เดินป่าตะลุยถ้ำลำคลองงู ฉบับว่ายน้ำไม่เป็น ใส่เสื้อชูชีพยังว่ายไม่ไป ด้วยงบ 20,000 บาท
แต่การทำในสิ่งที่รักมันก็ต้องเจ็บกันบ้าง! คงไม่มีอะไรในชีวิตง่ายไปหมดทุกอย่าง รีวิวนี้จึงเขียนด้วยน้ำตา ตอกย้ำและสมน้ำหน้าความไม่รอบคอบของตัวเอง (ใส่เสียงสะอื้น) เผื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีแพลนจะไปเที่ยวลำคลองงูในปีถัดไป เปิดรีวิวได้ดราม่ามาก
* รีวิวนี้เจ้าของรีวิวเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
** เดินทางเข้าไปในพื้นที่เมื่อวันที่ 22-23 เมษายน 2560 (เดินทางคืนวันที่ 21 เมษายน 2560)
*** รูปภาพในกระทู้นี้ถ่ายโดย Gopro 4 และกล้องพี่ๆ ในทริป ใช้ Application VSCO, Phonto ในการแต่งรูปและใส่ลายน้ำค่ะ
****เหตุการณ์ในรีวิวเป็นเรื่องจริง เจ็บจริง ไม่มีคนเจ็บแทน
มารู้จักลำคลองงูแบบโดยสังเขปกันก่อนอุทยานแห่งชาติลำคลองงูมีจุดท่องเที่ยวหลายจุด ที่เราจะไปคือ หน่วยพิทักษ์ฯ เขาพระอินทร์ เส้นทางศึกษาธรรมชาติแหล่งท่องเที่ยวถ้ำเสาหิน และถ้ำนกนางแอ่น เส้นทางนี้จะได้เดินป่าใส่เสื้อชูชีพ โดดน้ำ ลอดถ้ำ เพื่อเข้าไปชมความงามของหินงอกหินย้อย และเสาหินขนาดใหญ่ที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งเปิดให้เข้าท่องเที่ยวระยะเวลาสั้นๆ เพียง 2 เดือนเท่านั้น (เดือนมีนาคมและเมษายน) โดยต้องติดต่อจองทริปล่วงหน้าเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ต้องจัดเตรียมอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ในการพาเข้าชม เส้นทางนี้ใช้ระยะเวลาในการท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติ 2 วัน 1 คืน เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย
ติดตามข่าวสาร กฎระเบียบในการจองทริป ขั้นตอนการเตรียมตัว และการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่
Facebook: อุทยานแห่งชาติลำคลองงู
เบอร์โทรศัพท์ของสำนักงานไม่ใช่เบอร์ฯ ที่ใช้จองทริปนะคะ: 0849132381
ภายในที่ทำการ (หน่วยพิทักษ์ฯ เขาพระอินทร์) ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ถ้าจะสอบถามข้อมูลการเดินทางแนะนำว่าหาไว้ล่วงหน้า หรือเข้าไปใน Facebook ของอุทยานฯ มีข้อมูลการเดินทางอยู่ค่ะ
การเตรียมตัวทริปนี้ไปกับ เพจแชร์ทริปเที่ยว ต้องขอบคุณพี่โอ๊ตผู้จัดทริปมากๆ กว่าจะได้ทริปนี้มาโทรฯ ไป 800 กว่าสาย! และให้ที่คนว่ายน้ำไม่เป็นอย่างเราไปด้วย
1. เต็นท์และอุปกรณ์การนอน ถ้าไม่มีเช่าได้
2. ยาและของใช้ส่วนตัว (เพิ่มเติม...ใครที่ขาดคิ้วไม่ได้ก็เลือกที่เขียนคิ้วแบบกันน้ำไปนะคะ!)
