ลำพูน ไม่ลำพัง งบไม่ถึงพัน ก็ไปได้

ด้วยการนั่งรถไฟฟรีไปเหมือนเดิม  ในวันเงินเดือนใกล้ออกหรือเรียกอีกอย่างว่าเงินเดือนยังไม่ออก  แต่พอมีอยู่บ้าง  เฮือกสุดท้ายของการใช้เงินเดือน 555555 ไปไหนดี?

เดือนก่อนนู้นกลับบ้านต่างจังหวัด (ทางเหนือ) แล้วได้คุยกับแม่  แม่บอกว่าเนี่ยอย่าลืมไปไหว้เจ้าแม่จามเทวีนะ  แม่ไปมาแล้ว  ไปขอพรให้แกด้วย  ขอให้แกมีแฟนซะที  ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องขอลูก ขอความรัก  แกต้องไปเองอีกครั้งด้วย  5555555 แม่นี่อยากให้ออกเรือนมากกกกกกกก   หลังจากนั้นเลยคิดว่าต้องหาเวลามาลำพูนแล้วล่ะ

แต่ไม่ได้จะมาขอแฟนอย่างที่แม่บอก  ตอนนี้สิ่งที่อยากได้ที่สุดไม่ใช่แฟน  แต่คือเงินค่ะ! 5555  อยากมีเงินเยอะๆเที่ยวรอบโลกมากกว่ามีครอบครัวนะตอนนี้  อยากเที่ยวเยอะๆ   แถมอยากเที่ยวคนเดียวด้วย

เรามีเพจเล่าเรื่องราวของการไปเที่ยวคนเดียวในที่ต่างๆ เข้าไปคุยกันได้นะ  
ที่เพจ  "จะเที่ยวคนเดียว Lady Journey"

ภาพทั้งหมดถ่ายด้วยมือถือ Samsung Galaxy A5 ตกแต่งด้วย VSCOCAM นะคะ

งบน้อย ค่อยๆเที่ยว  ไปครั้งนี้ก็คงรถไฟเหมือนเดิม  รถไฟ......ฟรี!! แหะๆ  อีกนิดเดียวก็นั่งรถไฟถึงเชียงใหม่แล้ว  ลงก่อนเลยลำพูน   ตอนแรกมีในหัวเยอะมากว่าที่เที่ยวลำพูนความจริงเยอะนะ  มีโฮมสเตย์อะไรอย่างงี้ด้วย  แต่ที่เที่ยวอยู่ไกลกันมาก  ไม่ได้วางแผนมาเยอะ  ครั้งนี้เลยเที่ยวในเมืองก็พอ

ถึงตี 5 เร็วไปหน่อย  มืดตึ๊บ  นอนเล่นสถานีรถไฟอีกแล้วค่ะท่านผู้ชม

 แล้วค่อยเดินหาที่พักต่อ  มาแบบไม่มีแผนที่ ไม่มีที่พักอีกแล้ว  รู้แต่ว่าไม่พักเกิน 500 บาทนะ  ตอนแรกกะจะนั่งสองแถว  ก็รอนาน  เดินไปเรื่อยๆ ชมบ้านเมืองประเทศลำพูนก่อน   เดินนานเอาเรื่อง  กว่าจะหาที่พักได้

 

 โปรโมชั่น 299 พอดี  ห้องพัดลมกว้างๆ มีทีวีสบายอยู่แล้ว  

 ได้พักผ่อนแป๊บๆก็ต้องเริ่มออกเดินทาง  เดินทางจริงๆ  เดินอย่างเดียวเลยค่ะ55555  เพราะหามอเตอร์ไซค์กับจักรยานเช่าไม่ได้เลย  มีรถตู้ รถสองแถวที่ผ่านมาบ้าง  มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างงี้  แต่ถ้าจะจ้างทั้งหมดก็เปลืองนะ  เดินเล่นไปเรื่อยๆดีกว่า  ไปเที่ยวในแบบของเรานี่แหละ    อันที่จริงลำพูนนี่เป็นเมืองน่าปั่นจักรยานมากเลยนะ  รถไม่ค่อยเยอะ  นักท่องเที่ยวเป็นชาวต่างชาติก็ไม่ค่อยมี  มีความเป็นชาวบ๊านชาวบ้าน  เงียบสงบ

