Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
ฉั่นเป็นคนสุ้โข่ทัย เลยต้องไปขึ้นเข่าหล่วงซะหนอย (ไปเม้าะ? - ไปเอ๊ง!!!) อุทยานแห่งชาติรามคำแหง/เขาหลวง (Ram Kham Haeng National Park/Khao Luang) จ.สุโขทัย
    • Posts-1
    Paipasu •  December 24 , 2015

    ...ฉั่นเป็นคนสุ้โขทัย ไกลจากกรุงเทพสีร้อยกิโลฯ 
    สุ้โข่ทัยไม่ใหญไม่โต แม้โอ้โห มีแต๊ข่องดีๆ
    ...ฉั่นเป็นลูกพ่อขุ่นราม ชามสั่งคโลกนั่นก็พอมี
    พิพิธพันธ์ของเก๋านานปี ประเพณีงานลอยกระทง
    ...เผ่าเทียนเล่นไฟ พลุตะไลใครเห่นก็งง
    เสี่ยงดังมีพลังขึ้นโด๊ง พอแตกโป้กโค้งลงต๊กดิน
    ...ท่องเที่ยวเมืองสุ้โข่ทัย ได้เรียนรู้ที่หยูที่กิน
    สุ้โขทัยบรรยายไม่สิ้น แม่ม่ายบ้านส่วนทองม้วนบ้านกง

    “เพลงลูกพ่อขุน-ชินกร ไกรลาศ"

    สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของจังหวัดสุโขทัยครับผม เวลาผมหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ผมไม่ค่อยเห็นเกี่ยวกับจังหวัดสุโขทัย ผมเลยมีความคิดอยากจะทำกระทู้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของสุโขทัยขึ้นมาซะหน่อย ตัวผมเองเป็นลูกครึ่งครับ พ่อเป็นคนคุ้งวารี แม่เป็นคนทับผึ้ง ว่าไปนั่น!!! คือคนสุโขทัยแท้แหละครับ แค่ต่างอำเภอเฉยๆ สวรรคโลกกะศรีสำโรง สาเหตุจริงๆมันเกิดจากเวลาผมไปเที่ยวที่อื่นแล้วมีคนถามบ่อยๆว่า “สุโขทัยมีอะไรให้เที่ยวมั่ง” ถึงกับสตั๊นไป 3 วิ นอกจากงานลอยกระทงที่เมืองเก่าที่จัดปีละครั้ง แทบจะไม่เคยไปเลยนี่หว่า ไปก็ตอนเด็กๆแทบจะจำอะไรไม่ได้แล้ว เลยตัดสินใจ เอาวะ!!! ลองเที่ยวจังหวัดตัวเองแบบจริงๆจังๆหน่อย จัดไปซิครับวัยรุ่นนนนนนนนนนนน!!! สถานที่ท่องเที่ยวที่ผมไปอาจจะไม่ครบถ้วนนะครับ เพราะแต่ละที่ก็ค่อนข้างไกลกันพอสมควร เอาเท่าที่ผมสามารถไปได้ก็แล้วกัน ตามกำลังกายและกำลังทรัพย์ ^^ (อันหลังนี้ตัวสำคัญเลยยย...) ที่ที่ผมไปก็มีอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย(เมืองเก่า), อุทยานแห่งชาติรามคำแหง(เขาหลวง), อุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย(ป่าคา) แล้วก็อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยครับ ว่าแล้วผมก็ขอต้อนรับสู่สุโขทัย เมืองเก่า รุ่งอรุณแห่งความสุขครับผมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ^^

    ในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 (จำลอง) ด้านที่ 3 มีความว่า “เบื้องหัวนอนเมืองสุโขไทนี้ มีกุดีพิหารปู่ครูอยู่ มีสรีดภงส มีป่าหมากป่าลาง ป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขพุงผี เทพยาดาในเขาอันนั้น เปนใหญ่กว่าผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขไทนี้แล ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอันบ่คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย คำว่า  “เขาอันนั้น” ในศิลาจารึกนี้ก็คือ “เขาหลวง” ขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งในเส้นทางเดินขึ้นไปพิชิตยอดอันโหดหินของเมืองไทย และยังเป็นแหล่งสมุนไพรชั้นเลิศด้วยครับ มีเยอะแยะเต็มไปหมด

    ที่มา : http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000151453

    วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2558 ผมนัดกับเพื่อนไว้ว่า “เห้ย!!! อยากขึ้นเขาหลวงว่ะ คนโขทัยต้องไปพิชิตเขาหลวงกันสักครั้ง” มันบอก “เอาดิ กูเคยไปมาแล้ว สมัยมัธยม สบาย ชิลๆ” บ้านผมอยู่อำเภอสวรรคโลกครับ ส่วนเพื่อนผมมันคนอำเภอเมืองอยู่แถวบ้านสวน เจ็ดโมงผมเริ่มออกจากบ้าน แม่ตื่นมาพอดีเลยอวยพรมาว่า “แม่เคยขึ้นเมื่อปี 19 เขาหลวงน่ะ จ้างให้ก็ไม่ไปอีกแล้ว” นั่นไง รู้สึกตะหงิดๆ แต่ก็ต้องไปอะครับ ผมขับมอไซค์กินลมไปเรื่อยๆ บรรยากาศตอนเช้ากำลังดีเลยครับช่วงนี้ อากาศเย็นๆ ลมเย็นๆ แสงแดดสีทองอ่อนๆ ผมนัดกับเพื่อนไว้แถวสี่แยกคลองโพธิ์ แยกที่จะไปอำเภอคีรีมาศ ไปกำแพงเพชรอะครับ

     

    แวะเติมพลังกันซะหน่อย ข้าวแถวนี้จานละ 25-30 บาทเองครับ ถูกแถมอร่อยเหาะ

     

    ตอนกำลังเดินทางไปอุทยาน ผมเห็นคนขนกระเป๋าขนเต็นท์กันเต็มไปหมด ก็คิดในใจ “ไปภูทับเบิกกันหรอวะ” จนใกล้มาถึงเขตอุทยาน ผมเห็นเจ้าหน้าที่ยืนเฝ้าแถวๆข้างทางตลอด “โอ้วววว อุทยานฯรามคำแหงนี่เค้าบริการดีจริงๆ” แต่ว่า...พอไปถึงด่านตรวจรู้เรื่องเลยครับ วันนี้เป็นวันเทศกาลพิชิตยอดเขาหลวง โอ้วบร๊ะเจ้า!!! คนจะเป็นพัน นี่ผมกะมาชิลๆนะเนี่ย มานอนดูดาวบนเขาหลวงเล่นๆ

     