3. เสื้อผ้า ต้องลุยน้ำทั้งสองวัน ใส่ชุดเดิมก็ได้แต่เราเปลี่ยน กางเกงเป็นขายาวไว้ก่อนจะดีมาก เพราะระหว่างเส้นทางมีการปีนป่าย ลอยน้ำ หินบางช่วงคมกลับมาขาเขียวไปหมด ส่วนเสื้อแขนยาวแบบบางๆ ก็น่าสนใจ อากาศร้อนค่ะอยากเดินสบายก็ใส่แขนสั้น แต่ยุงเยอะคันไปทั้งตัว ใส่แขนยาวทนร้อนเอาหน่อยปลอดภัยดี อย่าลืมว่าเราต้องใส่เสื้อชูชีพด้วย ทำให้เพิ่มความร้อนไปอีก
4. ไฟฉายแบบคาดหัวสะดวกสุด เพราะมือต้องใช้เกาะเชือก ปีนหิน ยิ่งคนว่ายน้ำไม่เป็นทำมือให้ว่างไว้เป็นดีที่สุด เผื่อใช้เกาะหลังคนอื่นไป ฮ่าๆ เลือกแบบที่โดนน้ำแล้วไม่พังง่าย
5. ยากันแมลง ขากลับเหนื่อยจนต้องหยุดพักไปตามทาง ช่วงที่พักเนี่ยแหละทั้งยุงและแมลงตัวเล็กๆ ก่อกวนมาก ยังไม่ทันหายเหนื่อยจำใจเดินต่อเพราะโดนกัดคันมาก
7. กระเป๋ากันน้ำและซองกันน้ำ กันน้ำเข้านะไม่ใช่กันน้ำออก!
8.เสื้อชูชีพ อยากใช้ส่วนตัวเอาไปเอง สำหรับคนที่ไม่มีทางเจ้าหน้าที่จัดหาให้ยืมค่ะ
9.กล้อง ถ้ามี Action Camera กันน้ำได้ก็ลุยโลด ส่วนเรามีแต่กล้อง mirrorless หาซองกันน้ำไม่เจอ ไม่อยากหยิบเข้าหยิบออกกลัวโดนน้ำเลยไปเช่า Gopro มาวันละ 350 บาท พร้อมอุปกรณ์ นี่เรามาถึงจุดที่มีร้านเช่ากล้องแล้ว! ร้านที่เราเช่า Gopro by bigbaby แม่ค้าน่ารักมาก ใช้ไม่เป็นก็สอนให้ นัดรับของมาตรงเวลา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวงบน้อยแบบเรา
10.รองเท้า แบบที่ใส่เดินลุยน้ำ เดินบนหินคมๆ ได้ จะดีมากค่ะ เลือกแบบที่มีดอกยางยึดเกาะได้ดี เห็นเจ้าหน้าที่ที่เป็นไกด์นิยมใส่นันยาง อย่าลืมว่ารองเท้าเป็นสิ่งที่อยู่กับเราตลอดในการเดิน
เพิ่มเติม...11. ร่างกายที่แข็งแรงจำเป็นมาก จากการพูดคุยเจ้าหน้าที่บอกว่ามีคนเดินไม่ไหวแทบทุกสัปดาห์ บางเคสกว่าจะออกมาได้เกือบเที่ยงคืน เราเองก็พลาดตรงที่ไปโฟกัสเรื่องว่ายน้ำไม่เป็น ดูข้อมูลภายในถ้ำและการกระโดดน้ำจนไม่ได้สนใจช่วงที่เดินป่า ไม่ได้เตรียมร่างกายมาล่วงหน้า ทางชันกับอากาศร้อนเหนื่อยเอาเรื่องค่ะ เพราะฉะนั้นนอกจากใจสู้แล้วร่างกายต้องไหว ร่างกายที่แข็งแรงทำให้ทริปนี้สนุกขึ้นมากค่ะ
วันแรก: เส้นทางสู่ถ้ำเสาหินที่สูงที่สุดในโลกกลุ่มเราออกเดินทางจากปั๊มน้ำมันตรงบีทีเอสอุดมสุข 23.00 ถึง จุดกางเต็นท์ประมาณตีห้า อากาศตอนเช้ามืดหนาวพอให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบเนื่องจากไม่ได้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวมาเลย เราเป็นคนขี้หนาว ไขมันที่สะสมไว้อาจจะเป็นของปลอมเพราะไม่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย จุดกางเต็นท์มี 2 จุด คือบริเวณใกล้ที่ทำการและโรงครัวซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปกางเต็นท์ตรงจุดนั้น เดินเลยไปอีกทางมีจุดกางเต็นท์อีกหนึ่งจุด ห้องน้ำแยกชาย-หญิง มีที่จอดรถ คนน้อยกว่าจุดแรก เราพยายามอ่านชื่อจุดกางเต็นท์มาแต่ป้ายก็ช่างเลือนลางเหลือเกิน น้ำที่นี่สีจะออกขุ่นๆ หน่อย รับรองว่าปลอดภัยเข้าปากแล้วไม่ตาย ใช้ล้างหน้าแปรงฟันได้
เราจัดการกางเต็นท์ ล้างหน้าแปรงฟันเตรียมตัวไปทานข้าวที่ทางอุทยานฯ ได้เตรียมไว้ให้ ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าห้ามประกอบอาการเองหรือเปล่า จากที่เราเห็นทุกกลุ่มทานอาหารที่ทางอุทยานฯ เตรียมให้มื้อละ 100 บาทต่อคน ทั้งหมด 5 มื้อ เติมข้าวและกับข้าวบางอย่างได้ไม่อั้น (เมนูปลา ไก่ทอดอาจจะเติมไม่ได้ ลองสอบถามดูค่ะ)
ได้เวลานัดหมายทางเจ้าหน้าที่จัดพี่ไกด์ประจำกลุ่มให้กลุ่มละ 3 คน (ไกด์ 3 คนต่อ นทท. 10 คน) มีรถกระบะพาเราไปยังจุดเริ่มเดิน ห่างจากที่ทำการ 20 กิโลเมตร
ระหว่างทางนั่งสอบถามข้อมูลเจ้าหน้าที่ไปเรื่อยๆ คำถามส่วนใหญ่เกี่ยวกับน้ำล้วนๆ เพราะเราว่ายน้ำไม่เป็นไงจึงกังวลมาก พอได้ข้อมูลมา ณ จุดๆ หนึ่งรู้สึกว่าต้องการกำลังใจจากพี่เจ้าหน้าที่ล่ะ อย่างน้อยๆ อยากได้ยินว่าเราสามารถทำได้ จึงบอกพี่เจ้าหน้าที่แบบโลกสวยไปว่า...
ทำเสียงเหมือนนางงามตอบคำถามแป๊ป! อะแฮ่ม!
"คือว่าหนูว่ายน้ำไม่เป็นค่ะก็เลยมาที่นี่ เพราะคิดว่าที่ลำคลองงูน่าจะทำให้หนูกล้าทำในสิ่งที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้มากขึ้น"
พี่เจ้าหน้าที่สวนกลับมาอย่างรวดเร็ว "โอ๊ยยยย น้องคิดผิดแล้วล่ะ" อวสานโลกสวยของจริง
ไฮไลท์ของวันนี้คือเสาหินธรรมชาติที่สูงที่สุดในโลก เส้นทางเดินป่า+เข้าถ้ำสลับลงน้ำ (ถ้ำมืด) ระยะทางไปกลับประมาณ 4 กิโลเมตร มีจุดกระโดดน้ำ 2 จุด กระโดดหรือไม่กระโดดก็ได้ เส้นทางการเดินไปและกลับใช้เส้นทางเดียวกัน ใช้ระยะเวลาในการเดิน+เข้าถ้ำเกือบทั้งวันเปิดประตูรถลงมาสิ่งที่อาจทำให้ปวดหัวคือเสียงจั๊กจั่น มีเยอะและเสียงดังมาก จุดจอดรถมีห้องน้ำ
ป้ายที่เขียนคำว่า 'อลังการปห่งลำคลองงู' แนะนำให้แวะถ่ายก่อนเลยค่ะ ถ้าอยากได้ภาพแบบร่างกายและหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าไม่สะดวกถ่ายตอนเดินกลับมาก็ได้ เพราะยังไงต้องกลับทางเดิมอยู่แล้ว แต่! สภาพก็จะยับเยินหน่อยๆ