 ที่ที่เราจะมาที่แรกเลยคือ  วัดพระธาติหริภุญชัย  วัดคู่บ้านคู่เมืองลำพูน  ที่ใครๆก็ต้องมาสักการะเพื่อความเป็นศิริมงคล  ถามคนแถวนี้บอกว่ามันไกลนะ  รอรถก็ได้  ประมาณ 3 กิโลแน่ะ  ตอนแรกก็จะรอรถนั่นแหละ  แต่เดินมาเรื่อยๆละจนคิดว่าไม่ต้องรอก็ได้   แดดก็ร้อนเอาเรื่อง  ที่อื่นฝนตกหมด  แต่ลำพูนฝนไม่ตกเลย  แดดเปรี้ยงทั้งวัน

ที่ต้องมาที่นี่ก่อน  ไม่ได้มาไหว้พระอย่างเดียว  แต่ที่นี่มีรถรางด้วย  รถรางรอบเมืองนี่แหละที่จะเป็นที่พึ่งของเราครั้งนี้  ความหวังของการมาลำพูนแบบไม่มีรถส่วนตัวเที่ยว

 สถาปัตยกรรมก็สวยงาม  สงบด้วย เนื่องจากมาวันธรรมดา  คนก็ไม่เยอะเท่าไหร่  ส่วนใหญ่มีแต่คนในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง

 รถรางมีแค่ 2 รอบนะไม่ได้มีตลอดเวลา สิ่งสำคัญมันอยู่ตรงนี้แหละ ต้องตรงต่อเวลาด้วย  เราไม่ทันรอบเช้า ก็ต้องเป็นรอบบ่าย  จอดอยู่บริเวณหน้าประตูใหญ่ของวัดเลย เป็นรถรางนำเที่ยวในเขตเมืองลำพูน  บริการนำเที่ยววัดและสถานที่สำคัญในเขตเมืองลำพูน  เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันจันทร์   รอบเช้า 09.30 น. และรอบบ่าย 13.30 น.  ค่าบริการ เด็ก 20 บาท  ผู้ใหญ่ 50 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท  (ราคาที่ว่าเป็นราคาต่อคนนะ)ไหว้พระ ถ่ายรูปรอไปเรื่อยๆ  รอเวลาขึ้นรถรอบบ่ายโมง  เจอเฉาก๊วยนมสดร้านที่คนซื้อเยอะมาก  เลยลองไปซื้อมั่ง  ได้ยินว่าอร่อยที่สุดในเมืองมนุษย์ด้วย

 คนขายก็อารมณ์ดี  คุยเก่งมากกกกกกกก  เฉาก๊วยก็อร่อย หวานมันมากๆ  กำลังดีไม่หวานมากเกินไป อร่อยกว่าทุกที่ที่เคยกินจริงๆ  แก้วละ 35 บาท  กินเกลี้ยงทั้งแก้วแม้แต่น้ำแข็ง บางที...ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสชาติที่คนซื้อกินเยอะเสมอไป  บางอย่างมันก็อยู่ที่เทคนิคการขายที่คนติดอกติดใจมาก

 เราถ่ายคลิปตอนซื้อเฉาก๊วยมาด้วย  ลีลาการขายของคนขายอยากดูเข้าไปดูในเพจได้นะ  อ่อ...น้องหมาวัดโกลเด้นที่ชื่อหมูปิ้งกับทองขาว หมาไทย 3 ขา  ที่อยู่บริเวณคนขายล็อตเตอรี่ในวัด ถ่ายคลิปมาด้วยนิดหน่อย  น้องหมาน่ารักมาก อย่าลืมไปเล่นกับน้องนะ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์

