พวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ค่ะ โดยรถทัวร์ค่ะ Step การเดินทางเพื่อที่จะไปที่จุดนัดพบคือ
1.กรุงเทพฯ ไป สถานีขนส่งแม่สอด จังหวัดตาก
##พยายามกะเวลาให้ไปถึงที่แม่สอดก่อน 6.00 นะคะ
2. ต่อรถสองแถว แม่สอด-แม่เสรียง ไปลงที่บ้านแม่สลิด หน้าร้านป้าอึ่ง หน้าทางขึ้นอุทยานฯแม่เมย
##บอกโชเฟอร์ว่าจะไปลงที่ร้านป้าอึ่งพร้อมเอาแผนที่ให้แกดู แกรู้จักค่ะ
กรุงเทพฯ ไป สถานีขนส่งแม่สอด จังหวัดตาก
ทริปนี้ใช้บริการของบขส.นะคะ รถเขาก็ไม่แพ้ของเอกชนนะคะ หลับสบาย มีบริการจอดรถให้ทานอาหารด้วย พื้นที่กว้างขวาง ยืดขาได้สบายๆ และจองออนไลน์ได้ด้วย
ที่แนะนำให้ไปก่อน 6.00 ก็เพราะว่าเราต้องไปต่อรถสองแถว แม่สอด-แม่เสรียง รอบแรกรถออก 6.00 ซึ่งรถออกตรงเวลาแป๊ะๆ และรอบถัดไปจะเป็น 7.00 เลย
แน่นอนเลยว่าพวกเราไปไม่ทันฮ่าๆๆๆ เราลงจากรถทัวร์ก็ 5.5x น.แล้ว พอไปถามที่รถสองแถว รถก็เต็มแล้วเจ้าค่ะ ไม่ทันแล้วทำไงคะ แก้ไขเอาหน้างานเลย เดินไปถามเขาเลยค่ะว่ามีรถคันไหนไปที่บ้านแม่สลิดอีกมั้ย ฮ่าๆๆ
พวกพี่ๆรถสองแถวแกก็ให้คำแนะนำว่าต้องต่อรถสองต่อ คือนั่งรถแม่สอด แม่ต้าน นั่งสุดสายไปลงแม่ต้านเลย แล้วต่อรถจากแม่ต้าไปลงที่แม่สลิด ฟังดูซับซ้อน แต่ไม่มีทางเลือกแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ เป็นไงเป็นกัน ไปก็ไป
รถออกตอน 6.15น. แป๊ะๆ ไม่มีขาดไม่มีเกิน ฟ้ายังไม่สว่างเลย นั่งรถแบบนี้หนาวสิคะ หนาวมากๆ พวกเราใส่เสื้อกันหนาวกันใหญ่เลย แต่พอหันไม่เจอเพื่อนรวมรถที่เป็นคนท้องถิ่น พวกเขาชิวกันมากๆ เลยค่ะ
จริงๆแล้วบ้านแม่ต้าน เป็นที่ตั้งของที่ทำการอำเภอท่าสองยาง ถ้าใครกลัวหลงหรือว่าลงผิดที่ก็สังเกตุหาที่ทำการของอำเภอได้ค่ะ ระยะทางจากขนส่งแม่สอดถึงแม่ต้านประมาณ 88 Km. ใช้เวลาประมาณเกือบๆ 2 ชม. รถจะวิ่งไปตามเส้น 105 เรื่อยๆนะคะ
เมื่อต้องนั่งรถสองแถวแบบนี้สีส้นและความสนุกระหว่างทางก็ได้เริ่มต้นขึ้นค่ะ นั่นก็คือการที่คนในท้องถิ่นเขาขึ้นรถมาด้วย และคนเหล่านั่นเป็นชาวกะเหรี่ยงค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่ที่ขึ้นมาเขาฟังภาษาไทยไม่ออก เราก็ฟังเขาไม่ออกเหมือนกันฮ่าๆๆๆ เราทดสอบภาษาว่าเขารู้ภาษาไทยมั้ยโดยการถามว่าจะไปไหนกันหรอคะ เขาก็ไม่ตอบ ขอแปลความหมายเลยละกันค่ะว่าเขาไม่รู้ภาษาไทย เราเลยต้องนั่งงงท่ามกลางชาวกะเหรี่ยงต่อไป
แต่พอมีเด็กขึ้นมา ทีนี่แหละเสร็จเรา เราสกิดให้น้องมองกล้องแล้วก็ถ่ายรูปกับน้อง เสร็จแล้วก็เอารูปให้น้องดู น้องก็ยิ้มชอบใจ ทั้งๆที่คุยกันไม่รู้เรื่องแท้ๆ แต่ได้ถ่ายรูปด้วยกันเฉยยย ฮ่าๆๆๆ น่ารักเฉียว หมายถึงน้องนะ ฮ่าๆๆ