ระหว่างเดินรู้สึกเหมือนโดนฉีดสเปรย์น้ำแร่มาที่ใบหน้าไม่ต้องตกใจนะคะฝนไม่ได้ตก แต่เป็นฉี่จั๊กจั่นซึ่งมันเหมือนโดนฉีดสเปรย์น้ำแร่จริงๆ ละอองฉี่งานละเอียดมาก คราบจั๊กจั่นตามใบไม้ต้นไม้เต็มไปหมด ไม่แปลกใจเลยทำไมเสียงพวกมันช่างอื้ออึงปวดแก้วหูขนาดนี้
อากาศหนาวเมื่อเช้าเป็นสิ่งหลอกลวง ช่วงกลางวันอากาศร้อนบวกกับใส่เสื้อชูชีพด้วยเดินกันเหงื่อท่วม ใส่ชูชีพเดินลำบากนิดหน่อยถอดออกมาถือก็ได้แล้วแต่สะดวกค่ะ ช่วงแรกเป็นป่าไผ่ เดินสบายเป็นเนินลาดลงไม่ชันมาก ระหว่างทางก็ยังโดนฉี่จั๊กจั่นอยู่เรื่อยๆ
สักพักจากป่าไผ่จะเปลี่ยนเป็นทางหิน ทางลงและชันพอสมควรต้องค่อยๆ เดิน ทางบางช่วงต้องใช้มือในการเกาะหินพยุงตัว ทำมือให้ว่างไว้ทั้งสองข้างทำให้เดินสะดวกขึ้นมาก
พวกเราเดินลงเรื่อยๆ ยังสบายอยู่ค่ะไม่มีอาการอะไรมากนอกจากหยุดเดินแล้วขาสั่น (แค่เดินลงจนขาสั่นเอง ^^) แล้วก็คิดได้ว่าต้องกลับทางเดิมนี่นา! หันหลังมองขึ้นไปบนทางที่ต้องกลับได้แต่พูดเบาๆ ว่า 'ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคต'
ทางลงสิ้นสุดที่น้ำตก ใครอยากซ้อมกระโดดน้ำเล่นๆ จุดนี้สามารถซ้อมได้ จุดซ้อมตรงนี้ลื่นหน่อยต้องหาจังหวะดีๆ หรือไม่ก็นั่งพักเตรียมตัวเข้าถ้ำค่ะ ขากลับเราจะแวะจุดนี้อีกครั้งเพื่อกินข้าวเที่ยง
บางช่วงเป็นทางเดินแคบๆ มีเชือกให้จับต้องเดินไปด้วยความระมัดระวัง
เราหยิบแต่กล้องโกโปรไปส่วนกล้อง mirrorless และของที่โดนน้ำไม่ได้วางไว้ก่อนลงน้ำขากลับๆ ทางเดิม
...ปากทางเข้าถ้ำ...
ภายในถ้ำมืดมีกลิ่นฉุนของขี้ค้างคาว ถ้าใครนึกไม่ออกกลิ่นคล้ายเวลาเรากินผลไม้ดองแล้วมันขึ้นจมูก กลิ่นประมาณนั้นแต่เบากว่า ภายในถ้ำมืดไฟฉายส่วนตัวจำเป็นมาก คนว่ายน้ำไม่เป็นต้องมาลงน้ำที่อยู่ในถ้ำมืด มองไม่เห็นข้างล่างรู้สึกใจบางๆ ได้แต่บอกเพื่อนร่วมทริปว่าอย่าทิ้งกันนะ แต่สิ่งที่บอกกับตัวเองไว้ตลอดว่าจะไม่ทำเป็นอันขาดเลยคือ จะไม่อ้าปากกินน้ำที่มีส่วนผสมขี้ค้างคาวเด็ดขาด!
จากนั้นก็ลอยคอไปเรื่อยๆ ตามที่ไกด์บอกน้ำเย็นมาก เราใส่ชูชีพแต่ยังว่ายไม่ไป อาศัยเกาะคนในทริป เกาะผนัง เกาะเชือกไปตามระยะทาง มันไม่น่ากลัวอย่างที่คิดกลับสนุกไปเสียอย่างนั้น ลอยคอในน้ำ ขึ้นมาปีนหินเดินลัดเลาะไปในความมืด และก็ลงไปลอยคอต่อสลับกันไปแบบนี้ บางช่วงอาจจะต้องใช้แรงถีบหินจากขาเพื่อพุ่งไปข้างหน้า บางช่วงน้ำแรงมีเชือกให้จับ ไม่ต้องกังวลบอกไกด์ประจำกลุ่มไว้ก่อนเลยว่าเราว่ายน้ำไม่เป็นนะ ไกด์ไม่เคยลืมเราเลย จับผนังถ้ำแล้วเจอฝุ่นๆ ไม่ต้องตกใจก็แค่ขี้ค้างคาว เป็นของธรรมชาติสามารถจับได้... จนเราเข้ามาถึงเสาหินไฮไลท์ในวันนี้ ของจริงสูงมาก 62.5 เมตร ประกอบกับในถ้ำแสงน้อยและส่วนใหญ่กล้องที่ถือมาก็เป็นพวก Action camera ภาพที่ได้ก็จะเบลอๆ ไม่สวยอลังการเท่าเห็นด้วยตาเปล่า
