"แม่เมย" อุทยานแห่งสายหมอก
"แม่เมย" อุทยานแห่งสายหมอก
หน้าฝน มาถึงอีกแล้ว... และคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้พาตัวเองออกไปสัมผัสธรรมชาติ สัมผัสกับไอหมอก นั่งมองวิวภูเขา ได้เห็นต้นไม้ ต้นหญ้าสีเขียวๆ เอาหละ งั้นเก็บกระเป๋าออกไปเที่ยวกัน
วันนี้เราจะพาหลงไปที่อุทยานแห่งหนึ่ง ที่ขึ้นชื่อเรื่องทะเลหมอกสุดอลัง และวิวธรรมชาติที่ทุกคนต้องร้องว้าวออกมา ทันทีที่ได้สัมผัส
"อุทยานแห่งชาติแม่เมย" จ.ตาก อุทยานที่หลายคนอาจจะมองว่าเป็นแค่ทางผ่าน เพราะแค่คิดถึง ระยะทาง,การเดินทาง,เวลา ฯลฯ เชื่อว่าหลายๆคนคงคิดในใจว่า ไปที่อื่นกันก่อนดีไหม 5555+
แต่เชื่อเถอะ ถ้าได้ลองมาสัมผัสสักครั้ง จะรู้ได้เลยว่า มันคุ้มค่ามาก
รายละเอียดการเดินทางคร่าวๆ
- สำหรับใครที่ไม่สะดวกขับรถมาเอง ไม่ต้องกังวลไป สามารถนั่งรถโดยสารกรุงเทพ-แม่สอด มาได้ แล้วมาต่อรถแดง แม่สอด-แม่สะเรียงที่ บขส แม่สอดได้เลย โดยรถแดง จะจอดที่หน้าปากทางเข้าอุทยาน หลังจากนั้นก็ใช้เทคนิคการ โบก โบก โบกก ไปที่อุทยาน
(หน้าทางเข้าอุทยานมีร้านขายของและอาหาร แนะนำให้ซื้อเตรียมขึ้นไปเอง เพราะบนอุทยานไม่มีร้านขายอาหาร)
- สำหรับใครที่ขับรถไปเอง ให้ไปทางเส้นทาง กทม-ตาก ก่อนถึง จ.ตาก จะมีทางแยกซ้ายเพื่อไปแม่สอด-ท่าสองยาง - แม่สะเรียง ตามทางหลวง 105 ถนนเป็นเส้นทางลาดยางตลอด ขับง่าย ไม่ชันมาก
แต่... คนขับห้ามมองวิวเพลินนะ อาจเกิดอันตรายได้ เพราะวิวสองข้างทางมันสวยมากกกกก
เส้นทางแม่สอด รถบรรทุกใหญ่ จะเยอะมากๆ ควรระมัดระวังด้วย
จากปากทางถึงที่ทำการอุทยานฯ ต้องขับรถเข้าไปอีกประมาณ 11 กม. ซึ่งทางช่วงนี้เป็นทางชันขึ้นเขา โค้งหักศอกเยอะมาก (รถเก๋งสามารถขึ้นได้)
ระยะทางโดยรวมทั้งหมด 632 กม เราใช้เวลาขับรถจาก กรุงเทพฯ ถึงอุทยานฯ ประมาณ 10 ชม.
