โมโกจู

โมโกจู แปลว่า คล้ายฝนกำลังจะตก เป็นภาษกระเหรี่ยง การเดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ที่ผ่านมาจะไปกับคนที่จัดทริป ไม่แบกขาตั้งกล้อง ไม่แบกถุงนอน ไม่ได้แบกของส่วนกลาง แบกกล้องกับเลนส์หนึ่งตัวและเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัว แต่คราวนี้ไม่ใช่ คราวนี้เราไปเพื่อนที่รวมตัวกันขึ้นมา เตรียมอุปกรณ์เดินป่าและอาหารการกินเอง สมาชิกสิบสองคน จ้างลูกหาบสองคนแบกส่วนกลาง ที่เหลือสมาชิกช่วยกันแบ่งกันแบกขึ้นไป การเดินทางเรานัดกันที่บิ๊กซีสะพานควาย ไปถึงสมาชิกก็เดินซื้อข้าวของที่จะต้องใช้ สี่ทุ่มออกเดินทาง ถึงคลองลานตอนตีสี่ตีห้า ตลาดยังไม่เปิด เราก็ต้องหาที่นอน ที่นอนที่ดีที่สุดตอนนั้นก็คงไม่พ้นบนรถตู้ มีคนแนะนำให้ไปนอนหน้าสถานีตำรวจ มีศาลาวินมอเตอร์ไซด์และห้องน้ำด้วย เพื่อนบางคนก็นอนในรถ บางคนก็นอนที่ศาลายุงหามกันไป ฉันนอนในรถ อากาศเย็นมากต้องควักถุงนอนออกมาห่ม หกโมงเช้าเราไปตลาดอีกครั้ง เพือนก็ออกไปซื้ออาหารสดที่จะนำไปปรุง ฉันขอนอนต่อในรถ เพื่อนซื้อของกลับมาพร้อมกับข้าวเหนียวหมูเป็นอาหารเช้าสำหรับวันนั้น เมื่อถึงที่ทำการอุทยาน เราคัดแยกของไว้เ พื่อให้หยิบใช้ง่าย แล้วนำไปชั่งน้ำหนัก ลูกหาบหนึ่งคนแบกของได้20 ก.ก. สองคนก็ได้ 40 ก.ก. แค่ข้าวสารสองถุงก็ 10 ก.ก. แล้ว ที่เหลือก็แบ่งกันแบกแล้วเราก็นั่งรถไถไปแคมป์แม่กระสา แต่มีเพื่อนอีกสามคนวิ่งจากที่ทำการอุทยานไปแค้มป์แม่กระสา ข้างทางเป็นป่าหญ้าและป่าไผ่ ทางชัน ขึ้นบ้างลงบ้าง บางจุดต้องลงเดิน เพราะทางชันมาก กว่าจะถึงแค้มป์แม่กระสาก็สองชั่วโมง ถึงแคมป์แม่กระสาเราต้องเดินเท้าไปแคมป็แม่เรว่า เดินจากแค้มป็แม่กระสาไปแม่เรวาประมาณเกือบสองชั่วโมง ทางเป็นทางราบและป่าไผ่ ระหว่างทางเดินเราพบรอยเสื้อถึงห้ารอย เป็นรอยที่เขาข่วนผื้นไว้แหมือนแมวลับเล็บเท้า ถึงแค้มป์แม่เรวามีลำธารอยู่มีน้ำประกอบอาหาร มีห้องน้ำ เพื่อนๆบางคนอยู่ที่จุดตั้งแค้มป์เตรียมกางเต้นท์และประกอบอาหาร และบางส่วนเดินทางไปที่น้ำตกแม่เรวา และแน่นอนฉันก็ต้องเดินทางไปน้ำตกแม่เรวาด้วย ทางที่เดินไปแม่เรวาเป็นทางราบ เดินประมาณอีก 4 กม. เมื่อไปถึงน้ำตกเพื่อนๆก็ลงไปเล่นน้ำกัน ฉันขอถ่ายรูปน้ำตกแล้วกันไม่ได้เตรียมเสือผ้ามาเล่นน้ำเลย สักสี่โมงเย็นเราก็เดินกลับที่พัก มาถึงเพื่อนก็เตรียมสุกี้ไว้ให้เรากินแล้ว แต่ว่าเราหันไปเห็นไก่ย่างแล้วน้ำลายไหล สุุกี้เราก็กินมันก็มีทั้งหมูทั้งไก่ ไข่ ผัก เต้าหู้ แต่ตาเราก็มองไปที่ไก่ย่างกันทุกคน กินอาหารเสร็จ เราเตรียมอาหารสำหรับพรุ่งนี้ รวนหมู ย่างหมู และเพื่อนเราเตรียมอาหารหวานไว้คืนนี้คือฟักทองบวช อาหารคลีนๆ ดีกินให้ถ่ายซะวันนี้พรุ่งนี้ข้างบนไม่มีห้องน้ำ ก็เป็นไปตามคาดเช้าก็เรียบร้อย เตรียมอาหารเสร็จก็กินยาแก้อักเสบแล้วนอน คืนแรกนอนหลับสบายอากาศกำลังดี เช้าวันรุ่งขึ้นมีคนตื่นมาตัดไม้ไผ่แต่เช้าเหมือนเป็นการปลุก แต่ว่าอากาศมันดีๆ ขออีกนิดนะ กว่าจะลุกออกจากเต็นท์ก็7โมงแล้ว สะดุ้งเพราะเขาบอกว่าให้ออก8 โมง ตืนมาเพื่อนก็ทำอาหารไว้แล้ว วันนี้มีกุนเชียงทอด ผัดผัก นำ้พริกแห้ง ผัดผักกูดและเตรียมอาหารกลางวัน ผัดกระเพราหมูและกุนเชียงทอด เจ้าหน้าที่บอกว่าของที่ไม่จำเป็นและชุดที่เปียกไม่ต้องเอาขึ้นไป เอาเฉพาะของที่จำเป็นไป กว่าจะได้ออกเดินทางกันก็ 9 โมง ร้อนซิครับ ป่าแรกก็ป่าไผ่เลย เดินขึ้นเนินมาไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดหายใจ เหนื่อย ร้อน ระหว่างทางบ่นกับตัวเองว่าเอาขาตั้งมาทำไม ในใจก็คิดอยากจะเดินย้อนกลับเอาไปไว้ที่แม่เรวา แต่กว่าจะเดินกลับแล้วเดินขึ้นมาใหม่ก็เสียเวลา แต่เจ้าหน้าที่ได้ยินที่เราบ่น แล้วบอกว่า ขาตั้งฝากผมก็ได้ครับ เหมือนสวรรค์มาโปรด ยกให้ทันใด ป่าไปมีสองป่า คือป่าไผ่ลำใหญ่และป่าไผ่ลวกจะเป็นลำเล็กๆ กว่าจะผ่านไปได้เล่นเหงือตกไปตามๆกัน พ้นจากป่าไผ่เราก็พบป่าต้นไม่เล็กๆ แต่มีทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ จำไปได้ว่าชื่ออะไรบ้าง แต่ช่วงแห่งความชันมีชื่อตลอดการเดินทาง ทางราบน้อยมาก นานๆเจอที ทีเชียงดาวทางราบยังเยอะกว่ามาก คนที่กลัวความสูง และไม่เคยขึ้นทางชันก็จะกลัวและเดินขึ้นได้ช้า ส่วนฉันก็อาศัยต้นไม้ข้างทางนั้นแหละดึงตัวเองขึ้นไป กว่าจะถึงคลองหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งน้ำก็เที่ยงกว่าแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าถึงคลองหนึ่งเราก็เดินมาได้70 %แล้ว เรากินข้าวและเติมน้ำที่นี่ แต่ไม่ต้องเอาไปเยอะ เพราะจะมีแหล่งน้ำอีกที่คลองสอง ช่วงคลองหนึ่งไปคลองสองทางชันมาก ชันกว่าทางที่เราเดินขึ้นมาอีกและไม่ค่อยมีทางราบเลย ระหว่างนี้เองเราได้เจอมะนาวโห่ ลูกเหมือนส้มโอ มีรสเปรี้ยว และผลอื่นๆซึ่งกินไม่ได้สักอย่าง เมื่อถึงคลองสอง เราต้องช่วยกันแบกน้ำขึ้นไปเพื่อใช้ประกอบอาหาร ซึ่งจะมีขวดทิ้งไว้ให้เรา แต่พอไปถึงจริงๆ ไม่มีขวดให้เราแล้ว เราจึงแบกเฉพาะขวดของเราขึ้นไป เมื่อเดินทางขึ้นไปเรื่อยๆ เราพบกับเตนท์ที่ตั้งแค้มป์อยู่ ตอนนั้นรู้สึกว่าถึงสักที แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะเต้นท์ที่ตั้งอยู่ไม่ใช่กลุ่มเรา ต้องเดินขึ้นไปอีก พอไปถึงเพื่อนๆก็ตั้งเต้นท์ ก่อไฟหุงข้างรอเราแล้ว ถึงประมาณสี่โมงครึ่ง นอนพักสักครู่ห้าโมงเราก็ต้องเดินขึ้นไปจุดชมวิว เราเดินขึ้นไปด้วยความเหนื่อย