อาจเป็นเพราะธรรมชาติต้องการให้คนเข้ามาเห็นความสวยงามนี้ด้วยตาตัวเอง.... อ่อ รสชาติน้ำขี้ค้างคาวก็ไม่ได้เลวร้าย
ตอนกลับออกมาก่อนไปกินข้าวกลางวันทางที่ไวที่สุด คือการ "กระโดดน้ำ" มีคนไม่อยากโดดก็เดินเลาะไปพร้อมไกด์ ซึ่งไม่ใช่เรา! มาแล้วยังไงต้องโดดให้ครบทุกจุด ใครมายืนตรงนี้ถ้าไม่โดดก็ไม่ได้กินข้าว! มองจากข้างล่างไม่สูง พอขึ้นมายืนข้างบนทำไมมันสูงจัง สูงอย่างเดียวไม่พอลื่นด้วย ยืนจับจุดก่อนเลยว่าคนอื่นเขาวิ่งแล้วสปริงเท้ายังไง เพราะมันเป็นชะง่อนหินโค้งๆ ซึ่งถ้าไม่สปริงตัวออกไปหลังอาจจะโดนชะง่อนหินได้
เราฝากของที่อยู่ใน Ocean pack ให้ไกด์ถือลงไปให้ เพราะไกด์พาคนที่ไม่ได้กระโดดเดินเลาะทางไป ทำใจอยู่นานค่ะ คนอื่นๆ เขากระโดดชิวมาก มีเล่นท่า ตีลังกา ส่วนเราได้แต่ยืนขาสั่น พี่ในทริปก็ใจดีมากๆ เตรียมพร้อมหากเรากระโดดแบบสปริงข้อเท้าไม่ได้ จะมีการช่วยผลักและถีบ ขอบคุณค่ะ!
ถึงเวลาที่เราต้องกระโดดแล้ว ค่อยๆ ก้าวถอยหลังและมาร์คจุดสปริงข้อเท้าด้วยสายตาไว้ว่าจะไปกระโดดตรงนั้น ทีมกล้องพร้อม เราคิดว่าท่าเราต้องสวยแน่ๆ รูปออกมาต้องดี โกโปรในมือก็พร้อม หัวใจแทบจะออกมาเต้นระบำข้างนอก พอวิ่งไปถึงจุดสปริงข้อเท้าเท่านั้นแหละ แพร่ด! ลื่นตะไคร่น้ำตรงชะง่อนหินจ้าาาาาาาา ใจนี่หล่นหายไปเลย #แต่เราก็ไม่ตกน้ำเพราะไกด์จับเราได้ทัน คือต้องไปเริ่มใหม่ไง สรุปก็โดดลงมาได้ด้วยดี ไม่ต้องใช้แรงถีบจากใคร! (โปรดดูมือไกด์)
ความรู้สึกเวลาอยู่ในน้ำมันก็จะประมาณนี้...
ว่ายน้ำไปรับ Ocean pack จากไกด์แล้วลอยคอขึ้นฝั่ง เดินลุยน้ำอีกนิดหน่อยก็จะได้กินข้าวแล้ว ^^
มานั่งกินข้าวห่อริมน้ำตก เวลาชิวๆ กินข้าวริมน้ำตกแบบนี้อยากถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไว้ เปิด Ocean pack ออกมาเพื่อหยิบกล้อง แต่! สัมผัสได้ถึงความเปียก วางข้าวเลยค่ะ รีบเททุกอย่างออกมาและก็มีน้ำไหลตามออกมาด้วย! กล้อง mirrorless ตัวโปรดของเราเปียกน้ำชุ่มเลย
ไม่มีผ้าแห้งใดๆ มาเช็ด เพราะทุกอย่างที่ตัวเปียกไปหมด ทำได้แค่แกะแบตเตอรี่และเมมโมรี่ออกไปผึ่งแดดไว้ข้างลำธาร คิดเข้าข้างตัวเองว่าไปออกทริปมาด้วยกันตั้งหลายทริป ทำหลุดมือบ้าง โดนความชื้นบ้าง ยังไม่พังครั้งนี้ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เองที่ไปรับกระเป๋าจากไกด์และว่ายขึ้นมาบนฝั่งมันไม่ได้นานเลย กินข้าวทั้งน้ำตาเป็นแบบนี้เอง...
