ตอนที่เพื่อนบอกว่าอยากไปที่เขียวๆ สงบๆ ธรรมชาติ เรานึกไม่ออกเลยว่าจะพาเพื่อนไปไหนดี จนไปหาข้อมูลใน google โดยมีคีย์เวิร์ดคือที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ ไม่มีรถส่วนตัว และมีสีเขียว แล้วชื่ออ่างเก็บน้ำหุบเขาวงก็โผล่มาให้เห็น 

อ่างเก็บน้ำหุบเขาวง หรือเรียกอีกชื่อว่าปางอุ๋ง สุพรรณบุรี เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดไม่ใหญ่นัก เพิ่งจะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมาประมาณ 3 ปี ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบธรรมชาติมากๆ โดยชาวบ้านที่นี่จะเป็นผู้ช่วยกันดูแลและให้บริการต่างๆ แก่นักท่องเที่ยวด้วยตัวเอง สำหรับบ้านพักจะเป็นแพไม้ไผ่ ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ และไม่มีสัญญาณมือถือ 

ตอนที่โทรไปจองที่พัก ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ย้ำกับเราอีกครั้งว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้และไม่มีสัญญาณมือถือ เราก็ตอบรับด้วยความมุ่งมั่น เพราะอยากลองไปใช้ชีวิตแบบตัดขาดโลกข้างนอกดู (เบอร์โทรสำหรับติดต่อที่พัก 092-4933833) เรากับเพื่อนจองเป็นแพหลังเล็ก ราคา 400 บาทต่อแพหนึ่งหลัง ไม่รวมอาหาร สำหรับคนที่ไม่อยากนอนแพก็สามารถนำเต๊นท์มากางได้ คิดค่าบริการหลังละ 100 บาท โดยต้องกางในจุดที่กำหนดให้เท่านั้น

เราเดินทางมาช่วงเที่ยง อากาศกำลังร้อนได้ที่ ช่วงนี้คนจะไม่ค่อยมี เจ้าหน้าที่บอกว่าส่วนใหญ่คนจะเยอะช่วงหน้าหนาว ยิ่งเราไปพักวันจันทร์แทบจะเรียกได้ว่าอ่างเก็บน้ำกลายเป็นของเราไปโดยปริยาย :) 

หลังเก็บของเข้าแพ เดินสำรวจสถานที่แล้วก็ได้เวลากินข้าวกัน ที่นี่จะมีร้านอาหารสหกรณ์ของชาวบ้านขายอาหารตามสั่ง และขนมขบเคี้ยวต่างๆ และมีร้านส้มตำไก่ย่างด้วย ไม่รอช้าสั่งส้มตำปูปลาร้ามารองท้องก่อนเลย 

ส้มตำรสชาติใช้ได้เลยแหละ ราคาไม่แพงด้วย และที่ชอบมากคืออุปกรณ์ที่ใส่เป็นกระบอกไม้ไผ่ทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะกระติ๊บข้าวเหนียวถูกใจมาก เดี๋ยวบอกพ่อทำไว้ใส่ข้าวเหนียวกินมั่ง ^^ 

กินข้าวเสร็จเราก็กลับไปนอนพักผ่อน อ่านหนังสือที่แพไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตอย่างผู้ร่ำรวยกาลเวลา :)

นั่งมองชาวบ้านจับปลาไปเรื่อยๆ รู้สึกว่ากว่าจะได้ปลามาสักตัวต้องใช้ความอดทนและความมุ่งมั่นมากทีเดียว แดดก็ร้อน ป้าก็ยืนจับปลาไปเรื่อยๆ โดยไม่บ่นสักคำ นั่งมองป้าจับปลาเพลินๆ ก็เผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีบ่ายสามกว่าๆ ด้วยความร้อน อากาศในแพร้อนมาก ต้องออกมานั่งรับลมหน้าแพค่อยยังชั่วหน่อย 