พอไปถึงเนินแรกก็มองหาหินเรือใบ แต่เอะทำไม่มีเห็นแต่เนินเขา เจ้าหน้าที่บอกว่าเราต้องเดินข้ามเนินนั้นไปอีก ก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ วิวสวยๆค่อยเก็บภาพและความรู้สึก ขึ้นหินเรือใบตอนเย็นสักครั้ง แล้วเราก็นั่งดูพระอาทิตย์ตกกัน เมื่อตะวันลับขอบฟ้าเราก็ค่อยๆเดินกลับที่พัก แล้วก็ประกอบอาหารกินกัน มื้อนี้เรามีไข่เจียวหมูสับ ต้มยำหมูยอ กระหล่ำปีทอดน้ำปลาหมูย่างกับน้ำจิ้มพริกแห้งย่างและโครกสดบนดอย อร่อยสุดๆ ของหวานเราก็มีน้ำขิงต้ม ระบายท้องอย่างดี แถมด้วยถั่วเขียวต้มน้ำตาลแต่เราไม่่ได้กินเพราะเราขึ้นไปถ่ายดาว ตอนแรกก็เข้าเต้นท์จะนอนแล้วแต่มีเพื่อนจะขึ้นไป เมื่อยมากๆเจ็บเข่าก็เจ็บ แต่สุดท้ายมันยังไม่หลับ ก็ลุกไปถ่ายดาวเลยดีกว่า ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วขาตั้งก็เอามาอย่าให้พลาดโอกาส ขึ้นไปข้างบนตอนแรกก็อากาศเย็นสบายๆ ดาวข้างบนสวยมีแสงจันทร์หน่อย ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงิน ดาวสีขาวๆ ลมไม่ค่อยแรง ขึ้นไปถึงเนินแรกก็ว่าจะถ่ายแค่ตรงนี้ แต่คิดไปคิดมา มาโมโกจูถ่ายดาวแต่ไม่ถ่ายกับหินเรือใบก็ไม่ใช่โมโกจูซิ ถ่ายที่ไหนก็ได้เราจึงตัดสินใจเดินต่อเพื่อไปถ่ายดาวที่หินเรือใบ ระหว่างทางเจ้าหน้าที่บอกว่าเห็นตาอีเหนไหม เห็นแวบหนึ่ง เจ้าหน้าที่บอกว่าอยากถ่ายรูปไหม ก็อยากนะแต่ว่าเลนส์นี่คงซูมไม่ถึงก็เลยให้เพือนนำหน้าไป แต่พอไปถึงอีเหนก็ไปแล้ว เราก็เดินไปเรื่อยๆเมือถึงหินเรือใบน่าเสียดายที่ช้างมีแต่หางนิดเดียว แถมยังห่างจากหินเรือใบมาก หามุมถ่ายอยากมาก และพื้นที่ก็แคบด้วย สักพักเราก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความหนาวต้องลงกันแล้ว กลับมานอนคืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับเห็นหลังมากๆ ตีห้าเพื่อนลุกมาหุงข้าว ตีหน้าครึ่งเราก็เดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เดินไปถึงเนินแล้วกำลังจะถ่ายรูปลืมแบตเตอรี่ ตอนแรกก็ว่าจะเก็บไว้แค่ความทรงจำ แต่นั่งได้ไม่นานก็ตัดสินใจลงมาเอาแบตเตอรี่ เดินแบบลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ และเมื่อได้ถ่ายรูปก็สึกไม่เสียแรงที่เดินลงไป เราเก็บภาพและความรู้สึกตอนพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว สักเจ็ดโมงเช้าเราก็ต้องเดินลงไปกินข้าว เมื้อนี้เรามีผัดมาม่าและต้มจืด เราเตรียมอาหารระหว่างทางด้วยคือ ข้าวกับน้ำพริกแห้งและขนมปังปิ้ง เพราะเที่ยงเราคงยังไม่ถึงแค้มป์แม่เรวาแน่นอนดูจากสภาพร่างกายของตัวเอง และก็เป็นอย่างที่คาด เราลงจากที่พักตอนเก้าโมงเช้า การเดินลงของคนอื่นหันหน้าลง แต่สำหรับฉันต้องเดินถอยหลังลง ตอนแรกก็ใช้เท้ายันแล้วหันหลังลง แต่มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกให้ยื่นปลายไม้เท้าให้ พอเรายื่นให้เจ้าหน้าที่ก็จับให้แล้วให้เราถอยหลังลง จนถึงคลองสอง ทางราบกับเนินขลุขละเราก็เดินเอง ทางชันแต่เรียบเราก็ยื่นไม้ให้เพื่อนแล้วถอยหลังลง ถอยหลังลงแปดกก.