สิ่งที่อยากแนะนำ กระเป๋ากันน้ำมันกันได้ระดับหนึ่ง ขึ้นอยู่กับวิธีใช้ วิธีพับด้วยเราอาจจะพับกระเป๋าไม่ดี และไม่ป้องกันสิ่งของข้างในให้รอบคอบกว่านี้ ก่อนออกมาจากที่ทำการเพื่อนยื่นถุงซิปล็อคให้แล้วแต่เราปฏิเสธเพราะขี้เกียจหยิบเข้าหยิบออก ใครมีวิธีป้องกันหรือวิธีที่ถูกต้องเมื่อกล้องโดนน้ำมาแล้วต้องทำยังไงแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ
อ่อ...อีกหนึ่งวิธีการป้องกัน มีเพื่อนร่วมทริปเอากล้อง mirrorless ใส่ซองกันน้ำสำหรับกล้องเข้าไปในถ้ำด้วย (คล้ายซองกันน้ำที่ใส่มือถือ) กล้องอยู่รอดปลอดภัยดีแถมได้ถ่ายรูปในถ้ำอีกด้วย
ขากลับโหดร้ายนิดหน่อย กลับทางเดิมเพิ่มเติมคือเดินขึ้น ขึ้น และขึ้น อย่าลืมบวกอากาศร้อนไปด้วย และบวกความเหนื่อยล้าจากการไปตะลุยถ้ำมา น้ำดื่มสำคัญมากใครดื่มน้ำเยอะ แบก 1.5 ลิตรไปเลย
ไกด์ที่นี่ดูแลดีมากๆ ขาเดินกลับเสื้อชูชีพหมดประโยชน์ อาสาถือให้โดยเอามาสวมทับไว้ที่ตัวเอง บางคนถือ 3-4 ตัว เราใส่ตัวเดียวก็ร้อนจะแย่ เลยปฏิเสธไปเพราะเราดูแลตัวเองได้ ยังไม่หมดค่ะ ช่วงป่าไผ่เดินอีกไม่กี่เนินจะถึงจุดขึ้นรถอากาศก็ยังร้อนได้สม่ำเสมอ ไกด์ที่เดินถึงแล้ววิ่งกลับลงมา เอาเครื่องดื่มเกลือแร่แช่เย็นมาให้ ขอบคุณมากๆ ค่ะ
กลับมากินข้าวเย็นที่ทาง อช. เตรียมไว้ให้ ออกไปนั่งคุยกันนิดหน่อยแล้วกลับมานอนพักเพื่อเตรียมตัวไปต่อพรุ่งนี้
วันที่สอง: อลังการถ้ำนกนางแอ่นกับจุดโดดน้ำวัดใจ
เช้ามาความรู้สึกแรกหลังจากลืมตาขยับตัวเล็กน้อยคือปวดไปทั้งตัว คงเป็นโทษทัณฑ์ของมนุษย์หมูออฟฟิศที่ไม่ชอบออกกำลังกาย...
วันที่สอง "ถ้ำนกนางแอ่น" ไฮไลท์คือหินงอก หินย้อยรูปร่างต่างๆ แปลกตา มีจุดกระโดดน้ำ 2 จุด เป็นจุดที่สูงที่สุดในทริป เดินสบายค่ะ เดินไปทางหนึ่ง กลับอีกทางหนึ่ง ระยะทางไป-กลับ 2 กิโลเมตร ถ้ำมีแสงสว่างมีเวลาอยู่ในถ้ำมากกว่าวันแรก แต่ใช้เวลาเพียงครึ่งวันถ้าเทียบกับวันแรก เส้นทางเดินของวันที่สองเบากว่าเยอะ ถึงจะมีทางชันบ้างแต่ไม่หนักเท่าวันแรก แม้ใช้เวลาครึ่งวันแต่น้ำดื่มต้องพกไปให้เพียงพอ
ระหว่างทางชันมีจุดให้พัก คือ จุดชมวิวผานกนางแอ่น...