พอเริ่มเย็นหน่อยก็ออกไปถ่ายรูปเล่นกันต่อ 

กระท่อมน้อยปลายนานั่นแหละคือแพที่พักเรา คลาสสิกดีมั๊ยล่ะ 55

สำหรับอาหารเย็นเราสั่งชุดขันโตกไว้ ราคา 300 บาท ในชุดมีน้ำพริกผักต้ม ปลานิลย่าง 1 ตัวใหญ่ ต้มยำไก่ และข้าว 1 โถ ได้เยอะมาก เรากินกันสองคนไม่หมด เหลือกินถึงตอนเช้าอีกต่างหาก 5555 

พอกินข้าวเสร็จก็นั่งรับลม คุยกันไปเรื่อยๆ ช่วงเย็นอากาศดีมาก ลมพัดมาเอื่อยๆ เมฆฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล ถ้าฝนตกบรรยากาศคงดีมาก น่าเสียดายที่ฝนไม่ตก 

ประมาณหกโมงเย็นก็รีบไปอาบน้ำ กลัวว่ามืดแล้วจะไปลำบาก พออาบน้ำกลับมาก็เจอกับตะเกียงดวงน้อยแขวนอยู่หน้าบ้าน 

ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยใช้ตะเกียงนี่แหละ :)

ยิงค่ำลง ลมยิ่งแรงขึ้นก็เลยย้ายตูดจากหน้าบ้านไปนอนในแพ อาศัยไฟจากตะเกียงนอนอ่านหนังสือกัน ไม่น่าเชื่อว่าแค่ 2 ทุ่มเรารู้สึกง่วงจนต้องปิดหนังสือ แล้วดับตะเกียงนอนกัน ฟังเสียงคลื่นน้ำกระทบแพไม้ไผ่ เสียงนก เสียงปลารอบข้าง ถ้าอยู่กรุงเทพนะ ตีสองยังนอนส่องไทม์ไลน์ชาวบ้านอยู่เลย 55 เอาจริงๆ ไม่มีอินเตอร์เน็ตเราก็อยู่ได้นะ แต่อาจจะอยู่ได้ไม่นาน 555 มาที่นี่เป็นการพักผ่อนโดยแท้จริง นอนกันยาวนานมาก ตื่นมาตอนเช้าด้วยความสดใส พร้อมกับสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด สดชื่นมากจริงๆ นะ :)

ช่วงสายเราก็เก็บของเตรียมตัวกลับไปทำงานต่อ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่มีกิจกรรมให้ทำมากนัก แต่เราก็รู้สึกดีที่ได้มา มันเป็นสถานที่ที่เงียบสงบมาก จนเวลาคุยกับเพื่อนบางทีเผลอใช้เสียงกระซิบ กลัวว่าเสียงของเราจะไปรบกวนเสียงของธรรมชาติที่นี่ และเราอยากบอกทุกคนที่เข้ามาอ่านว่า รูปที่เราถ่ายมาก็เป็นแค่เพียงบางมุมของที่นี่ที่เราเลือกมอง ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน เราว่าที่นี่น่าจะเหมาะกับคนที่อยากหนีความวุ่นวาย อยากพักใจ อยากอยู่นิ่งๆ อยู่กับตัวเอง ไม่เหมาะกับคนที่ติดโซเชียลและติดความสะดวกสบาย เพราะอาจจะเกิดความรู้สึกขัดข้องใจ พาลจะมองอะไรไม่สวยไปหมด 555 

สำหรับการเดินทาง เราไม่มีรถส่วนตัว เริ่มจากขึ้นรถตู้สาย 69 กท-ด่านช้างที่สายใต้ ราคา 150 บาท ไปลงที่บขส.ด่านช้าง แล้วต่อรถเมล์หวานเย็นสีฟ้า สายด่านช้าง - เมืองกาญ ราคา 20 บาท บอกว่าลงหน้าวัดพุน้ำร้อน (ใช้เวลาประมาณ 20 นาที) แล้วจากหย้าวัดเข้าไปในอ่างเก็บน้ำเราใช้บริการรถเหมาของชาวบ้าน ไปกลับคนละ 150 บาท เส้นทางข้างในเป็นถนนลูกรัง มีขึ้นลงเนินเขาเล็กน้อย ถนนตัดผ่านไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลังของชาวบ้าน ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึงอ่างเก็บน้ำ