แบกใจขึ้นดอย 1,670 กิโล กรุงเทพ - เชียงใหม่ - พะเยา - น่าน
จองตั๋วข้ามปี กรุงเทพ – เชียงใหม่ – กรุงเทพ...
.
.
สุดท้ายทิ้งตั๋วขากลับ เพราะอยากเที่ยวยาวๆ แต่สุดท้ายทิ้งมันทั้งขาไป ขากลับ
เนื่องจากขาไปนี่ตกเครื่องครับ ขากลับอยากเที่ยวยาวเลยเปลี่ยนไฟท์
จากเดิมบินหรูดูสบาย กลับระหกระเหินมุ่งหน้าสู่หมอชิต เพื่อหารถทัวร์ไปเชียงใหม่ในวันหยุดยาวปลายปี
ซึ่งรถ VIP มันหมดไปแล้วไง สุดท้ายมาซุกอกเจ๊เกียว แห่งเชิดชัยทัวร์ แอร์บัส ป.2 เครื่องออก เฮ้ย! รถออกจากท่าประมาณ 11 โมง ถึงเชียงใหม่เกือบสามทุ่มเอ๊งงงงงง ตามมาเที่ยวกันเลย...
ติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่นี่ http://www.facebook.com/PaeSongBai
พี่สาวผมเปิด Guest House เล็กๆอยู่เชียงใหม่ชื่อว่า Parami Guest House ที่ซึ่งผมใช้เป็นที่ซุกหัวนอนตลอดเวลาที่อยู่เชียงใหม่ บรรยากาศร่มรื่น
ส่วนใหญ่เป็นแขกฝรั่งพักทีเป็นเดือนๆ ตกเย็นนั่งจิบเบียร์พร้อมสนทนาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันไปมา ใครผ่านไปผ่านมาแวะเข้าไปนั่งจิบกาแฟได้นะครับ ยินดีต้อนรับ
วันที่ 2 คืนแรกของผมกับเชียงใหม่หลับยาวๆ ครับเพราะเพลียกับการนั่งรถเป็นเวลานาน ตื่นตอนเช้ากับอากาศหนาวๆ ที่เชียงใหม่ วันแรกผมยืมมอเตอร์ไซต์พี่สาวขับไปแกรนด์แคนยอนกันในช่วงบ่ายเพื่อดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
โดยใช้เส้นทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้ถนนเลียบคันคลองชลประทาน วิ่งมาทางเชียงใหม่ไนท์ ซาฟารี – พืชสวนโลก เมื่อถึงแยกไปพืชสวนโลก (แยก ถ.ราชพฤกษ์ – ถ.คันคลอง) ให้วิ่งตรงไปจะเจอกับแยกหนองควาย (แยก ถ.รอบเมืองเชียงใหม่ – ถ.คันคลอง) ก็ให้ตรงไปอีก ผ่านหางดงกอล์ฟคลับ และเมื่อเจอปั๊มน้ำมัน PT สีเขียวทางซ้ายมือให้ชะลอรถ ชิดขวา เตรียมเลี้ยวขวาข้ามสะพานที่กำลังจะถึง ข้ามสะพานไปแล้วให้ขับตามทางไปประมาณ 500 เมตร (ทางค่อนข้างแคบ) แล้วเลี้ยวซ้าย ขับไปอีก 250 เมตรก็จะเจอ แกรนด์ แคนยอน เชียงใหม่ อยู่ทางขวามือ สามารถจอดรถได้ที่ริมถนน
ใช่ครับ ฟังเหมือนง่ายครับ แต่ผมหลงเพราะเชื่อไอ GPS เจ้ากรรมมันพาไปทางตันครับ
จะกลิ้ง จะนอน จะกระโดดน้ำทั้งวันค่าเข้าแกรนด์แคนยอนราคาเดียว 50 บาท (แนะนำเช่าเสื้อชูชีพ ห่วงยาง พายเรือเพื่อความปลอดภัย) บัตรค่าเข้าเอาไปแลกดริ้งได้ครับ (เครื่องดื่มประเภทชาเย็น 55555)
จากนั้นเมื่อแฟนผมเพลิดเพลินกับการนั่งมองฝรั่งกระโดดน้ำกันตูมตามแล้ว พระอาทิตย์เริ่มลับขับฟ้าพวกเราก็เดินทางกลับ
วันที่ 3 เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อขับรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ดอยอินทนนท์ ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ และอากาศก็หนาวเหน็บมากเช่นกัน ไม่บรรยายมากครับ เพราะคนส่วนใหญ่เคยไปกันแน่นอน
เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา
เดินเล่นกันจนเพลิน ลงจากดอยกันช่วงบ่ายแก่ กลับเข้าเกสเฮาร์พักผ่อน คิดว่าตอนเย็นๆ จะไปเดิน สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ที่แม่ริม แต่พอตรวจสอบรายละเอียดสวนเปิด 8.30 – 17.00 ซึ่ง ณ เวลานั้นเป็นเวลา 4 โมง ยังไง๊ ยังไงก็ไม่ทันแน่นอน เนื่องจากพรุ่งนี้เช้าเราจะเดินทางไปพักกันที่พะเยา/เซ็งมากแต่เราศึกษาข้อมูลไม่ดีเองโอกาสหน้าไม่หลับเพลินนะครับ