    “วันเทศกาลพิชิตยอดเขาหลวง” เค้าจัดกันทุกปีครับ แถวๆช่วงนี้แหละ ประเด็นคือเค้ารู้กันทั้งจังหวัด มีผมกับเพื่อนสองคนที่ไม่รู้ T T วันเทศกาลพิชิตยอดเขาหลวงเป็นวันที่มีการแข่งขันวิ่งขึ้น-ลงยอดเขาหลวง มีถ้วยรางวัลให้ด้วย บางคนก็เขาแข่งขันทำเวลาให้น้อยที่สุด บางคนก็มาร่วมกิจกรรมด้วยการพักแรมข้างบนยอดเขา เยอะครับ คนเยอะมากๆ คืนนี้ที่ตัวอุทยานข้างล่างเหมือนจะมีคอนเสิร์ตด้วย เอาวะ คนเยอะๆ สนุกสนานดี

     

    10.00 น. ได้เวลาเปิดการแข่งขัน โอ้โห คนแออัดมากกกกกกกก เฉพาะคนที่มาค้างแรมบนบยอดก็เยอะแล้ว ยังมีการแข่งวิ่ง-ขึ้นลงอีก คนที่แข็งวิ่งขึ้น-ลงยอด ก่อนหน้านี้เค้าไปปั่นจักรยานกันมาก่อนนะครับ เค้าเรียกการแข็งขัน “คนพันธุ์อึด” อึดจริงๆ แค่คิดก็เหนื่อยแทนละ

     

    ระยะทางเดินขึ้นเขาหลวงประมาณ 3.7 กิโลเมตร เหมือนจะสั้นนะครับ แต่ว่ามันชันนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนตลอด ตั้งแต่ตีนเขายันยอดเขา ไม่ค่อยมีที่ราบให้พักหรอกครับ จะมีก็เป็นแคร่น้อยๆ ซึ่งวันนั้นไงก็ไม่พอ แต่โชคดีที่มีน้ำอยู่ตลอดทาง แต่ก็นะ คนเยอะ น้ำหมด น้ำตาผมจะไหล ดีนะเอาน้ำมาเอง

     

    อย่างเหนื่อยอะครับ ช่วงแรกก็เดินไปถ่ายรูปไป หลังๆก็เข้าสเต็ปเดิม เก็บกล้องแล้วเริ่มคลานเริ่มตะกายขึ้น จะชันไปไหนวะเนี่ยยย... ต้องนั่งพักตามโขดหิน ยืนพักก็ไม่ได้เพราะมันไม่มีที่ราบ ยืนพักทีตะคริวนี่แทบกินน่อง แต่ไงก็ต้องลุยต่อ สบายยยยย หนักกว่านี้ยังได้ และแล้วก็มาถึงจุดชมวิวครับ คนนั่งพักเต็มเลย เพื่อนผมบอกว่าจุดนี้น่าจะได้สักครึ่งทางละ อือหือออ ครึ่งทาง บอกเลยว่าเหนื่อยโคตร ผมไปขึ้นภูกระดึงกับดอยหลวงเชียงดาวมายังไม่รู้สึกว่าจะขาดใจตายเท่าที่นี่เลยอะ

     

    จุดชมวิวนี้เป็นจุดที่สมเด็จพระเทพฯทรงประทับชมวิวเมื่อครั้งทรงเสด็จพิชิตยอดเขาหลวงเมื่อปี 37 ครับ

     

    นั่งได้สัก 5 นาทีก็เดินทางต่อครับ ชัน ชัน ชัน แล้วก็ชัน ค่อยคลานกันขึ้นไป สปีดเริ่มลดลงบวกกับน่องที่ตึงซะไม่มี ช่วงหลังๆนี่พักบ่อยมาก ผมก็บอกกับเพื่อน “ไงละมึง สบายๆ” มันบอก “เห้ย ทางมันเปลี่ยนเนี่ย ดูมันชันๆขึ้น เมื่อก่อนกูขึ้นถึงยอดแล้วลงเลยนะเว่ย” แหมมมมมมม่ แถไปเรื่อยยยยยยย

     

    จุดนี้เรียกว่า “ไทรงาม” ครับ ถึงไทรงามแสดงว่าใกล้คามเป็นจริงแล้วครับ จริงๆแต่ละจุดจะมีป้ายบอกไว้แหละครับ แต่ผมไม่มีแรงถ่าย T^T อีกนิดเดียวน่าจะถึงละ สัก 500 เมตร 

     

    500 เมตรบนเขาไมมันไกลกว่าทางราบนิ เดินกันอย่างนานนนนน จากไทรงามมามันจะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายละครับ เป็นทางชัน 1 ชัน (อย่างไกลเลยครับ ยาวเลย) แล้วก็เป็นทางราบ (มีทางราบซะที) สังเกตุได้จากจะมีปล่องนางนาคอยู่

     

    ปล่องนางนาคเป็นสถานที่เกี่ยวกับตำนานการถือกำเนิดของ “พระร่วง” ที่ย้อนอดีตไปในยุคก่อนอาณาจักรสุโขทัยถือกำเนิด ตำนานนี้เล่ากันว่า พระอภัยคามินีกษัตริย์แห่งดินแดนแถบนี้ได้ออกมาจำศีลที่เขาหลวงและพบรักกับธิดาพญานาคที่ปลอมตัวเป็นหญิงงามขึ้นมาจาก “ปล่องนางนาค ทั้งคู่ต่างครองรักกันจนธิดาพญานาคตั้งครรภ์ แต่เนื่องจากเป็นผู้มีบุญ โอรสที่คลอดจึงออกมาจากการสำรอกโดยไม่มีรก ณ ถ้ำบนเขาหลวง ที่ต่อมาถูกเรียกขานกันว่า “ถ้ำมเหรก” (หมายถึงไม่มีรก) โอรสผู้นี้มีนามว่า “อรุณราชุกมาร” ซึ่งก็คือ “พระร่วง” วีรบุรุษผู้เป็นตำนานแห่งอาณาจักรสุโขทัย

    ที่มา : http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000151453

     

    พี่ลูกหาบครับ ที่นี่ถ้าฟังไม่ผิดน่าจะโลละ 25 บาท

     

    นี่เป็นทางชันสุดท้ายก่อนถึงค่ายพักแรม ระยะทางไม่น่าถึง 100 เมตร แต่เราใช้เวลานานมาก มันโคตรชันเลยครับ เป็นหินอีก เห็นจุดหมายอยู่ตรงหน้าอย่ารีบเชียวครับ ตะคริวมันจะกิน ขึ้นผิดท่าปุ๊บ มาเต็ม กินตั้งแต่น่องยันปลายเท้า 

     

    และแล้วเราก็มาถึงกันจนได้ครับผม ยอดเขาหลวง น้ำตาจะไหลลลลล เริ่มสี่โมงเช้า ถึงสี่โมงเย็น T T

     

    ห้าโมงเย็นเราก็ไปดูพระอาทิตย์ตกกันที่เขาพระแม่ย่า ระยะทาง 980 เมตร จากจุดกางเต็นท์ ก่อนมาเพื่อนผมมันบอกว่าข้างบนเป็นทางราบ ไปถึงนี่เดินเที่ยวสบาย หึๆ นี่นะรึทางราบ เมิงนี่มั่วตั้งแต่ตอนขึ้นแล้วนะเนี่ย มันชอบพูด “จะถึงแล้ว จะถึงแล้ว เนี่ยๆ เดี๋ยวข้างหน้าเป็นทางราบแล้ว” มีที่ไหนทางราบ มันชันตลอดทาง จากรูปจะเห็นว่าตามข้างทางในป่าจะมีคนไปกางเต็นท์ด้วยครับ เพราะที่ลานกางเต็นท์คนเต็ม