ตอนแรกก็รอ ร๊อ รอ รอเวลาว่าจะมีคนมาช่วยหารค่ารถรางมั้ย  ถ้าไม่มีก็ยอมเหมาคนเดียว 300 บาทเลยนะ  ไหนๆก็มาถึงแล้วจะต้องขึ้นให้ได้  พอใกล้เวลา มีป้าๆ 3  คน มาจากเชียงใหม่มาช่วยหารค่ารถราง  ต่างคนต่างไม่เคยนั่งเหมือนกันทุกคน  สรุปมี 4 คน ก็คิดคนละ 75 บาท

ไปทัวร์สถานที่สำคัญทั้ง 9 ที่กัน  แต่บางที่รีบๆอาจจะไม่ได้ถ่ายมานะ  ที่แรกก็ลงรูปไปแล้วข้างบน  วัดพระธาตุหริภุญชัย  ที่ต่อไปก็พิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน  ที่บอกเล่าเรื่องราวสำคัญต่างๆในเมืองลำพูน  และมีวิทยากรบรรยายให้ความรู้เพิ่มเติมด้วย  เป็นลักษณะบ้านไม้สมัยก่อน  รวบรวมข้าวของเครื่องใช้ในอดีตและภาพบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลกับ จ.ลำพูนในสมัยก่อน

 จากคำบอกเล่าของคนขับรถรางและเป็นไกด์บรรยายในคนๆเดียวกัน เล่าให้ฟังว่า ที่ลำพูนตอนนี้กำลังนำสายไฟลงดินไปหลายเฟสแล้ว  เพื่ออนาคตจะปรับปรุงให้เป็นเมืองมรดกโลกด้วย  เนื่องจากยังมีวัฒนธรรมที่ยังคงความเป็นชาวเหนืออย่างแท้จริง  เป็นเมืองที่เล็กที่สุดของภาคเหนือ  และเก่าแก่ที่สุดของภาคเหนือ

อนุสาวรีย์เจ้าแม่จามเทวี  ถึงแล้ว  ไหว้ขอพร ขอคู่ตามที่แม่บอกไปสิ ขอไปนิดหน่อย 55555  แต่หลักๆ  ของานเพิ่มจากงานที่ทำอยู่  ขอเงินเพิ่ม  หาเงินง่าย  สรุปขอเงิน5555555

 วัดจามเทวี

อนุสาวรีย์เจ้าแม่จามเทวีกับวัดจามเทวีอยู่คนละที่กันนะ  และดูเหมือนจะไกลกันด้วย  นั่งรถรางมาสักพักก็ถึง

 ที่สะดุดตากลับเป็นเรือนไม้สักสวยๆหลังนี้  ภาษาเหนือเรียกว่า  "โฮงเตื่อมบุญ ต่อป๋ารมี"  ภาษากลางก็แปลว่าโรงต่อเติมบุญบารมี  ทำนองนี้แหละ

 วัดมหาวัน

 แค่รถรางผ่านวัดก็ตะลึงและอึ้งมาก  จนถึงเข้าไปในวัดแล้วก็ตะลึงหนักมากๆ ในความสวยงามอลังการของวัดนี้  ตกใจในความสวยจริงๆ  ไม่คิดว่าลำพูนจะมีวัดที่มีความสวยงามมากขนาดนี้

 กู่ช้าง กู่ม้า   มีความเชื่อว่าเป็นสุสานช้างศึก - ม้าศึก คู่บารมีของพระนางจามเทวี ตามคำบอกเล่า ที่นี่ก็ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเหมือนกันนะ

 เข้ามาแล้วรู้สึกมีความขลังอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ  ด้วยบรรยากาศที่มีต้นไม้ล้อมรอบ  ร่มรื่นเต็มไปหมดด้วยนี่แหละ  มาลอดท้องช้าง 3 รอบตามลูกศรเพื่อขอพรกัน

 วัดพระยืน  มากันไกลเหมือนกัน  มาถึงแล้วรู้สึกร่มรื่นและกว้างขวางมาก  ไกลออกมาก็มีความสงบมากเช่นกัน  สถาปัตยกรรมแต่ละที่ที่เราไปมาไม่เหมือนกันเลย  วัดพระยืนก็เหมือนกัน เราว่าสวยแปลกไม่เหมือนที่ไหนดี  แต่คุณพี่เพื่อนร่วมทางดูรีบไปหน่อย  เดินแป๊บๆก็รีบกลับเลย  ถ้ามาคนเดียวจะมีเวลาอยู่ที่วัดนานกว่านี้  เลือกไม่ได้จริงๆ  เรานั่งรถรางมา  ไม่ได้มีรถส่วนตัวมานี่เนอะ