และๆๆๆ แล้ว เราก็ถึงที่ทำการอุทยานนนน (ทำเสียงแอคโค่ว ตื่นเต้นนิดนึง 555+)
ป้ายบอกระยะทางทั้งหมด เห็นมั้ย ไม่ได้โม้นะ
จุดชมวิว และ ลานกางเต็นท์
ม่อนต่างๆ ในอุทยานที่เป็นจุดชมทะเลหมอก และ ลานกางเต็นท์ จะมี 4 ที่
- "ม่อนครูบาใส" อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน ประมาณ 7 กิโลเมตร เป็นจุดกางเต็นท์และจุดชมพระอาทิตย์ตกในตอนเย็นที่สวยที่สุด ที่นี่เหมาะแก่การกางเต็นท์ เพราะลมไม่แรง และสามารถชมทะเลหมอกได้ชัดเจนตอนเช้า
เป็นยังไง บอกแล้ว ไม่ได้โม้ ทะเลหมอกอลังการสุดๆ บรรยากาศนี่ไม่ต้องพูดถึง ฟินมากกกก
ดูซิ คนกับวิว อะไรจะสวยกว่ากัน (55555+)
กางเต็นท์ตรงนี้ บอกได้คำเดียวว่า ...ฟินนน. (แอบยืมเต็นท์พี่เจ้าของเต็นท์ด้วยจ้า)
วิวหน้าเต็นท์นี่มันสุดจริงๆ บอกแล้วว่า คุ้มมมม
- "ม่อนพูนสุดา" อยู่ห่างจากม่อนครูบาใสเพียง 200 เมตร สามารถชมทะเลหมอกได้เหมือนกัน แต่อาจไม่สวยเท่าที่ม่อนครูบาใส และลานกางเต็นท์เล็กกว่าม่อนครูบาใส
- "ม่อนกิ่วลม" เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าที่สวยที่สุดเลย ม่อนกิ่วลมอยู่บนความสูง 940 เมตรจากระดับน้ำทะเล มองเห็นทะเลหมอกปกคลุมหุบเขาเบื้องล่าง มียอดเขาสูงต่างๆ โผล่พ้นสายหมอก
วิวที่ม่อนกิ่วลมสวยมากและลานกางเต็นท์กว้างมาก เป็นอีกม่อนที่น่ากางเต็นท์
ประชันความสวยกันหน่อย อ่ะเริ่มม...
(ทั้ง 3 ม่อน มีห้องน้ำสะอาด และรถสามารถเข้าจอดถึงที่ได้เลย ปลอดภัยหายห่วง พี่เจ้าหน้าที่ใส่ใจนักท่องเที่ยวดีมากๆๆ)
และม่อนสุดท้าย "ม่อนปุยหมอก" หากใครที่ชอบเดินป่า คงต้องรู้จักม่อนนี้
- "ม่อนปุยหมอก" เป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก
การเดินทาง จากตัวอุทยานต้องขึ้นไปอีก 3.8 ก.ม.โดยใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 4-5 ชั่วโมง และต้องพักค้างแรม 1 คืน
หากใครต้องการขึ้นไปที่ม่อนปุยหมอก อาจต้องฟิตร่างกายหน่อย เพราะ3.8 ก.ม.นี้ เป็นทางชันและขึ้นเขาอย่างเดียว มีทางราบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ป้ายบอกระยะทางไปจุดชมวิวต่างๆ
ที่พัก
ที่ทำการอุทยานมีลานกางเต๊นท์ให้บริการหลายจุด หรือถ้าใครไม่ชอบนอนเต็นท์ ที่อุทยานก็มีบ้านพักให้บริการด้วย
ลานกางเต็นท์ที่ที่ทำการอุทยานสะดวกมาก แบ่งเป็นล็อคๆ แต่ละล็อคจะมี โต๊ะสำหรับนั่งเล่น และไฟทางให้
ห้องสุขาและห้องอาบน้ำ สะอาด น้ำไหลแรงดี
ห้องน้ำเพิ่งสร้างใหม่เอี่ยมเลย ,,โอ๊ยย.ปลิ้มสุดๆ
บริเวณที่ทำการอุทยานจะมีลำธารเล็กๆ ให้นั่งชิลๆได้
ระหว่างทาง จะเจอน้องวัว ควาย ที่ชาวบ้าน เลี้ยงปล่อยให้เดินในอุทยาน
ภายในอุทยานมีน้ำตก 2 แห่งที่สามารถ ไปนั่งเล่น ถ่ายรูปได้ คือ
น้ำตกแม่ระเมิง จะอยุ่ระหว่างม่อนพูนสุดากับม่อนกิ่วลม ช่วงนี้น้ำเยอะ น้ำตกจะสวยมากๆ
และน้ำตกชาวดอย น้ำตกนี้ต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 500 เมตร
เส้นทางในอุทยานสวยและสดชื่นสุดๆ
มีหมู่บ้านและโรงเรียนด้วย
และทั้งหมดนี้คือทริปสั้นๆ ที่เราเลือกเดินทางมา เพื่อมาเห็นด้วยตา มาเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เรียนรู้สถานที่ใหม่ๆ
และสิ่งที่เราได้รับ คือ "แม่เมย" เป็นอีกตัวเลือกสำหรับใครที่ชอบภูเขา ชอบป่า ชอบหมอก อยากให้มาสัมผัสด้วยตัวเอง อาจจะระยะทางไกลและใช้เวลาการเดินทางนานสักหน่อย แต่สิ่งที่ได้มัน คุ้มค่าจริงๆ
ปล.. ขอฝากเพจน้อยๆไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยจ้า