     

    เดินมาได้ 200 เมตร จะถึงทางแยกไปเขาพระแม่ย่ากับเขานารายณ์ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งเราจะไว้พรุ้งนี้เช้า 

     

    ที่ลานจอดเฮริคอปเตอร์คนยังเต็มอะครับ คนเยอะมากๆ หลังจากผ่านลานจอดเฮริคอปเตอร์ จะเป็นทางผ่านป่าครับ พอผ่านป่าไปคราวนี้งานเข้าอีกแล้ว ทางชันเหมืนเดิม ยาวเลยครับ ยาวไปถึงเขาแม่ย่าเลย แล้วตูจะไปถึงทันพระอาทิตย์ตกไหมเนี่ยยยยย

     

    แต่โชคยังเข้าข้างผมอยู่ มาถึงพอดิบพอดีเลย แต่สภาพร่างกายนี่โทรมฝุดๆ แต่ก็คุ้มค่ากับการถ่อสังขารมา สวยจริงๆ แสงยามเย็นที่เขาพระแม่ย่า ณ เขาหลวง

     

    คนเยอะมากครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กช่วงมัธยม หลังจากนั้นพวกผมก็หาจับจองพื้นที่นั่งดูพระอาทิตย์ตกดีก่า ^^

     

    เหล่าผู้คนที่มาพิชิตยอดเขาหลวงกันครับ

    บนเขาหลวงมี 4 จุดไฮไลท์

    -ยอดเขาพระเจดีย์ สูง 1,185 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่ห่างจากแคมป์ประมาณ 320 เมตร ในอดีตเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ทหารไทยเคยใช้เป็นที่สังเกตการณ์การเคลื่อนทัพของข้าศึก(พม่า) คนสมัยก่อนเชื่อว่าที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงนำหินมาก่อเป็น(รูปร่าง)เจดีย์ อันเป็นที่มาของชื่อยอดเขา ปัจจุบันเจดีย์หินเรียงแห่งนี้ยังคงอยู่  

    -ยอดเขานารายณ์ สูง 1,160 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่ใกล้จากแคมป์ประมาณ 200 เมตร ที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นชั้นดี แถมถ้าวันไหนอากาศเป็นใจจะมีทะเลหมอกลอยขาวโพลนที่เบื้องล่างให้ชวนตราตรึงใจ

    -เขาภูกา สูง 1,250 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่ห่างจากแคมป์ 2,220 เมตร ที่นี่นอกจากจะเป็นจุดชมทิวทัศน์ชั้นดีแล้วยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งญี่ปุ่นเคยมาสลักหินบอกทิศทางไว้ที่นี่ เรียก “หินเข็มทิศ” เนื่องจากเชื่อว่าบริเวณนี้มีสนามแม่เหล็กอยู่

    -ยอดเขาแม่ย่า สูง 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่ห่างจากแคมป์ 980 เมตร เป็นจุดชมวิวและชมพระอาทิตย์ตกอันขึ้นชื่อของเขาหลวง นับเป็นอีกอีกหนึ่งยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ เพราะคนสุโขทัยนั้นนับถือแม่ย่า โดยชื่อแม่ย่ามาจากคำเรียกขานชื่อแม่ของพระร่วง ซึ่งในตำนานเล่าขานน่าบริเวณยอดเขาแห่งนี้เป็นจุดที่แม่ย่า มาบำเพ็ญศีลในช่วงสุดท้ายของชีวิต

    ที่มา : http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000154608

     

     ผมกับเพื่อนดูพระอาทิตย์จนลับขอบฟ้าไป รอจนคนอื่นๆกลับไปกันหมดจนเหลือพวกผม 2 คน แล้วค่อยเดินกลับครับ แต่ลืมไปว่าวันนี้มันข้างแรม โคตรมืดเลย ตอนผ่านป่านี่เสียวสันหลังวาบ จริงๆตอนแรกกะไปเขาพระเจดีย์กับเขาภูกา คือกะไปให้ครบทุกจุดแหละครับ แต่ไม่ได้ไปกัน พอแค่นี้ดีกว่า ขนาดราชาโจรสลัด โกลด์ ดี โรเจอร์ ที่พิชิตแกรนด์ไลน์ยังไปไม่ครบทุกเกาะเลย (ว่าไปนั่น จริงๆขี้เกียจครับ ไปไม่ไหวแล้วด้วย น่วมไปหมด จะกลับยังเดินกระเพกๆเลย)  พอกลับไปถึงเต็นท์ก็กะจะต้มน้ำทำมาม่ากิน แต่ทางเจ้าหน้าที่สั่งห้ามไม่ให้ก่อกองไฟบนพื้นหญ้า แต่เค้าก็มีบริการน้ำต้มที่ร้านสวัสดิการครับ ผมลืมบอก บนนี้เค้ามีน้ำ มาม่า ปลากระป๋องขายด้วยนะครับ แต่ผมไม่รู้เรื่องราคา ผมชื้อน้ำเปล่าขวดเล็ก 2 ขวด น้ำอัดลม 2 กระป๋อง มัน 130 บาท 

     

    คืนนี้เป็นคืนพิเศษครับ เนื่องจากเป็นวันพิชิตเขาหลวง คืนนี้เลยมีกิจกรรมรอบกองไฟ ร้องรำทำเพลง สนุกสนานกัน มีการออกไปโชว์ความสามารถแล้วแนะนำว่าเป็นคนที่ไหน มาจากที่ไหน ให้ตายเหอะครับ นี่มันปาร์ตี้ลูกพ่อขุนชัดๆ คนโขทัยล้วนๆ แสดงว่าเค้ารู้กันทั้งจังหวัดจริงๆ พวกกระผมมัวไปทำอะไรกันอยู่ ถึงไม่รู้เรื่อง (อย่าว่าแต่ผมเลย แม่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน) มีการตอบคำถามชิงรางวัลเป็นเสื้อพิชิตยอดเขาหลวง ถามว่า “สถิติไวสุดวันนี้มีคนทำไว้กี่นาที” ได้ยินคำตอบผมนี่ถึงกับอึ้ง 57 นาทีครับ นี่วิ่งหรือวาร์ปอะ แต่ยังไม่ใช่สถิติไวสุดนะครับ ไวสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 49 ใช้เวลา 37 นาที บร๊ะเจ้า!!! นี่วาร์ปหรือใช้ประตูโดเรม่อนอะ อะไรจะปานนั้น พอสักสามทุ่มก็แยกย้ายกันไปนอนครับ แต่คืนนั้นผมนอนแทบไม่หลับ แสบตาครับ บางเต็นท์ที่ไม่ได้อยู่แถวสนามหญ้าเค้าก่อกองไฟกัน ควันโขมงเชียว นอนแสบตาทั้งคืน เต็นท์นั้นดับ เต็นท์นี้ก่อ อย่างกับผลัดกันอยู่ยาม แต่ก็หลับจนได้เพราะความเพลียมาทั้งวัน แต่ก็ต้องตื่นมาตอนตีหนึ่งครึ่งอีก เพื่อนมันให้ไปเป็นเพื่อนไปห้องน้ำ มันกลัวผี (ประจานซะเลย) แล้วก็กลับมานอนต่อ