จริงๆไม่ได้เป็นคนรักเด็กนะคะ ให้อยู่กับเด็กประเดี๋ยวประด๋าวได้อยู่ แต่ให้อยู่นานๆ ไม่ไหวหรอกค่ะ ฮ๋าๆๆๆ ว่าแล้วก็ถึงเวลาเปลี่ยนรถค่ะ
พอรถถึงที่บ้านแม่ต้าน รถสายแม่ต้าน-แม่สลิดก็จอดรออยู่แล้ว สมาชิกเกือบทั้งคันที่มาพร้อมกันกับเราก็พร้อมใจขึ้นรถต่อไปด้วยกัน แต่ว่ารถเล็กกว่า ก็เบียดๆ เสียดๆกันไปค่ะ
ความชิคของรถคันนี้คือ โชเฟอร์ของเรานางจอดซื้อของโน่นนี่บ่อยมาก เช่นซื้อฟักทอง ซึ่งต้องทึงกับราคามากๆ ขายลูกละ 20 บาท แล้วลูกก็ใหญ่มากจริงๆ ถ้าอยู่กรุงเทพฯ จ่ายไป 40 บาท ได้มาแค่เซี่ยวเดียวนะคะ
มาถึงที่จุดนัดพบที่เป็นมีชื่อว่า ร้านข้าวป้าอึ่ง พวกเราก็ต้องกินข้าวเช้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และเตรียมของสดเพื่อที่จะขึ้นไปกินบนดอย ซึ่งมีขายที่ฝั่งตรงข้าม ความดีงามของที่นี่คือขนมข้าวซอยค่ะ อร่อยมาก ความลับคือยี่ห้อที่อร่อยมากๆ จะเป็นยี่ห้อที่เป็นภาษาพม่านะคะ ฮ๋าๆ หวานหอม และมีความช่ำ นอกจากของกินแล้วยังไม่อุปกรณ์ Camping ขายด้วย เราได้หม้อสนามมา1ใบ ในราคา 350 บาท เป็นเหมือนของทหารอ่ะค่ะ หาซื้อที่กรุงเทพฯไม่ได้เลย ถึงมีก็ราคาแพงมากๆ 800 up T^T
พอพวกเราเตรียมของเสร็จเรียบร้อย รถทีนัดมารับเราก็มารับพอดี ซึ่งนัดไว้ 10.00 รถคันนี้ไม่ได้มีแค่พวกเรานะคะ มีสมาชิกอื่นด้วย ซึ่งก็คือชาวบ้านในหมู่บ้านนั่นแหละค่ะ "ทำไมต้องไปกับเราด้วยล่ะ เราเหมารถนะ" หลายๆคนคงมีคำถามประมาณนี้เข้ามาในหัวใช่มั้ยคะ เพราะเราอาจจะเคยเจออะไรประมาณนี้ในเมืองแล้วมันแปลว่าโกง แต่ที่นี่เราขอใช้คำว่าชนบทแล้วกันค่ะ การที่จะเข้า-ออกหมู่บ้านเป็นเรื่องที่เรามองว่ามันลำบากมาก และถ้าจำเป็นต้องจ้างรถออกมาก็คงมาได้ในราคาทีสูงพอๆกับที่เราเหมาอะนะ แต่ถ้าจะเดินออกมาก็ไกลมากๆ ขนาดนั่งรถยนต์จากร้านป้าอึ่งที่มีรถสองแถววิ่งผ่าน ไปถึงที่หมู่บ้านยังใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงเลยค่ะ เสาร์-อาทิตย์ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปในหมู่บ้านแบบนี้ก็ไม่แปลกค่ะ ที่เขาจะขอติดรถมาด้วย
ซึ่งสมาชิกที่ร่วมไปกับเราในวันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นนักเรียนนะคะ เป็นแก็งค์หนุ่มน้อยหัวเกรียน นางน่ารักนะคะ แนะนำเราโน่นนี่ แล้วก็อาสาถ่ายรูปให้เราด้วย ส่วนขากลับออกมาก็มีเกิร์ลแก็งค์ผมบ็อบติดติ่งหูติดออกมากับเราค่ะ ซึ่งเราถามกับพี่โชเฟอร์ของเราก็ได้ความว่าน้องเขาไปโรงเรียน ไปนอนค้างที่โรงเรียน วันเสาร์ถึงจะได้กลับบ้าน และออกไปใหม่ในวันอาทิตย์ เราถือว่าโชคดีที่ตอนเรียนได้ไปกลับบ้านทุกวัน ได้กินกับข้าวฝีมือแม่ทุกวัน ^^