ปากทางเข้าถ้ำนกนางแอ่นมีป้ายประตูทะลุมิติ ก็คือทางเข้าที่เป็นช่องหินแคบๆ มืดๆ ต้องคลานเข้าไปไม่ต้องกลัวตัวเปื้อนดิน (เดี๋ยวก็ลงน้ำแล้ว) ระวังหัวกระแทกหินและก้นคนข้างหน้า ใครที่เป็นสายย่อก็ผ่านไปได้แบบสบายๆ
พอไปทะลุอีกฝั่งหนึ่งเป็นถ้ำที่งดงามและกว้างมาก คงจะเปรียบว่าสวยเหมือนทะลุมาอีกมิติหนึ่ง
มองไปข้างล่างเห็นคนตัวเล็กนิดเดียว ตรงนี้เราจะโดนนกนางแอ่นขี้ใส่ ไม่ต้องหลบเพราะโอกาสรอดน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้ขี่หล่นมาโดนหน้ากับใส่ปากก็พอ วันแรกน้ำผสมขี้ค้างคาว วันที่สองน้ำผสมขี้นกนางแอ่น นี่แหละ...รสชาติของการเดินทาง ฮ่าๆ
มีชะง่อนหินให้นั่งห้อยขาถ่ายรูปสวยๆ ปนหวาดเสียว ในรูปดูไม่สูงแต่ของจริงสูง ยังไงก็ถ่ายรูปด้วยความระมัดระวังนะคะ
ไกด์กลัวเราไม่เชื่อว่านี่เป็นถ้ำนกนางแอ่นจริงๆ จึงไปจับนกมาให้ดู เย้ย! ไม่ใช่ค่ะ มีนกนางแอ่นบาดเจ็บอยูู่เลยขอไปดูใกล้ๆ
มาถึงจุดกระโดดน้ำจุดแรกของวันนี้ ขอบอกก่อนว่าไม่มีทางลัดแล้ว ต้องโดดเท่านั้น ส่วนตัวคิดว่าโดดง่ายกว่าเมื่อวานยืนปลายหินแล้วโดดได้เลยไม่ต้องวิ่งสปริงเท้า ไม่ลื่น หินช่วงนี้คมรองเท้าที่ใส่มาเลือกให้เหมาะสมนะคะ
ความสูงประมาณนี้...
ไกด์ชะโงกหน้ามาดูว่าเราจะโผล่ขึ้นมาไหม...
จากนั้นลอยคอไปเรื่อยๆ ไกด์แนะนำว่าให้เรานอนหงายและปล่อยให้ตัวลอยไปตามน้ำ ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย สนุกมาก ชมนกชมไม้ไปตามทางเราชอบระยะทางช่วงนี้ที่สุด
แต่! บางจุดมันเป็นแก่งหินตึ้นๆ พะยูนอย่างเราก็เกยตื้นสิคะ เพื่อนร่วมทริปที่ตัวเล็กลอยไปแบบไม่มีอุปสรรค ไกด์คงทนสภาพอันอเนจอนาถไม่ไหวมาช่วยลาก ไม่รู้ว่าช่วยหรือมาแกล้ง ฮ่าๆ
ช่วงนี้กระแสน้ำค่อนข้างแรง คนว่ายน้ำไม่เป็นอย่างเราต้องคอยฟังด้วยว่าไกด์บอกให้ว่ายชิดซ้ายหรือขวา มีไกด์คอยดูตลอดทาง จับเชือกให้แน่นแล้วปล่อยตัวไปตามกระแสน้ำ เราสามารถผ่านมาได้อย่างปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ นอกจากเผลอเอา Gopro ฟาดหัวตัวเอง (ว่ายน้ำไม่เป็นแล้วยังซุ่มซ่าม)
จุดนี้เป็นอีกจุดที่อยากนำเสนอ เป็นปากถ้ำที่มีแสงสว่างส่องเข้ามา ทำให้เห็นหินงอกหินย้อยได้อย่างเต็มที่ อลังการมากๆ ภาพภ่ายเต็มความงามมาได้ไม่เท่าไปเห็นด้วยตาตัวเอง
จากนี้เราต้องเดินและปีนหินคมๆ ไปต่อ เพื่อไปสู่ไฮไลท์ของวันนี้ "หินรูปทรงแปลกตา และจุดกระโดดน้ำวัดใจ" มีบางช่วงที่เป็นทางลาด (รูปด้านล่าง) เป็นดินร่วนๆ ฝั่งซ้ายเป็นเหว
อย่างที่บอกว่าไกด์ดูแลดีมากๆ คอยยืนกันเอาไว้ เผื่อว่าเราจะลื่นและเกิดอุบัติเหตุ
พอเดินมาถึงจุดเราจะได้ยินเสียงกรีดร้องและตามด้วยเสียง 'ซึ่มมมมมมม!'
อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความสยอง และหันไปสบตากับเพื่อนร่วมทริป เราเดินมาใกล้จุดกระโดดน้ำที่สูงที่สุดและเป็นจุดสุดท้ายแล้ว...