     

    • Posts-2
    Paipasu •  December 24 , 2015

    ผมตื่นตีห้าแล้วลากเพื่อนผมไปเขานารายณ์ เพราะกลัวเดินไปไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น (ร่างกายมันกรอบไปหมดแล้วครับ) คนไปกันเยอะแยะเลยวันนี้ จุดยอดฮิตของเขานารายณ์คือชะง่อนผาตรงนั้นแหละครับ คนนี่ก็ขึ้นกันไปเพรียบ

     

    ผู้คนมากมายมานั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน และแล้วพระอาทิตย์ก็ขึ้นมาให้ชม แต่ดันไปขึ้นซะตรงนั้นได้

     

    เหล่าผู้คนที่มารอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เขานารายณ์ ณ เขาหลวงครับ

     

    น้องกู้ภัยครับ ตลอดทั้งสองวันตั้งแต่เมื่อวานจะมีทีมกู้ภัย แพทย์ พยาบาลอยู่ตลอดครับ เผื่อมีการบาดเจ็บขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือทัน

     

    ลาก่อยผานารายณ์ วันนี้เราต้องลงเขาซะแล้ววววว T T 

     

    สภาพทางลงไปยังจุดกางเต็นท์ครับ 

     

    ก่อนลงเขาจะมีการลงทะเบียน “กิจกรรมแรลลี่เดินเท้าเก็บขยะลงจากยอดเขาหลวง” ของโรงเรียนคีรีมาศพิทยาคม นำขยะ 1 หรือ 1 โลครึ่งเนี่ยแหละครับ ไปแลกกับเสื้อยืดพิชิตเขาหลวงข้างล่างอุทยาน

     

    ผมรอให้คนลงไปกันให้หมดก่อน เดี๋ยวมันจะไปแออัดกันตรงทางชัน ถ้าล้มทีก็เป็นโดมิโน่เลย

     

    ก่อนจากชักภาพ 1 ภาพก่อนครับผม

     

    ขาลงนี่ก็ไม่ใช่ย่อยๆ ถึงจะไม่เหนื่อยก็เหอะครับ แต่มันจะปวดเข่าเอา เล่นชันไม่มีทางราบเลย

     

    “ถ้ำพระแม่ย่า”  เป็นเพิงหินขนาดใหญ่เคยเป็นสถานที่ประดิษฐานรูปปั้นพระแม่ย่า ปัจจุบันได้อัญเชิญไว้ที่ศาลพระแม่ย่าบริเวณศาลากลางจังหวัดสุโขทัยแล้วครับผม

    • Posts-3
    Paipasu •  December 24 , 2015

    โคตรเหนื่อยเลยครับ ไม่ถึงสักที พวกผมดันทะลึ่งใช้สูตรทุบหม้อข้าว กินน้ำจนหมดแล้วไม่เติมแต่ทิ้งขวดไปเลย (มีถังขยะตามทางนะครับผม ^^) กะลงไปกินข้างล่างทีเดียว ปางตายซิครับงานนี้ แค่ไปถึงจุดชมวิวก็จะตายละ น้ำตามทางดันไม่ไหลอีก T^T

     

    นานมากกว่าจะลงมาได้ ถ้าเห็นท่อนไม้ท่อนนี้ก็แสดงว่าใกล้ถึงที่ทำการแล้วละครับ

     

    เป็นทางราบแล้วครับ แต่ก็เหนื่อยอยู่ดี

     

    พอใกล้จะถึงที่ทำการอุทยาน ยังจะมีบันไดอีก ตอนนี้ทางราบธรรมดายังเหนื่อยเลยยยยยย 

     

    และแล้วเราก็คือผู้รอดชีวิต

     

    โน้นนนน เพื่อนผมมันรีบวิ่งไปร้านค้าเลย หิวน้ำจัด

     

    คำขวัญของที่นี่ครับ 

    เสร็จแล้วครับผม ภารกิจพิชิตยอดเขาหลวง ภารกิจต่อไป “อุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย” หรือ “ป่าคา”

    (การเดินทางมายังอุทยานแห่งชาติรามคำแหง   รถยนต์ จากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดสุโขทัย สามารถใช้เส้นทางได้ 2 เส้นทาง เส้นทางแรก ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 32 ผ่านทางนครสวรรค์ แล้วให้เลี้ยวซ้ายใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ไปจนถึงกำแพงเพชร แล้วจากนั้นให้เปลี่ยนไปใช้เส้นทางหมายเลข 101 ไปจนถึงอำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย ก่อนถึงจังหวัดสุโขทัย 20 กิโลเมตร บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 414 จะเห็นยอดเขาสูงอยู่ทางซ้ายมือแล้วเลี้ยวซ้ายเป็นระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร ถึงที่ทำการของอุทยานแห่งชาติรามคำแหง เส้นทางที่สอง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 32 ไปจนถึงนครสวรรค์ แล้วให้ใช้เส้นทางหมายเลข 117 ไปจนถึงพิษณุโลก และเปลี่ยนไปใช้เส้นทางหมายเลข ๑๒ ไปจนถึงสุโขทัย แล้วเดินทางต่อถึงอำเภอคีรีมาศให้แยกซ้ายเข้าไป 16 กิโลเมตร จนเข้าสู่อุทยานฯ และ รถประจำทาง จากอำเภอคีรีมาศ นักท่องเที่ยวสามารถเหมารถสองแถวได้ที่บริเวณแยกคีรีมาศ) 

    • Posts-4
    Paipasu •  December 24 , 2015

    อุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย เดิมชื่อ “ป่าคา” หมายถึงป่าคาหลวง หรือสันกลางแม่วังช้าง ตั้งอยู่ที่บ้านป่าคา หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านแก่ง ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เพื่อรักษาสภาพป่าที่เป็นต้นน้ำลำธาร และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไว้  ครอบคลุมพื้นที่ของอำเภอศรีสัชนาลัย และอำเภอทุ่งเสลี่ยม อุทยานฯ มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าคาขนาดใหญ่

    ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_04.htm

     

    สถานที่แรกที่ผมแวะคือ “น้ำตกดาดเดือน” เลยด่านเก็บค่าทำเนียมมานิดเดียว

     