โชเฟอร์ของเราไม่ถ่ายพูดกับเราเท่าไรค่ะ พูดเท่าที่เราถาม ซึ่งเราก็ถามเยอะ ฮ่าๆๆ บางคำถามแกก็ไม่ตอบ ดูเหมือนว่าแกจะต้องตั้งใจขับรถมากๆ เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางของอุทยานแห่งชาติแม่เมย ซึ่งมันเป็นเขา ขึ้นเนินลงเนิน แล้วหักแล้วเลี้ยวอีก เลี้ยวแบบหักศอกเลยก็มีเยอะมากๆ เรากับเพื่อนคือแทบจะอวกเลยค่ะ
พี่แกพาเราไปที่จุดชมวิวอันโด่งดังของอช.แม่เมยด้วย นั่นก็คือ ม่อนครูบาใส และม่อนกิ่วลม วิวก็....ร้อนมากค่ะ เอ้ย!! สวยมากค่ะ ฮ่าๆ เป็นวิวทิวเขา ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ไร้เมฆ ^^
นี่คือรูปที่หนุ่มน้อยอาสาถ่ายให้เรา ลืมถ่ายรูปคู่กับนาง นางหน้าใส่มากๆ อิจฉาๆ
ดูรองเท้าเราสิคะ พร้อมมาก ฮ่าๆ จริงๆแล้วเราเป็นคนชิคๆคูลๆ
พอถึงหมู่บ้าน ชื่อหมู่บ้านเกร๊เค เป็นหนุ่มน้อยก็ทยอยแยกย้ายกันเข้าบ้านใครบ้านมัน ส่วนเราไปต่อจนถึงจุดเริ่มเดินค่ะ พอเราลงจากรถ เราก็เปลี่ยนรองเท้า และเตรียมน้ำสำหรับกินระหว่างเดิน และเตรียมของให้พี่ลูกหาบด้วย
ตรงจุดนั้น มีศาลาหลังนึงตั้งอยู่ ในศาลามีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ถ้าเราหันหน้าเข้าหน้าพระพุทธรูป ด้านซ้ายจะเป็นทางที่เราต้องเดินขึ้นเขา แต่ด้านขวามีสิ่งก่อสร้างทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สูงประมาณเอว รอบๆมีผงขี้เถ่าสีขาวเต็มไปหมด ถ้าให้เรามาคนเดียว ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนเราก็จะเผ่นหนีออกจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด บรรยกาศช่างวังเวงจริงๆ ไม่กล้าถ่ายรูปหรือวีดีโอเลยค่ะ กลัว ฮ่าๆๆๆ
พร้อมมากสำหรับการขึ้นดอยในครั้งนี้ อิอิ น้องเปรี้ยวก็ยังคงสีสันสดใสเหมือนเดิม ฮ่าๆ ถึงแสบตาแต่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยมากนะคะ
เริ่มเดินแรกๆเป็นทางกว้างเหมือนทางถนนเลยค่ะ แต่พอเดินไปเรื่อยๆทางก็แคบลงจนต้องเดินเรียงแถวกัน จุดที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของเส้นทางการเดินขึ้นดอยในครั้งนี้ก็คงต้องเป็นการเดินสวนทางกับลำธารขึ้นไป ไม่ได้เดินเป็นเนินข้างลำธารนะคะ แต่เป็นการเดินลำธารเลยค่ะ เหยียบหินก้อนโน่น ก้อนนี้ไปเรื่อยๆ ร้องเท้าที่เตรียมมาก็นะ ลื่นสุดๆไปเลย เราเดินนำเพื่อนๆ แต่กลายเป็นทำให้รถติดซะงั้น เพราะกลัวลื่น โชคดีนะคะที่น้ำไม่สูงมาก รองเท้าไม่เปียก ^^
จากนั้นก็เป็นทางที่ชันดิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แถบขาดใจ เดินไปหยุดพักไป ขึ้นไปเรื่อยๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ขอตั้งชื่อรูปนี้ว่า น้องเปรียวบอกว่าสู้ตายค่ะ
พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก พอขึ้นไปถึงจุดพักซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยมากค่ะ พวกเราตัดสินใจพักกันตรงนี้เพื่อกินข้าวเที่ยงกันค่ะ กินข้าวเสร็จก็น่ะ เจอวิวสวยๆไม่ได้ รออะไรอ่ะคะ ถ่ายรูปกันสิคะ ฮ่าๆ ขอตั้งชื่อท่านี้ว่า ท่ากอดเขา
หายเหนื่อยแล้วก็ไปต่อค่ะ ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เราก็คอยหันไปมองด้านหลังบ่อยขึ้นเพราะว่าวิวมันสวยมากๆค่ะ เราอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของภูเขา เห็นยอดโน่นยอดนี้ เราก็อยากจะไปยืนอยู่บนยอดโน่นยอดนี้จริงๆเลยค่ะ มีใครเป็นเหมือนเรามั้ย
ไม่นานเราก็เห็นยอดพระธาตุแล้วค่ะ เห็นมั้ยคะ มองจากมุมนี้พระธาตุเล็กกกกก มากกกกกก และ ยอดเขาที่เราจะไปนอนกันคืนนี้ก็คือยอดที่อยู่ถัดมาค่ะ
ในที่สุดเราก็ถึงสักที่ เหนื่อยและร้อนมากๆ สุดๆไปเลย บนยอดมีศาลาที่สร้างไว้ค่ะ เราคิดว่าแต่ก่อนคงสร้างไว้ให้คนที่มาทำบุญได้พักกัน แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นที่พักของนักท่องเที่ยวแล้วค่ะ ขึ้นไปเราก็ไปเจอกับพี่ๆอีกทีมนึงค่ะ เขามากัน 4 คน กำลังนั่งชิวกันเลยค่ะ พวกเราเลยขอแจมด้วย พี่ๆเขานิสัยดีมาก และถ้าไม่ได้พี่เขา เราสามคนลงไม่รอด ทั้งหาฟืน หุงข้าว ก่อไฟ พี่เขาให้คำแนะนำทั้งหมด บางอย่างก็ทำให้ด้วย
อ้อลืมบอกค่ะ ปกติดอยอื่นๆ เขาจะมีทีมงานลูกหาบก่อไฟ หุงข้าว และหาน้ำให้ ซึ่งที่นี่พี่ลูกหาบแกขึ้นมาส่งเราเฉยๆ แกไม่ได้ค้างด้วย และไม่ได้จัดแจงสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นให้ ดังนั้นถ้าใครจะไปเองแนะนำว่า ถ้าทำไม่เป็นก็กินง่ายๆอย่างเช่นมาม่าอะไรประมาณนี้ก็สะดวกดีนะคะ ใช้เป็นแก๊สกระป๋องแทนการก่อไฟ
ด้วยนิสัยคนอยากเราไปถึงก็ต้องรื้อของออกมาประหนึ่งสร้างแลนด์มาร์ก โดยไม่ได้คิดถึงตอนเก็บเลย T^T มันเก็บลำบากมาก
ลืมบอกไปค่ะ ด้านบนไม่มีแหล่งน้ำเลยนะคะ มีแต่น้ำฝนที่ชาวบ้านทำเป็นแทงค์เก็บไว้ โชคดีอีกเหมือนกันตรงที่ในแทงค์มีน้ำให้เราใช้พอจนจบทริป ทั้งกิน ทั้งทำอาหาร แล้วก็ลาดห้องน้ำ
และเมนูของเราในวันนี้คือออออ แกงกะหรี่ญี่ปุ่น ซึ่งเราซื้อมาเยอะเกินไป ทำให้กินไม่หมด ทำให้ต้องทิ้งน่าเสียดายจริงๆ
เดินต่อไปอีกหน่อยจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ค่ะ เราไปไหว้พระขอพรกันค่ะ "พวกเราไม่ได้มาประสงค์ร้าย เรามาชื่นชมธรรมชาติเท่านั้น ขอพักค้างแรมที่นี่ 1 คืน ขอให้เดินทางอย่างปลอดภัย ขอให้นอนหลับอย่างสงบ ไม่มีสิ่งใดมารบกวน" ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไปป่า ไปรีสอร์ท หรือ ไปโรงแรม เราก็ขอแบบนี้ค่ะ ถ้าไปต่างประเทศ เราก็จะขอเป็นภาษาอังกฤษ ดูเป็นสากลดี ฮ่าๆ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ ^^
