้น...เราออกจากกรุงเทพฯตอนเที่ยงคืน กะจะไปถึงตากตอนเช้า ขึ้นเขาตอนสว่างพอดี เพราะทางไปแม่สอดค่อนข้างอันตราย โค้งและขึ้นเขาลงเขา ตามคาดไปถึงตอนฟ้าสว่าง เพราะไม่ใช่วันหยุดถนนก็เลยไม่ค่อยมีรถเท่าไหร่

พระอาทิตย์เริ่มให้เห็นกันอย่างชีดเจน สองข้างทางเป็นเหว เห็นทะเลหมอก(หรือควัน)ลอยละล่องไปหมด ช่วงที่ไปเค้าบอกว่ามัหมอกควันแยะ เลยไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าไอ้ที่เห็นมันหมอกหรือควันกันแน่  ที่แรกที่แวะไปคือศาลสมเด็จพระนเรศวร ชาวพม่ามาสักกะระกันแยะทีเดียว

                      สักการะขอพรเสร็จมุ่งหน้าไปกันต่อ การเที่ยวคราวนี้ไปตามแหละแนะนำของคนในพื้นที่ อาจจะไม่ใช่ที่เทียวแหล่งใหญ่แต่สำหรับเราแล้วประทับใจทีเดียวล่ะ
                       ออกจากศาลสมเด็จก็มุ่งหน้าไปที่วัดไทยวัฒนาราม เป็นวัดที่ชาวพม่าสร้างขึ้น ศิลปะภายในวัดจึงเป็นแบบพม่า มีพระสงฆ์กับเณรชาวพม่ากับไทยอยู่ร่วมกันประมาณ 40 รูป

                                 ภายในวัดมีพระแกะสลักจากหยกขาว ศิลปะพม่า

   เดินเข้าไปด้านหลังวัด มีพระนอนองค์ใหญ่ และพระมหามุณี

ที่นี่มีตักบาตรเทวดาด้วย น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะมัวแต่เพลินกับอื่นๆภายในวัด รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว เลยต้องตัดใจไปที่อื่นกันต่อ 

จุดหมายต่อไปก็คือน้ำตกแม่กาษากับน้ำพุร้อนแม่กาษา  ซึ่งสามารถเดินทางต่อจากวัดได้เลย 

น้ำตกงวงช้างขนาดกลาง น้ำเย็นมาก อยากลงไปเล่น แต่ไม่มีคนเล่นเลย ได้แต่เอาเท้าแช่น้ำเล่น นั่งถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย น่าเอาผ้าถุงไปตีโป่งมาก บริเวณใกล้ๆมีร้านค้าเล็กๆชาวบ้านที่ชาวบ้านแถบนั้นมาตั้งขายอาหาร เราเลยจัดการมื้อเที่ยงรวบมื้อเช้าที่นั่นเลย ข้าวไรซ์เบอรี่ราดกะเพาะหมูสับเริ่ดมาก จากละ35บาท คุ้ม ตามด้วยส้มตำอีกจาน อิ่มตื้อ พักหายเหนื่อยก้ไปน้ำพุร้อนแม่กาษาต่อ อยู่ไม่ไกลกันมากนัก น้ำร้อนประมาณ 70-85 องศา แค่ยืนดูไกลๆก็ร้อนแล้ว และมีไข่ให้ต้ม 6 ฟอง 30 บาท มีน้ำร้อนที่ไหนมีไข่ให้ต้มที่นั่น ตอนไปเจอคณะนักเรียนพยาบาทจากพม่ามาเที่ยวกันพอดี ไข่เลยขายดีเป็นพิเศษ มีบ่อแช่เท้าฟรี และห้องแช่ส่วนตัวห้องละ 150 บาท สามารถเข้าได้ 4 คน หารกันได้ในราคานั้น งวดนี้เราไม่ได้เข้าไปแช่ ปกติเป็นคนที่ชอบแช่น้ำร้อนอยู่แล้ว แต่งานนี้ไม่สามารถลงไปแช่ได้จริงๆ นั่งเล่นจนตะวันคล้อยต่ำลง เลยต้องกลับที่พัก พรุ่งนี้เช้าค่อยลุยกันต่อ หนึ่งวันนี่มันสั้นนิดเดียวจริงๆ เราพักที่ไดมอนรีสอร์ท รีสอร์ทเปิดใหม่น่ารัก หนึ่งหลังต่อหนึ่งห้อง ราคาไม่แพงด้วย แต่ลืมขอเบอร์ติดต่อมา ไว้หาเจอจะเอามาเพิ่มให้ที่หลัง/โต้งรัวๆ....

///
กินอิ่มนอนหลับเป็นตาย รุ่งเช้าหลังจากหม่ำมื้อเช้าที่รีสอร์ทเสร็จก็ไปลุยกันต่ออีกนิดนึง ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ เก็บตกที่ ที่ชาวบ้านแนะนำ

วัดไทยสามัคคี วัดที่ชาวบ้านบอกว่ามีหลวงพ่อทันใจที่ศักดิ์สิทธิ์มาก แน่นอนต้องแวะมาสิ  ที่น่าทึ่งสำหรับเราก็เห็นจะะเป็นพิพิฐภัณฑ์ไม้แกะสลัก ที่เป็นทั้งของฝั่งไทยและพม่า ส่วนใหญ่เป็นของเกี่ยวกับสงฑ์ทั้งสองฝ่าย ที่หาดูได้ยาก เพลินอยู่นับทั่วโมงเหมือนเคย พะวอนายด่านแม่ละเมาสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน แกะสลักจากไม้ขนุนสูงสองเมตรอายุ ร้อยกว่าปี
ที่นี่มีศาลสำเด็จพระเจ้าตากสินอยู่ด้วย

เราออกจากแม่สอดตอนคล้อยบ่ายเพื่อกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางแวะสักการะศาลพะวอที่ตั้งอยู่ระหว่างทางกลับ

ยังคงเนืองแน่นไปด้วยชาวพม่าเหมือนเคย ขึ้นรถออกจากศาลเจ้าพ่อพะวอ เลยมาอีกนิดเป็นตลาดขายของป่าและผักต่างๆ เรียกันว่าตลาดมูเซอ มีผักสดต่างๆ สตอเบอรี่ แอปเปิ้ล เนื้อเก้ง หมูป่า น้ำผู้ ให้ช้อปเป็นของฝาก ตอนที่เรามาถึงตลอดอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคแบตเกลี้ยง เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา ความสะเพร่าที่ลืมชาร์ตตั้งแต่เมื่อคืน เลยได้แต่เก็บภาพด้วยตามาบอกเล่า หากมีโอกาสและไปแม่สอดลองแวะไปสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ดู คงจะประทับใจไม่มากก็น้อย

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