    ก่อนลงไปต้องทำการลงทะเบียนขยะครับ แล้วลงไปได้เลยยยยย ระยะทางแค่ 300 เมตรเอง ภาพขวาล้างจะเห็นเป็นศาล ซึ่งเป็นศาลของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย ครั้งหนึ่งโดยการเสด็จเยี่ยมและแจกของพระราชทานให้แก่ราษฎรหมู่บ้านป่าคา ห้วยหยวก แม่สาน ฯลฯ แทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระองค์ท่านทรงเห็นถึงความสวยงามและสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่แห่งนี้ ด้วยความห่วงใยในสภาพป่าที่เหลืออยู่นี้ วิธีเดียวที่จะช่วยรักษาผืนป่าแห่งนี้ให้คงอยู่ตลอดไป คือจะต้องจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ

    ที่มา : http://www.touronthai.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A2-15000003.html

     

    คำแนะนำในการเที่ยวบริเวณน้ำตกตาดเดือนครับ น้ำแถวนี้เป็นวังน้ำลึกควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

     

    นั่นแหละครับ น้ำตกตาดเดือน 

     

    ถึงแล้วครับผม น้ำตกตาดเดือน มีสองชั้นครับ อันนี้เป็นชั้นแรก ส่วนชั้นที่สองเป็นน้ำตกลงจากผาหินสูงห่างจากชั้นแรกนิดเดียว แต่ผมหาไม่เจอ

     

    อยู่ได้สักพักผมก็ตัดสินใจไปต่อละครับ ผมจะไปน้ำตกตาดดาว ระยะทางเดินเท้า 4 กิโลเมตร การจะไปน้ำตกตาดดาวเราต้องลงทะเบียนที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อน

     

    นอกจากน้ำตกตาดดาวแล้ว ยังมีน้ำตกห้วยทรายขาวกับถ้ำธาราวสันต์ด้วย น้ำตกห้วยทรายขาวกับน้ำตกตาดดาวไปทางเดียวกันเลยครับ

     

    ป้ายก่อนเข้าไปทางที่จะไปน้ำตกครับ แนะนำการเดินป่า สัตว์ป่า ผีเสื้อ รอยเท้าสัตว์ป่า เดี๋ยวๆ มันมีรูปรอยเท้าเสือด้วยนะเนี่ยยยย หวังว่าข้างในคงไม่มี ผมไม่อยากโดนเสืองาบ

     

    ทางเข้าครับ ข้ามสะพานไปเลี้ยวซ้ายจะไปถ้ำธาราวสันต์ (1.5 กิโลเมตร)  ขวาไปน้ำตกห้วยทรายขาว (3 กิโลเมตร) กับน้ำตกตาดดาว (4  กิโลเมตร)

     

    สภาพเส้นทางครับ เดินกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ ร่มรื่นครับ แต่ยุงเยอะ หยุดพักไม่ได้เลย หยุดปุ๊บกัดปั๊บ ถ้าใครจะมาควรเอาซอฟเฟลมาด้วยครับ

     

    จุดนี้คือผ่านมาแล้ว 1 กิโลเมตรครับ นั่งพักให้เรียบร้อย (จริงๆก็พักไม่ได้อะ ยุงบินว่อนเลยบ) เพราะหลังจากนี้ทางมันจะเริ่มชันขึ้นมาแล้วววว

     

    เตรียมพร้อมครับ กันไว้ก่อน เห็นตอนเข้ามีป้ายบอกว่ามีทาก 

     

    อีก 3 กิโลเมตรครับผม ลุย!!!

     

    เส้นทางหลังจาก 1 กิโลครับ เริ่มวิบากนิดหน่อย ผ่านหิน ข้ามฝายชะลอน้ำฯ แต่ก็สบายๆครับ

     

    จุดนี้เป็นทางแยกระหว่างน้ำตกตาดดาวกับน้ำตกห้วยทรายขาวครับ

     

    3 กิโลเมตรแรกนี่บอกเลยว่าสิวๆครับ ไอ้ 1 กิโลเมตรท้ายเนี่ยแหละ อย่างกับขึ้นเขาหลวง ร่างกายยังไม่ฟื้นดีเลยยยยย กิโลเดียว เดินอย่างนาน เหนื่อยก็เหนื่อยหยุดพักก็ไม่ได้ ยุงมันกัด นี่ก็ตายอดตายอยากมาจากไหนกันเนี่ย ถ้าผมไม่มามันจะไปกินเลือดใคร

     

    เดินไปเรื่อยๆครับ เหนื่อยแต่ยังไหว ถ้าเราเดินมาแล้วเจอป้ายกับลักษณะทางแบบนี้ แสดงว่าใกล้แล้วละครับ อีกนิดเดียว

     

    ถึงแล้วละครับ น้ำตกตาดดาว มีที่ให้นั่งเล่นด้วย

     

    เลยจุดชมน้ำตกมีทางลงไปข้างล่างครับ แต่ทางค่อนข้างชันอยู่

     

    ผมอยู่ได้สักครึ่งชั่วโมงก็ไปละครับ กลับดีกว่า เผื่อไปแวะที่อื่นอีก พอมาถึงจุดเดิม จุดที่เป็นทางแยกระหว่างน้ำตกตาดดาวกับน้ำตกห้วยทรายขาว ผมลองเดินไปตามป้ายเพื่อจะไปน้ำตกห้วยทรายขาว แต่พอเดินไปได้สักพัก เริ่มงงๆกับทาง มองลายทางไม่เห็นเลย ผมคิดว่าไปต่อนี่หลงแน่นอน ฟันเฟิร์ม!!! กลับดีกว่า แค่นี้ก็งงละ กว่าจะกลับมาทางเดิมได้ ส่วนถ้ำธาราวสันต์จริงๆผมกะไปนะ กะเอาไฟฉายกับเทียนมาด้วย แต่ดันลืม เลยไว้คราวหน้าดีกว่า (อ้างไปเรื่อย)

     

    ที่นี่มีร้านสวัสดิการ ร้านขายข้าวด้วยนะครับ ออกมานี่อย่างหิวเลยผมอะ ส่วนเรื่องห้องน้ำ ห้องน้ำของอุทยานศรีสัชฯสะอาดมาก ขับถ่ายได้อย่างสบายใจ

     

    บรรยากาศภายในศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่เราต้องมาลงทะเบียนก่อนเข้าไปครับ

     

    รูปถ่ายถ้ำธาราวสันต์จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

     

    น้ำตกห้วยทรายขาว สวยอะครับ เสียดายหาทางไปไม่เจอ T T

     

    ก่อนกลับผมแวะที่นี่ก่อน วังมัจฉา ใกล้ๆกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแหละ จริงๆตอนเข้ามาเราจะเจอวังมัจฉาก่อนเลยครับ

     