วันที่ 4 คืนนี้เราจะไปนอนที่ภูลังการีสอร์ท ที่เค้าว่ากันว่า รีสอร์ทหลักร้อย วิวหลักล้าน เราจึงต้องไปดูให้เห็นกันตา ตื่นเช้ากันอีกแล้ว เพื่อไปนั่งรถบัสให้ทันโดยจองไว้กับ GreenBus เชียงใหม่ – พะเยา รอบ 6.30 และถึงพะเยาประมาณ 9 โมงนิดๆ จากนั้นเราต้องนั่งรถบัสจากสถานีไปยัง อ.เชียงคำ จ.พะเยาด้วยรถบัสอีกครั้ง (รถบัสเชียงคำออกทุกๆ ครึ่งชั่วโมง) เพื่อไปต่อรถบัส เชียงราย – น่าน โดยรถสายนี้จะมาประมาณ 11 โมงที่สำคัญคือ เป็นรถบัสสายเดียวที่ผ่านหน้ารีสอร์ทวันละเที่ยว โอ้! แม่เจ้า แต่ถ้าพลาดสามารถเหมารถโดยสารแถวสถานีไปได้ครับ
แต่วันนั้นรถบัสเจ้ากรรมดันยางแตกระหว่างทางทำให้กว่าจะเดินทางมาถึงสถานีเวลาล่วงไปเกือบบ่าย คนยืนรอเต็มสถานี เราสองคนได้นั่งที่กิตติมาศักดิ์ตรงบันไดขึ้นรถบัส ใช่ครับ ฟังไม่ผิดครับ บันไดด้านหน้าข้างคุณลุงคนขับเลย ทางชันและคดเคี้ยวใช้ได้ครับ และคุณลุงก็ขับรถใช้ได้ครับ ขับรถวัยรุ่นมากครับแต่ปลอดภัย ขับเอง เก็บเงินเอง เป็นเด็กรถเอง แจ้งคุณลุงด้วยครับว่าลงที่ภูลังการีสอร์ท แกจะได้จอดให้ลง ถึงที่พักประมาณ 3 โมง (ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม.โดยประมาณ)
ภูลังการีสอร์ท บรรยากาศสุดบรรยายครับ วันที่พวกเราไปบ้านไม่ว่าง แต่อากาศหนาวๆ แบบนี้นอนเต๊นท์ก็ไม่มีปัญหา กลับรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่าเดิมซะอีกครับ (บริเวณที่กางเต๊นท์ห้องน้ำห้องท่าสะดวกสบาย) บรรยากาศหน้าเต๊นท์แค่มองออกไปก็เหมือนหมอกมาลอยอยู่ตรงหน้า เหมือนพระอาทิตย์อยู่ใกล้แค่เอื้อม คืนนั้นเราทานอาหารกันที่รีสอร์ท และนั่งคุยนอนคุยกันเรื่องสัปเพเหระจนผลอยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
วันที่ 5 เช้านี้หมอกไม่เยอะเท่าที่คิด (เห็นพี่ที่ดูแลบอกว่าหน้าฝนหมอกจะเยอะมาก) แต่บรรยากาศโดยรอบดีงาม มีหมอกฟุ้งๆ ลอยผ่านหน้าผาโขดหิน เต็มอิ่มกับบรรยากาศกันเรียบร้อย ช่วงเช้ามีอาหารเช้าของทางรีสอร์ทและฟังคำบรรยายประวัติความเป็นมาของชาวเขาที่ผูกพันธ์กับภูลังกาโดยเจ้าของรีสอร์ทที่เป็นคุณลุงชาวเขา (แต่เสียดายที่เราไม่ได้ขึ้นเขาภูลังกา คราวหน้าเนอะ คราวหน้า)
ระหว่างรอรถบัส เชียงราย – น่าน ที่ผ่านมาช่วงเที่ยงครึ่ง – บ่ายโมงเพื่อไปน่านต่อ ก็ซึมซับกับบรรยากาศกันพอหอมปากหอมคอ พอเที่ยงๆ ก็ไปนั่งรอรถบัสแถวๆ จุดที่ลง ถ่ายรูปรอก็แล้ว เดินเล่นก็แล้ว ปรากฎรถมาเลทอีกนิดหน่อย (เกือบได้โบกรถกระบะไปลงในเมืองละ) ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 2-3 ชม. ถึงตัวเมืองน่าน
#ภูลังการีสอร์ท