ขณะที่เดินไปด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เราก็ผ่านหินเอเลี่ยน หินอนาคอนด้า เหมือนหรือไม่เหมือนลองใช้จินตนาการดูนะคะ ความยิ่งใหญ่ของถ้ำเมื่อเทียบกับขนาดคน ...คนไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรมชาติ...
จุดกระโดดน้ำจุดสุดท้ายกระโดดได้ทีละคน ใครที่ไม่โดดสักทีก็จะได้รับกำลังใจจากเพื่อนๆ ที่ต่อคิวอยู่ด้านหลัง เช่น 'โดดสักทีหิวข้าวแล้ว...' หรือไม่ก็ 'ให้คิดเสียว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรดี ไม่อยู่แล้ว โดดเลย...' เป็นต้น หยอกกันขำๆ เพื่อสร้างสีสันและอรรถรสนะคะ
ส่วนเรา คนว่ายน้ำไม่เป็น ยอมรับเลยว่าจุดนี้ใจสั่นมาก สั่นไปถึงขา แต่ถ้าไม่กระโดดก็จะไม่ได้กินข้าวไง กลั้นใจนิดเดียวเท่านั้น...อย่าชูมือขึ้นเพราะจะทำให้เสื้อชูชีพหลุดได้
...มือเธอเป็นเหมือนพลัง ช่วยผลักดันในวันที่อ่อนแอ...
จุดจบของคนว่ายน้ำไม่เป็น หลังจากกระโดดจุดสุดท้ายต้องว่ายน้ำขึ้นฝั่ง เราก็ให้ไกด์สอนว่ายน้ำ ตีขายังไงก็ไม่ไปสักที ไกด์คงเหนื่อยบอกให้เรานอนหงายแล้วลากไปแบบนี้... 'เหมือนลากท่อนซุงเลย' ไกด์ได้กล่าวไว้...
ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทริปและผู้จัดสำหรับน้ำจิตน้ำใจที่มอบให้กันระหว่างทาง รวมถึงภาพประกอบในการทำรีวิวนี้ด้วยค่ะ
ความคมของหินทำกางเกงเป็นรูแบบนี้เลย ดีที่ใส่กางเกงซับในแบบขานั้นไว้อีกชั้น
ค่าทริป + ค่ากล้อง 20,000 กว่านิดๆ สบายใจ...
สรุปใครที่รักการผจญภัยไม่อยากให้พลาดทริปนี้ ทริปเดียวแต่ได้ทั้งเดินป่า กระโดดน้ำ ชมความงดงามของถ้ำเสาหินและถ้ำนกนางแอ่น ภายในระยะเวลา 1 คืน 2 วัน ถือว่าคุ้มค่านะ
เราชอบเส้นทางถ้ำนกนางแอ่นมากกว่าวันแรก สวยกว่า อาจเพราะมีแสงเยอะมองเห็นหินงอกหินย้อยได้แบบชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามเราต้องไปทั้งสองเส้นทางอยู่ดี กว่าจะจองทริปนี้ได้ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเก็บประสบการณ์จากที่นี่ไปให้คุ้มค่า
นอกจากความสวยงามและความสนุกสนานของเส้นทางนี้ สิ่งที่ทำให้เราประทับใจคือไกด์ที่ดูแล ให้ความช่วยเหลือและยิงมุกตลกๆ ตลอดทริป สำหรับคนว่ายน้ำไม่เป็นมันอุ่นใจมาก ส่วนเรื่องกล้องและอุปกรณ์กันน้ำก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ป้องกันได้ก็ป้องกันไว้ก่อนค่ะ
ข้อเสีย ของที่นี่ก็คงจะเป็นการจองทริปที่กว่าจะโทรฯ ติด และสัญญาณโทรศัพท์ไม่มีทำให้ยากต่อการติดต่อสื่อสาร
หวังว่าการเขียนและข้อมูลจากประสบการณ์ของเราจะเป็นประโยชน์บ้างสำหรับผู้ที่มีแพลนจะไปเที่ยว ขออภัยหากเขียนเยอะไปและรูปน้อย ปีนี้ใครที่จองได้ขอให้ไปลำคลองงูกันอย่างบันเทิงและไม่มีของพัง...
ฝากรีวิวอื่นๆ ด้วยนะคะ Facebool >>> KeepGoing Thailand