    เสร็จแล้วผมก็เดินทางต่อ สถานที่ต่อไปคือ “เตาทุเรียงกับอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย” และสถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังขึ้นชื่ออีกอย่างของที่นี่คือ “บ้านนาต้นจั่น” ครับ เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ที่จะได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนในชุมชนในเชิงอนุรักษ์ สัมผัสกับธรรมชาติแบบครบวงจร  และอีกที่คือ “สาธรพิพิธภัณฑ์ผ้าทองคำ” ซึ่งมีการจัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาของผ้าทอลายโบราณของชาวไทยพวน บ้านหาดเสี้ยว ไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นจกเก้าลายบ้านหาดเสี้ยว ผ้าที่ใช้ในพิธีบวชนาคด้วยขบวนช้าง ผ้าที่ใช้ในพิธีแต่งงาน ซึ่งล้วนเป็นเอกลักษณ์ผ้าทอมือของชาวไทยพวน บ้านหาดเสี้ยว ที่สืบทอดต่อกันมานับร้อยๆปี ตอนแรกผมกะไปแวะซะหน่อย แต่ขากลับจากน้ำตกตาดดาวดันลื่นร่วงไปในลำธาร เละเทะเลยครับ เลยไม่กล้าไป เกรงใจเค้า ถ้าใครสนใจตามลิงค์นี้ไปได้เลยครับผม http://www.sathorngoldtextilemuseum.com/

    • Posts-5
    Paipasu •  December 24 , 2015

    ถึงแล้วครับศูนย์ศึกษาและอนุรักษ์เตาสังคโลก (เตาทุเรียง) 

     

    เสียค่าเข้า 20 บาทครับผม ^^

     

    ศูนย์ศึกษาและอนุรักษ์เตาสังคโลกตั้งอยู่ที่บ้านเกาะน้อย ห่างจากตัวเมืองเก่าศรีสัชนาลัยเลียบแม่น้ำยมไปทางเหนือประมาณ 6.5 กิโลเมตร มีเตาเผาที่ขุดพบเตาเผาเครื่องถ้วยสังคโลกแล้วกว่า 500 เตา ในระยะทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ถือได้ว่าเป็นนิคมอุตสาหกรรมของเมืองศรีสัชนาลัย อีกทั้งมีการขุดพบเครื่องสังคโลกทั้งในสภาพสมบูรณ์ และแตกหักเป็นจำนวนมาก ลักษณะเตาเผาจะเป็นรูปยาวรีคล้ายประทุนเรือจ้างยาวประมาณ 7 – 8 เมตร ภายในตัวอาคารจะมีการตั้งแสดงโบราณวัตถุ เอกสารทางวิชาการ ตลอดจนวิวัฒนาการเครื่องถ้วยสมัยโบราณให้นักท่องเที่ยวชมอีกด้วย ศูนย์ฯ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.00 น.

    ที่มา : http://sisatchanalai.com/%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%99/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%9A%E0%B9%89/

     

       ทางเดินไปสู่ห้องที่สองครับ

     

    เตาอื่นๆที่ขุดพบครับ

     

    เสร็จแล้วผมก็เดินทางต่อไปยัง “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย” ระหว่างทางก็จะมีโบราณสถานมากมายรายทาง

     

    ระหว่างทางจะมีอนุสาวรีย์พระยาลิไทด้วยครับ

    • Posts-6
    Paipasu •  December 24 , 2015

    ก่อนจะไปอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยผมไปที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุหรือวัดพระปรางค์  แต่ก่อนถึงวัดพระปรางค์  จะมีสถานที่สำคัญที่ที่คือวัดชมชื่น ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม ห่างจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุมาทางทิศตะวันออกประมาณ 400 เมตร

    ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_02.htm

     

    จากการขุดค้นบริเวณด้านหน้าพระวิหารพบหลักฐานโครงกระดูกมนุษย์ จำนวน 15 โครง ในระดับลึก 7 - 8 เมตร อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 9  และพัฒนาจนถึงสมัยทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 - 16 และได้พบกลุ่มโบราณสถานก่อด้วยอิฐที่มีขนาดใหญ่ และพบเครื่องถ้วยเชลียงจำนวนมาก ประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 จนเข้าสู่ชั้นสุโขทัยที่ร่วมสมัยกับวัดชมชื่น

    ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_02.htm

     

    โครงกระดูกมนุษย์ครับ

     

    ใกล้กับวันชมชื่นจะเป็นวัดเจ้าจันทร์ตั้งอยู่ด้านหลังวัดชมชื่น เป็นกลุ่มโบราณสถานที่เชื่อว่ามีมาก่อนสมัยสุโขทัย โบราณสถานสำคัญ คือปราสาทหรือปรางค์ประธานศิลปะขอมที่พบในประเทศไทยตอนเหนือสุด กำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ต่อมาในสมัยสุโขทัย จึงได้มีการสร้างวิหารไว้ด้านหน้าปรางค์ประธาน และมณฑปพระอัฏฐารศทางทิศเหนือของปรางค์ประธาน

    ที่มา : http://www.m-culture.in.th/moc_new/album/39777/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C/

     

    ต่อมาครับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือวัดพระบรมธาตุเมืองเชลียง และเรียกอีกชื่อว่า วัดพระปรางค์  ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองเก่าศรีสัชนาลัย ลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ และเป็นพระอารามหลวงชั้นราชวรวิหาร

    ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_02.htm

     

    ด้านหลังองค์พระมีทางให้ขึ้นยังพระปรางค์ได้ด้วยครับ อย่างเสียวเลย

     

    มองจากด้านบน รู้สึกหวิวๆ

     

     ภายในองค์พระปรางค์

     

    ใกล้กับวัดพระปรางค์มีสะพานลอยไม้ แต่ผมไม่กล้าขับรถผ่านนะ เสียวครับ

    • Posts-7
    Paipasu •  December 24 , 2015

    ที่ต่อไปครับผม เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย เสียค่าธรรมเนียมเข้า 20 บาท 

     

    ที่นี่ไม่สามารถเอารถเข้าไปได้(หรือเข้าได้แต่ผมไม่รู้ก็ไม่แน่ใจนะครับ) ต้องเดินหรือไม่ก็เช่าจักรยานซึ่งผมเลือกเดินซิครับวัยรุ่นนนนนน ผมไปได้แค่สามสี่วัดเอง เพลียจากตาดดาว แล้วก็จะเย็นแล้วด้วย ต้องขับมอไซค์กลับบ้านอีก

     

    วัดแรกครับ “วัดนางพญา” ตั้งอยู่แนวเดียวกันกับวัดสวนแก้วอุทยานใหญ่ เป็นวัดที่มีลวดลายปูนปั้นงดงามมาก ปรากฏอยู่บนซากผนังวิหารด้านตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นวิหารขนาดเจ็ดห้อง ภายในวิหารตามเสาทุกด้านมีเทพนมและลวดลายต่างๆทำด้วยสังคโลกไม่เคลือบ เจดีย์ประธานของวัดเป็นเจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานประทักษิณ ซุ้มด้านหน้ามีบันไดทางขึ้นจนถึงภายในโถงเจดีย์ ตรงกลางโถงมีแกนเจดีย์ประดับด้วยลวดลายปูนปั้น วิหารก่อด้วยศิลาแลงมีมุขหน้า และมุขหลัง ผนังวิหารเจาะช่องแสง ผนังด้านใต้มีลวดลายปูนปั้น ลักษณะเด่นก็คือ ลวดลายปูนปั้นทำเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งวานรกำลังวิ่ง แต่ถูกทำลายไปบางส่วน นอกจากนั้นยังทำเป็นรูปลวดลายพรรณพฤกษาและรูปเทพนมเป็นรูปแบบศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น 

    ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_02.htm

     

    ต่อมา “วัดเจดีย์เจ็ดแถว”  ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดช้างล้อม นับว่ามีความสวยงามมากกว่าวัดอื่นในเมืองสุโขทัย เพราะมีเจดีย์แบบต่างๆกันมากมายที่เป็นศิลปะสุโขทัยแท้และเป็นศิลปะแบบศรีวิชัยผสมสุโขทัย โบราณสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ประธานรูปดอกบัวตูมอยู่ด้านหลังพระวิหารและมีเจดีย์รายรวมทั้งอาคารขนาดเล็กแบบต่าง ๆ จำนวน 33 องค์ มีกำแพงแก้วล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง นอกกำแพงมีโบสถ์และบ่อน้ำ เจดีย์รายที่วัดเจดีย์เจ็ดแถวมีรูปแบบที่ได้รับบอิทธิพลศิลปะจากที่ต่างๆหลายแห่ง  เช่น ลังกาและพุกาม ด้านหลังเจดีย์ประธานมีเจดีย์รายที่มีลักษณะเด่น คือ ฐานเป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมจัตุรัส ยอดเป็นทรงกลม ภายในเจดีย์มีซุ้มโถง ส่วนซุ้มโถงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปูนปั้น มีภาพจิตรกรรมเป็นภาพอดีตพระพุทธเจ้า และเหล่าเทวดากษัตริย์ ส่วนซุ้มจรนัมด้านหลังของเรือนธาตุทำเป็นพระพุทธรูปนาคปรก สาเหตุที่เรียกว่าวัดเจดีย์เจ็ดแถวเนื่องจากได้พบเจดีย์จำนวนมากหลายแถวภายในวัดและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าวัดเจดีย์เจ็ดแถวเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิของพระราชวงศ์สุโขทัย  ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_02.htm

     

    ที่สุดท้ายครับ ไฮไลท์เลยครับ “วัดช้างล้อม” ตอนผมไปมีนักศึกษามาทัศนศึกษากันด้วยมาพร้อมไกด์ผมก็เนียนๆเดินไปฟังไป ได้ความรู้ไปด้วยครับ ^^

    วัดช้างล้อมจะอยู่ภายในกำแพงเมืองศรีสัชนาลัย บนที่ราบเชิงเขาด้านทิศใต้ของเขาพนมเพลิง โบราณสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ประธานทรงลังกา ตั้งอยู่ภายในกำแพงแก้วสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่ฐานเจดีย์มีช้างปูนปั้นยืนหันหลังชนผนังเจดีย์อยู่โดยรอบ จำนวน 39 เชือก และช้างที่อยู่ตามมุมเจดีย์ทั้ง 4 ทิศ ตกแต่งเป็นช้างทรงเครื่อง มีลวดลายปูนปั้นประดับที่คอ ต้นขาและข้อเท้า ส่วนทางด้านหน้าเจดีย์ประธานมีบันไดขึ้นสู่ลานประทักษิณ เหนือฐานประทักษิณมีซุ้มพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย ผนังซุ้มมีรูปประติมากรรมรูปต้นโพธิ์อยู่เบื้องหลังพระพุทธรูป แต่พระพุทธรูปได้ถูกทำลายไปคงเหลือเพียงองค์เดียวทางด้านทิศเหนือ บริเวณองค์ระฆังขึ้นไปเป็นบัลลังก์ ก้านฉัตรประดับด้วยรูปพระสาวกปูนปั้นลีลานูนต่ำจำนวน 17 องค์

    วัดช้างล้อมที่เมืองศรีสัชนาลัยนี้ ช้างจะมีลักษณะที่เด่นกว่าช้างปูนปั้นที่วัดอื่น ๆ คือ ยืนเต็มตัวแยกออกจากผนัง มีขนาดสูงใหญ่กว่าช้างจริง และด้านหน้ามีพุ่มดอกบัวปูนปั้นประดับไว้

    โบราณสถานภายในวัดที่ยังมีหลักฐาน คือ วิหารอยู่ด้านหน้าเจดีย์ประธาน นอกจากนั้นเป็นวิหารขนาดเล็ก ๆ 2 หลัง และเจดีย์ราย 2 องค์ 

    ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_02.htm

     

    หมดแล้วครับสำหรับทริปเที่ยวเมืองศรีสัชนาลัย จริงๆสุโขทัยมีอุทยานประวัติศาสตร์อีกที่นะครับ ซึ่งใครๆก็รู้จักกันดี นั่นคือ “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย” หรือที่เรียกว่า “เมืองเก่า” นั่นเอง

    • Posts-8
    Paipasu •  December 24 , 2015

    บรรยากาศโดยรวมภายในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยครับ

     

     แผนผังครับผม

     

    ผมจะพาเที่ยวแบบคร่าวๆละกันนะครับ วัดที่ผมรู้จักก็มี 4 วัดด้วยกัน วัดแรก “วัดมหาธาตุ” ตั้งอยู่กลางเมือง เป็นวัดใหญ่ และวัดสำคัญของกรุงสุโขทัย มีพระเจดีย์มหาธาตุทรงดอกบัวตูม หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้ ตั้งเป็นเจดีย์ประธาน ล้อมรอบด้วยเจดีย์ 8 องค์ บนฐานเดียวกัน คือ ปรางค์ศิลาแลงตั้งอยู่ที่ทิศทั้ง 4 และเจดีย์ทรงปราสาทก่อด้วยอิฐที่ได้รับอิทธิพลมาจากล้านนา จากการสำรวจ  พบว่าบริเวณวัดมหาธาตุมีเจดีย์แบบต่าง ๆ มากถึง 200 องค์ วิหาร 10 แห่ง ซุ้มพระ (มณฑป) 8 ซุ้ม พระอุโบสถ 1  แห่ง ตระพัง 4 แห่ง  ด้านตะวันออกบนเจดีย์ประธานมีวิหารขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง มีแท่นซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ พระศรีศากยมุนี ปัจจุบันได้รับการเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพมหานคร ที่ด้านเหนือ และด้านใต้ของเจดีย์มหาธาตุมีพระพุทธรูปยืนภายในซุ้มพระ เรียกว่า "พระอัฏฐารศ"

    ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_01.htm

     

    เลยวัดมหาธาตุมาจะเป็น “วัดชนะสงคราม” ครับ ใกล้อนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเลยครับ ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของวัดมหาธาตุ ใกล้กับโบราณสถานที่เรียกว่าหลักเมือง เดิมเรียกว่า วัดราชบูรณะ มีลักษณะเด่นคือ เจดีย์ทรงระฆังกลมขนาดใหญ่ เป็นเจดีย์ประธาน และมีวิหาร โบสถ์ เจดีย์รายต่าง ๆ 

    ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_01.htm

     

    พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช รูปนี้ผมถ่ายไว้เมื่องานลอยกระทงครับ

     

    “วัดสระศรี” เป็นวัดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดมหาธาตุ เป็นโบราณสถานสำคัญอยู่บริเวณกลางสระน้ำที่มีขนาดใหญ่ ชื่อว่า ตระพังตระกวน และสิ่งสำคัญของวัดประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงลังกา ด้านหน้าวิหารขนาดใหญ่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย มีเจดีย์ขนาดเล็ก ศิลปศรีวิชัยผสมลังกา ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ มีซุ้มพระพุทธรูป    4  ทิศ ด้านหน้ามีเกาะกลางน้ำขนาดย่อมเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถขนาดเล็ก วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นจุดที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม

    ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_01.htm

     

    อันนี้เป็นพาหนะที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเก่าเลยครับ ซ้าย-รถราง, ขวา-รถคอกหมู(ที่บ้านผมเรียกรถสองแถว ถึงหลังๆมันจะเพิ่มเป็นสามแถวแล้วก็เหอะ

     

    วัดต่อมาครับ วัดสุดท้าย “วัดศรีชุม”  อยู่เลยตัวอุทยานไปนิดหนึ่ง ตั้งอยู่ห่างจากวัดพระพายหลวงไปทางทิศตะวันตก 800  เมตร เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระอจนะ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 11.30  เมตร ลักษณะของวิหารสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมลักษณะคล้ายมณฑป แต่หลังคาพังทลายลงมาหมดแล้ว เหลือเพียงผนังทั้งสี่ด้าน ผนังแต่ละด้าน ก่ออิฐถือปูนอย่างแน่นหนา ผนังทางด้านใต้มีช่องให้คนเข้าไปภายใน และเดินขึ้นไปตามทางบันไดแคบ ๆ ถึงผนังด้านข้างขององค์พระอจนะ หรือสามารถขึ้นไปถึงสันผนังด้านบนได้ ภายในช่องกำแพงตามฝาผนังมีภาพเขียนเก่าแก่แต่เลอะเลือนเกือบหมด ภาพเขียนนี้มีอายุเกือบ 700  ปี นอกจากนี้แล้วบนเพดานช่องบันไดยังมีแผ่นหินชนวนขนาดใหญ่แกะสลักลวดลายเรื่องชาดกต่าง ๆ มีจำนวนทั้งหมด 50 ภาพ เมื่อเดินตามช่องทางบันไดขึ้นไปจะโผล่บนหลังคาวิหารมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของเมืองเก่าสุโขทัยได้โดยรอบ

    เพราะเหตุใดวิหารวัดศรีชุมจึงมีความเร้นลับซ่อนอยู่อย่างนี้ เรื่องนี้หากพิจารณากันอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบว่าพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วงทรงพระปรีชาสามารถในด้านปลุกปลอบใจทหารหาญ และด้านอื่น ๆ อีกมาก เพราะผนังด้านข้างขององค์พระอจนะมีช่องเล็ก ๆ ถ้าหากใครแอบเข้าไปทางอุโมงค์แล้วไปโผล่ที่ช่องนี้ และพูดออกมาดัง ๆ ผู้ที่อยู่ภายในวิหารจะต้องนึกว่าพระอจนะพูดได้ และเสียงพูดนั้นจะกังวานน่าเกรงขาม เพราะวิหารนี้ไม่มีหน้าต่าง แต่เดิมคงมีหลังคาเป็นรูปโค้งคล้ายโดม 

    ที่มา : http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_01.htm

     

    งานประเพณีที่ขึ้นชื่ออีกอย่างของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย คือเทศกาลลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ซึ่งจะจัดขึ้นในทุกๆปี โดยปีนี้จัดตรงกับวันที่ 21-25 พฤศจิกายน  นี่เป็นภาพบรรยากาศโดยรวมในงานครับผม สนุกสนาน แสง สี เสียง เพรียบครับ ^^

    • Posts-9
    Paipasu •  December 24 , 2015

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    จบแล้วครับสำหรับการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของสุโขทัย จริงๆยังมีอีกเยอะเลย เช่น ถ้ำเจ้าราม, ถ้ำพระแม่ย่า, สวนหลวง ร.9, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสวรรควรนายก, พิพิธภัณฑ์ปลาในวรรณคดี, ศาลพระแม่ย่า, หลวงพ่อศิลา ฯลฯ อีกเยอะเลยครับ แล้วก็ตลาดริมยม อ.กงไกรลาศ ซึ่งจะจัดในวันเสาร์ต้นเดือนเป็นตลาดย้อนยุคครับ ส่วนถนนคนเดินก็มีครับ น่าจะเสาร์ต้นเดือนเหมือนกันซึ่งจัดบริเวณถนนสายริมน้ำยม ตั้งแต่หน้าสนามเด็กเล่นไปจนถึงจวนผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ภายในงานมีการจำหน่ายสินค้า OTOP อาหาร งานประดิษฐ์ การแสดงต่างๆ ดนตรี ระบำรำฟ้อนที่เป็นเอกลักษณ์ของสุโขทัย ความจริงตอนแรกผมกะจะเอาพวกร้านอาหารเข้ามาด้วยนะเนี่ย แต่เดี๋ยวมันจะยาวเกิน แถมงบผมจะหมดเอา ผมไปกินร้านไหนก็อร่อยทุกร้านอะครับ 555  เยอะแยะไปหมด แต่ถ้าพวกของฝากผมก็พอแนะนำได้นะ เท่าที่ผมรู้ก็จะมี ท้องม้วน ขนมผิง ปั้นสิบ ส้มแผ่น ถั่วทอด พุทรากวนฯ ครับผม ส่วนรูปสุดท้ายนี่ บางคนอาจจะงงว่าเกี่ยวอะไรกับผัดซีอิ๊ว!!! เกี่ยวครับเกี่ยว นี่เป็นซิกเนเจอร์ของคนโขทัยเลยนะครับ “คนสุโขทัยกินผัดซีอิ๊วต้องใส่ซอสพริกครับ” ราดหน้าด้วย พริก น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้ม ขาดอะไรก็ได้แต่ซอสพริกนี่ไม่ได้จริงๆ เวลาผมไปต่างจังหวัดจะไม่สั่งผัดซีอิ๊วกินเด็ดขาด เพราะไม่แน่ใจว่ามีซอสพริกให้ไหม ไม่มีมันเหมือนจะขาดใจตาย 555 จะให้เด็ดต้องซอสพริกศรีราชา ยี่ห้ออื่นผมลองแล้วไม่เวิร์คครับ  จบจริงๆแล้วละครับผม ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ ใครมีอะไรเพิ่มเติมบอกผมได้เลยนะครับผมจะได้เอาไปปรับปรุง หรือสงสัยอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมถามได้เลยนะครับ ยินดีให้ตอบครับผม ^^ แต่เท่าที่ผมรู้นะ 555 ขอบคุณครับบบบบบบบบบ...

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@