 กลุ่มทอผ้าวัดต้นแก้ว  เที่ยวไม่ค่อยทั่วอีกแล้ว  เพราะมัวแต่ไปโฟกัสเลือกดูผ้าฝ้าย ผ้าไหม สวยๆ ที่กลุ่มแม่บ้านกำลังทอกันอยู่  เห็นแบบนี้นี่ชอบผ้าไทยมากๆนะ  ไปเที่ยวต่างจังหวัดก็ชอบซื้อผ้าถุงมา  แต่ไม่ค่อยซื้อแพงเท่าไหร่  ซื้อมาพอใส่ได้ก็พอ เพราะผ้าของจริงแพงเกินกำลังซื้อมาก   อยากลองทอบ้าง แต่กลัวทำของเค้าพัง  ลำพูนนี่เป็นอีกเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องทอผ้าสวยเลยแหละ

 ส่วนวัดพระคงฤาษีนั้นเราถ่ายรูปมานิดเดียวแต่ดันหาไฟล์รูปไม่เจออีก  น่าเสียดาย  แล้วเป็นวัดเล็กๆด้วย อย่างที่บอก  เรามีเวลาพอที่จะเดินเที่ยวทั่ว แต่หากไปเป็นกลุ่มคณะอย่างกรณีนี้นี่จะลำบากหน่อย  ป้าๆเค้าขึ้นรถกันหมดแล้ว คงเบื่ออากาศร้อน แต่เราชอบถ่ายรูป  ยังไม่เบื่อ  แต่เกรงใจเลยต้องรีบขึ้นรถตาม  รถรางกลับมาเกือบเย็น  จอดที่วัดพระธาตุหริภุญชัยเหมือนเดิม  กะจะแวะไปกินก๋วยเตี๋ยวลำไยซะหน่อย  ร้านปิดอีก  เลยเดินไปเรื่อยๆ  เวลาไปเที่ยวกินอะไรก็ได้  ถ้าไม่ได้กินไม่เป็นไร  แต่ชอบกินอะไรก็ได้ที่เป็นอาหารข้างทาง  ที่ชาวบ้านในจังหวัดนั้นๆทำ  ไม่ชอบนั่งร้านอาหาร  นอกจากแพงแล้ว ยังดูไม่ค่อยเข้าถึงชาวบ้านและอาหารจังหวัดนั้นๆซักเท่าไหร่

ถึงจะไม่ได้กินอาหารตามลายแทงที่ใครต่อใครก็อยากแนะนำ  แต่อาหารที่ดีที่สุดของเราก็คืออาหารเหนือที่คนท้องถิ่นทำนี่แหละ  ฟินมากกกกก  แกงโฮ๊ะ  ไส้อั่ว แอปหมู  ข้าวเหนียว  ซื้อหิ้วกลับไปกินที่ห้องด้วย  เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว  อยากพัก

 ขามายังเดินได้  ขากลับก็เดินได้  ไม่เห็นเป็นอะไร  ลำพูนดูเป็นเมืองปลอดภัย ไม่อันตรายเลย  ผู้คนก็น่ารักมากๆ ระหว่างทางที่เดินเข้าซอยของโรงแรม  ก็จะผ่านโรงเรียนจักรคําคณาทร จ.ลำพูน   ก็จะเห็นผลงานนักเรียนแบบนี้เต็มรั้วไปหมด

 

 เช้าอีกวันก่อนที่เราจะกลับรถไฟประมาณ บ่ายสามโมง  ก่อนเช็คเอาท์ตอนเที่ยง  เช้าๆก็ไปเดินหาที่เที่ยวก่อน  ซึ่งเล็งๆไว้แล้วเมื่อวานว่าเราจะไปพิพิธภัณฑ์ผ้าไหมของที่นี่  พอดีเดินๆแล้วเมื่อวานเห็นป้ายพอดี  แล้วเดินไม่ไกลด้วย  แต่ก่อนอื่น   หิวแล้วววววววว   มีร้านอยู่ข้างโรงแรมพอดี