พระพุทรธรูปรวมถึงพระธาตุ ถูกสร้างโดยชาวบ้านในหมู่บ้านค่ะ โดยมีหลวงพ่อที่วัดในหมู่บ้านเป็นผู้ริเริ่มค่ะ เพื่อให้เกิดเป็นขุนเขาแห่งศรัทธา เราถามพี่ลูกหาบว่าสร้างนานมั้ย แกบอกว่านานมาก แต่ไม่รู้จำนวนวัน เดือน ปี ที่ชัดเจน ชาวบ้านช่วยกันขนอิฐปูนขึ้นมาผ่านเส้นทางที่เราเดินขึ้นมากันนี่แหละค่ะ ต้องมีความพยายาม ต้องศรัทธาแค่ไหน ต้องสามัคคีแค่ไหนถึงจะทำสิ่งที่ยากลำบากขนาดนี้ร่วมกันได้ สุดๆไปเลย
สีโมงเย็น เกือบๆห้าโมงได้ พวกเราก็ออกเดินทางไปไหว้พระธาตุกัน เส้นทางคือแบบว่าด้านนึงเป็นเหว และอีกด้านนึงก็เป็นเหว โอ้วโน่ววว หวาดเสียวมากเลยค่ะ แถมทางก็ชันมากๆ ชันขาขึ้นเราไม่ค่อยกังวลเท่าไร กังวลชันขาลงมากกว่า กลัวไถลตกเหว ฮ่าๆๆ ใครชอบเสียวๆ แนะนำให้ไปนะคะ
เห็นปลายทางอยู่ไม่ไกล แต่ไกลมาก ฮ่าๆ มองไปแล้วรู้สึกถึงพลังความยิ่งใหญ่ ขอแวะรับพลังก่อนนะคะ
มองกลับไปอื้อหือ สันคมมีดชัดๆ แหลมเฟี้ยวเชียว มีเชื่อกกั้นเป็นบางจุดเท่านั้นนะคะ การเดินต้องระมัดระวังกันนิดนึง
ที่สำคัญคือ ขากลับจะมืดมาก ไม่เห็นอะไรเลย และทางต้องใช้มือปีนป่าย แนะนำให้เอาไฟฉายที่เป็นแบบติดที่ศีรษะไปด้วยนะคะ ที่แบบสว่างๆด้วยนะ
ด้วยความประมาทว่าจะไปทันก่อนอาทิตย์ตกดิน แต่ปรากฏว่าไม่ทันค่ะ ประมาทไป คิดว่าอยู่ใกล้ๆ ที่ไหนได้ ต้องเดินผ่านสองสามเนิน และเนินที่พระธาตุตั้งอยู่ก็สูงซะเหลือเกิน เหนื่อยมากๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ทันแต่ภาพระหว่างทางคือที่สุดค่ะ สวยมากๆๆๆๆๆ เลยค่ะ
ก่อนที่แสงสุดท้ายจะหายไป เราก็มาถึงพระธาตุแล้วจ้า หอบแหกๆ เลย แต่ดีใจที่มาถึงค่ะ อากาศด้านบนคือลมเย็นค่ะ แต่ไม่ถึงกับหนาว เราอยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบลงแล้วค่ะ เพราะว่ามืดแล้ว
พอไปถึงที่ศาลาเราก็กินข้าวกันค่ะ กินร่วมกันกับพี่ๆเขาค่ะ พี่เขามีเมนูอาหารป่า แกงหยวกกล้วย อร่อยดีนะคะ ไม่เคยกินมาก่อน กินจนลืมถ่ายรูปเลยค่ะ ฮ่าๆ
เช่นเดิมก่อนนอนเราต้องถ่ายรูปคู่กับดวงดาวค่ะ และทริปนี้เตรียมของเล่นใหม่ไปด้วย ซึ่งก็คือไฟเย็นค่ะ ฮ่าๆ เหลือจากลอยกระทงเมื่อเดือนที่แล้ว อิอิ เอามาถ่ายรูปเก๋ๆหน่อย สามคนสามสไตล์ค่ะ จัดไปคนละรูป แต่ก็แอบเสียดายที่คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย ทำให้เห็นดาวไม่ค่อยชัดเท่าไร
คืนนี้ขอปิดท้ายด้วยความพยายามของพวกเรา ฮ่าๆ พยายามที่จะเขียนคำว่าตากให้ได้ ฮ่าๆ ผิดไปตั้งสองรอบแหน่ะ
พรุ่งนี้เช้าต้องรีบมาพบกับความอลังการของธรรมชาติ (แค่คิดย้อนกลับไปยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่เลยค่ะ)