เราลงรถบัสที่ศาลาหน้าสนามบินน่าน เพราะเรานัดกับพี่ที่เช่ารถไว้เพื่อขับเที่ยวที่น่าน ค่าเช่าประมาณ 1000 บาทเป็นวีออสตัวใหม่ดีทีเดียว จากนั้นเราไม่รอช้าจัดแจงซื้อขนม น้ำแล้วมุ่งตรงไปยัง ดอยเสมอดาว อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ขึ้นมาด้านบนค่อนข้างเย็นแล้ว และไม่ได้จองก่อน บริเวณกางเต๊นท์ด้านบนเต็ม แถมยังไม่มีเต๊นท์ให้เช่า แต่นับว่าฟ้ายังปราณีส่งพี่เจ้าหน้าที่อุทยาน ซึ่งพี่เค้าเลิกเวรกำลังจะกลับบ้าน พี่เค้าเลยให้เช่าเต๊นท์รวมเครื่องนอนในราคา 200 บาท (ตอนนั้นเท่าไหร่ก็เอาครับ) สองคนช่วยกันกางเต๊นท์บริเวณศาลเรือเก่า แล้วรีบไปอาบน้ำเพราะจะมืดแล้วกลัวหนาว คืนนี้เราสั่งหมูกระทะดอยมากินกันหน้าเต๊นท์พร้อมแหงนดูดาวที่ระยิบระยับเต็มท้องฟ้าสมชื่อ ดาวเสมอดาว
#ดอยเสมอดาว
วันที่ 6 ตื่นก่อนพระอาทิตย์เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยเสมอดาว เดินฝ่าความมืดกันขึ้นไปครับ ไปหยุดยืนบริเวณจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุด หมอกค่อยๆ เคลื่อนตัว อากาศหนาวที่ประทะหน้า ความรู้สึกแบบนี้มันทำให้เราเสพย์ติดการท่องเที่ยวแบบถอนตัวไม่ขึ้น
#ดอยเสมอดาว
ฟ้าสว่างเดินลงมากินข้าวเช้าก่อนเตรียมตัวออกเดินทางต่อ ก่อนออกจากดอยเสมอดาว เดินเล่นบริเวณผาหัวสิงค์ และขับขึ้นไปยังผาชู้
ลงจากดอยขับรถมาหน่อย
ไม่ไกลครับ มีเสาดินนาน้อย คอกเสือสมัยก่อน ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของอุทยานแห่งชาติศรีน่าน มีระยะ ทางห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 24 กิโลเมตร เป็นเสาดินที่มีลักษณะแปลกตาคล้าย “แพะเมืองผี” ที่จังหวัดแพร่ เสาดินนาน้อย เกิดจากการที่ดินตะกอน ทับถม ถูกเลื่อนตัวสูงขึ้นจากผิวดิน ผ่านเวลานานหลาย ล้านปี ถูกน้ำและฝน กัดเซาะ จนทำให้เกิดรูปร่าง ประหลาด แปลกตาอย่างที่เห็น สันนิษฐานว่าเสาดินนาน้อยมี อายุประมาณ 30,000-10,000 ปีและเคยเป็นก้นทะเลมาก่อน นอกจากนี้ยังค้นพบกำไลหินและขวานโบราณที่นี่ (ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน) แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้อาจเคยเป็น แหล่งอาศัยของ มนุษย์ยุคหินเก่า
#เสาดินนาน้อย
จากนั้นก็ขับเข้าในตัวเมืองน่านเที่ยวกันต่อ เราจองห้องพักที่โรงแรมสุขเกษม เช็คอินเก็บของเข้าที่พักแล้วคืนรถ วันนี้เราจะแว้นมอไซต์เที่ยวในตัวเมืองน่าน (ค่าเช่ามอเตอร์ไซต์ 250 บาท) เที่ยวตามวัดวาอาราม และพิพิธภัณฑ์เมืองน่าน กินขนมหวานป้านิ่ม (อร่อยฝุดๆ)
ปู่ม่าน ย่าม่าน วัดภูมินทร์
#วัดภูมินทร์
#พระธาตุแช่แห้ง
ดูพระอาทิตย์ตกที่วัดเขาน้อย
#วัดเขาน้อย
กลางคืนฝากท้องที่ร้านปุ้ม3 ข้างโรงแรมสุขเกษม อาหารรสชาติอร่อยใช้ได้เลยครับ
#วัดเขาน้อย
วันที่ 7 ตอนเช้าๆ แว้นมอไซต์ไปหอศิลป์เมืองน่านกัน ผ่านอุโมงค์ต้นไม้น่านที่ตอนนี้แทบไม่เหลือแล้ว เฮ้อออ... กลับมาเช็คเอ๊าเตรียมตัวกลับ เรียกแท็กซี่ไปสนามบิน กลับถึงกทม. โดยสวัสดิภาพ
การเดินทาง 7 วันของเราบางทีเที่ยวไม่ได้เยอะ เพราะข้อจำกัดด้านการเดินทาง (นั่งรถต่อรถ) แต่แลกมาด้วยการได้เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวอีกด้าน ได้นั่งรถบัสกับคนท้องถิ่น คุยบ้างถามทางบ้าง ขอความช่วยเหลือบ้าง เพราะการเดินทางไม่ใช่อยู่ที่จุดหมาย แต่อยู่ที่ระหว่างทางเราเก็บเกี่ยวประสบการณ์อะไรไปบ้างต่างหาก คนไทยไม่เคยแล้งน้ำใจ ขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่แสนดี... พบกันใหม่ทริปหน้า ขอบคุณครับ