 อิ่มแล้วก็ไปต่อ  เห็นป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์บอกว่าเลี้ยวเข้าไป 900 ม.  แต่ไม่แน่ใจเลยเข้าไปถามคนในตลาด  แต่ของกินเยอะดี  ของพื้นบ้านทั้งนั้นเลยด้วย  สายอาหารพื้นบ้านอย่างเราต้องไม่พลาด  ไม่พลาดที่จะเดินดู  ไม่น่ากินอะไรมาก่อนเลย  น่าจะมาหาในตลาด  ของกินเยอะดี  ตลาดนี้อยู่แถวๆวัดสันป่ายางหลวงเลย  เหมือนจะเริ่มจำทางรถรางเมื่อวานได้  ทางก็วนๆอยู่ไม่กี่ที่

 แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความสำคัญของการเป็นนักเดินทางมากกว่าการเป็นนักท่องเที่ยวปกติ คือการที่เราได้เรียนรู้และใกล้ชิดคนในพื้นที่ ได้พูดคุย และได้เห็นความมีน้ำใจแบบที่เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะได้รับมันมาก่อน   คนลำพูน ก็เป็นอีกที่นึงที่เราเจอคนดีมีน้ำใจ ไม่ต่างจากที่อื่นในเมืองไทยที่เราได้เริ่มต้นออกเดินทางคนเดียวมาในหลายๆจังหวัด

  เมื่อเราเข้าไปคุยกับคนในตลาดเป็นภภาษาเหนือ
เรา : พิพิธภัณฑ์ผ้าไหมนี่แหมไก๋ก่อเจ้า
แม่ค้าขายหมูปิ้งกับขุ่นพี่มอไซค์ช่วยกันบิ๊ว
"โอยยยยยย..ไก๋ขนาด ย่างไปแหมไก๋เลย"
เรา : บ่อเป๋นหยัง ย่างได้เจ้า ไปตางนี้แม่นก่อ
ขุ่นพี่ : โอ้ยยยยยย เดวไปส่ง ไปโตยกั๋น กะลังจะปิ๊กพอดี ถ้ากำก่อน เดวๆๆ ไปส่ง มันไก๋!!!!"
พยายามจะบอกว่าสตรองเดินไหว แต่ขอบคุณและเนียนขึ้นเบาะนั่งไปเรียบร้อยแล้ว สรุป ไกลมากจริงๆด้วย ไม่มีรถสาธารณะวิ่งผ่านเลย ขากลับเดินกลับค่ะ ไม่เหนื่อยเลย ขามารู้สึกไกลมาก แต่ขากลับรู้สึกแป๊บเดียว
แต่ที่แน่ๆ คนลำพูนใจดีจังเลย  ภาพเบลอๆหน่อยไม่ได้ถ่ายเป็นภาพนิ่งมา  แต่แคปจากวิดีโอที่ถ่ายไว้มาแทน

 มาซะไกล แต่ที่พิพิธภัณฑ์ไม่ค่อยมีอะไรมาก  มีคนทอผ้าข้างล่างอยู่สองสามคน  เลยขึ้นไปบนอาคารพิพิธภัณฑ์  ถึงแม้จะเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ  แต่ผ้าข้างบนสวยมาก  มีไว้ให้ดู และซื้อได้  แต่ราคาแรงน่าดู   เสียดายที่ข้างบนไม่ให้ถ่ายรูปนะ

 
กลับมารู้สึกกร่อยนิดหน่อย  แต่อย่างน้อยเราก็ได้เห็นน้ำใจงามๆของคนลำพูนที่ใจดีกับเรา  ไม่อยากให้เราเดิน  คงเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยว  มีแต่คนถามว่ามาจากไหน  บอกว่านั่งรถไฟมาจากกรุงเทพ  มีแต่คนไม่เชื่อ  เพราะพูดภาษาเหนือตลอดการเดินทาง  เลยบอกว่าที่จริงแล้วหนูก็เป็นคนเหนือเหมือนกัน  แต่ไปทำงานที่กรุงเทพ