เจ้าหน้าที่ต้้งให้ เราพักกินข้าวเที่ยงที่จุดมีสัญญาณมือถือ โชคดีที่เจอเพือนที่แบกน้ำพริก ไม่อย่างนั้นเราคงได้กินข้าวเปล่ากันแน่ๆ เพื่อนเราบางคนก็เจ็บเท้า บางคนก็เจ็บเข่าเหมือนกัน คนที่เจ็บเท้า เจ้าหน้าที่ช่วยแบกกระเป๋าให้เพื่อให้เราเดินทางได้เร็วขึ้น ส่วนฉันเพื่อนช่วยแบกถุงนอนและขาตั้งฝากลูกหาบไป เดินมาเรือยๆจนถึงป่าไผ่ลวกก็มีเจ้าหน้าที่มารับกระเป๋าคนที่เจ็บเข่าและของเราไป ก่อนถึงแคมป์แม่เรวา ตอนนั้นรู้สึกโล่งมาก แต่เราก็ยังต้องเดินต่อไป ถึงแคมป์แม่เรวาเจ้าหน้าที่บอกให้เราเอาเท้าไปแช่นำ้จะทำให้รู้สึกดีขึ้น อยากจะแช่ทั้งตัว แต่ได้แค่เท้า แช่เท้าตรงที่น้ำไหลเย็นๆรู้สึกผ่อนคลายมากๆ ห้าโมงเราก็ต้องเดินทางต่อแล้วเดินจากแค้มป์เรวาไปแค้มป์แม่กระสาใช้เวลาชั่วโมงกว่า ได้แผ่นตาเสือแปะที่ขาจากเพื่อน ช่วยได้มาก เดินสบายขึ้น เราเดินผ่านป่าไผ่ตอนแรกก็เห็นหลังคนข้างหน้าสักพัก หายไปไหนก็ไม่รู้แล้วเราก็เดินห่างจากเพื่อนข้างหลังมากขึ้น เหลือกันสามคน แต่ก่อนที่จะเหลือกันสามคน คนข้างหลังตะโกนบอกว่าอีกสองร้อยเมตรถึง แต่เราว่าเราเดินเกินสองร้อยเมตรก็ยังไม่ถึงที่หมาย ก็เกิดอาการหลอนกันเอง ว่าหลังทางหรือเปล่า แต่ระหว่างทางเดินมันไม่ทางแยกเลย คิดว่ายังไงก็ไม่น่าหลง บางคนบอกว่าหยุดรอข้างหลังก่อนไหม แต่เราหยุดไม่ได้ถ้าหยุดแล้วเส้นยึดแน่ๆ ก็เดินไปเรือยๆ จนถึงที่หมายคือแค้มป์แม่กระสา พักสักครู่เราก็ขึ้นรถไถกลับ กว่าจะถึงทีทำการอุทยานก็สองทุ่มกว่า ระหว่างทางเราก็คุยเรื่องที่เราได้พบเจอมาตลอดการเดินทาง ฉันก็มองข้างทาง มองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตก จนดาวขึ้นบนท้องฟ้า อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ถึงที่ทำการอุทยานโดยสวัสดิภาพ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนในทริปนี้ที่ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เพื่อนทุกคนกินง่ายอยู่ง่ายกันทุกคน มีน้ำใจให้กันและกัน ขอบคุณเจ้าหน้าที่อุทยานแม่วงก์ที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ปล.บอกว่าจะไปที่นี้ครั้งเดียว ไม่ไปอีกแล้วเจ้าหน้าที่บอกว่าแม่วงค์อาถรรถ์นะใครบอกว่าจะไม่มา เดียวก็ต้องมาอีก ขนาดเจ้าหน้าที่ออกไปแล้วยังกลับมาอีกเลย เอ่อหลอกหนูป่าวเนี่ย