 กลับไปทันเช็คเอาท์เที่ยงพอดี  กลัวกลับไปขึ้นรถไฟไม่ทัน ตั๋วก็ยังไม่ได้ซื้อ เลยรีบไปรอก่อนเป็นชั่วโมงๆเลย  แต่ดีกว่าตกรถไฟเนาะ  ค่าตั๋วรถไฟขากลับชั้น 3  ราคา 268 บาท   แป๊บๆ  บ่ายๆหิวอีกแล้ว  เดินหาอะไรกินแถวนี้แหละ  ถ้าเดินไกลคงหาอะไรกินได้เยอะกว่านี้  แต่ไม่ละ  แดดค่อนข้างร้อนเลยลงเอยที่ข้าวซอยเหมือนเดิม  อ้าว!  ทำไมอร่อยกว่าที่เพิ่งกินไปอ่ะ   กินไม่เบื่อเลยอาหารเหนือ  กินข้าวซอยอีกแล้ว

 เหมือนมาเที่ยววันเดียวแล้วกลับนั่นแหละ  หลักๆแล้วคืออยากมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่มากกว่า  เที่ยวแบบหาข้อมูลน้อย เที่ยวแบบไม่มีแผนก็สนุกดีนะ  คราวหน้าจะกลับมาอีก  เพราะอันที่จริง ลำพูน ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติสวยๆอีกเยอะมาก  แต่ที่สำคัญที่สุด การเดินทางและการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆไม่มีที่สิ้นสุด คือการที่เราได้คลุกคลี พูดคุยกับคนท้องถิ่น  และทานอาหารท้องถิ่นนี่แหละ ที่จะทำให้เข้าถึงคนที่นี่มากกว่าการที่เรามาท่องเที่ยวแล้วไม่เคยเปิดใจคุยกับคนแปลกหน้าเลย

อันที่จริงเรามีเพื่อนอยู่ลำพูน และพี่สะใภ้ก็อยู่ จ.ลำพูนด้วย  แต่เรามาแบบงมทาง มาเที่ยวแบบมาเอง  เพิ่งเคยมาเป็นครั้งที่สอง  การมาแบบนี้ที่ไม่ต้องเพิ่งพาใครนี่แหละที่จะสอนอะไรๆเราหลายอย่าง  และเราก็อยากให้คนที่ซักวันนึงใครที่อยากมาลำพูนแบบมาเอง มาแบบประหยัด  มาง่าย และปลอดภัย  โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องเดินทางคนเดียว จะได้มาง่าย  ไม่ต้องกลัวเหงา  คนลำพูนใจดี  มีเพื่อนนั่งรถรางเที่ยว  แล้วทริปลำพูน จะไม่มีวันลำพังแน่นอน เจอกันใหม่รีวิวหน้านะคะ

 สรุปค่าใช้จ่ายฉบับคนไม่ติดหรู   ค่ารถไฟขามา ฟรี!!  ขากลับ 268 บาท  ค่าห้องพัก 299 บาท  ค่ารถราง 75 บาท  ค่ากินนั่นนี่ก็ไม่แพง  รวมๆแล้วก็ไม่ถึงพันหรอก  กินอาหารข้างทาง  20-60 บาท ราคาระหว่างนี้  เที่ยวไหว้พระในลำพูนแบบประหยัด ใครๆก็มาได้  เราชอบเที่ยวทุกจังหวัด ไม่ต้องเป็นสถานที่ยอดฮิตเราก็ไปเที่ยวได้ ยิ่งจังหวัดที่นักท่องเที่ยวไม่เยอะนี่จะเจอแต่คนน่ารักๆเต็มไปหมด ใช้ชีวิตกันแบบช้าๆของจริง  ทุกจังหวัดมีดีในตัวเอง  เราเชื่ออย่างนั้น.....