ครั้งแรกกับประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีได้
เป็นทริปที่เริ่มต้นจากเพื่อนๆ นำภาพถ่ายเมื่อ 16 ปีก่อน มาประจาน เอ้ย! โพสในกลุ่มไลน์ จึงเกิดแรงบันดาลใจ ท้ากันไปท้ากันมา เอาเปล่า เอาเปล่า แน่เปล่ามรึงงงงงงงงง เอ้า! รออะไร ไปสิมรึงงงงงงง ถ้าคุณแน่อย่าแพ้ใคร ประเด็นคือ อีเพื่อนที่มันท้าๆ กันต่างเคยไปกันมาแล้ว ถ้าขึ้นรอบนี้ คือ รอบที่ 2 จากเมื่อ 16 ปีที่แล้ว อุต๊ะ!!!! แม่เจ้า แต่มันคือครั้งแรกตั้งแต่แตกเนื้อสาวของเรา ทำไง อ่ะไปก็ไป แวบแรกในหัว คิดถึงทางช้างเผือกคร้า คิดได้ดังนั้น โทรหาเพื่อนหนุ่มที่ชอบถ่ายรูปและนางเคยเปรยๆ ว่าอยากจิไป เอ้า ไปด้วยเว้ยเห้ย
ตกลงวันแน่นอน คือ 22 - 24 ตุลาคม 2558 มีผู้ร่วมทริปทั้งหมด 12 คนถ้วน
วันแรก 22 ต.ค.58 ออกเดินทางจากตัวเมืองอุตรดิตถ์เวลา 16.00 น. โดยประมาณเราใช้เส้นทาง อุตรดิตถ์ - เขื่อนสิริกิติ์ ตกลงกันว่าขับรถไปกันเอง เพราะเราเป็นคนในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ (กระซิบเบาๆ รู้ทางแค่อุตรดิตถ์ - เขื่อนสิริกิติ์ - อำเภอน้ำปาด) จากนั้นต้องสวมวิญญาณนักสืบโคนันแล้ว
"เพื่อนถามว่าเซียนไหม รู้ทางงี้? ฮึ ส่ายหัวระดับ 10 ริกเตอร์ ไปตามทางเดี๋ยวป้ายมันบอกเองแก" หลงสิค่ะ จะเหลือเหรอ
คราวนี้ต้องเดินทางด้วยปากกันแล้วล่ะ สอบถามชาวบ้านค่ะ คนที่น้ำปาดยิ้มแย้ม ใจดี ถามไปถามมาได้ความว่าให้ไปทาง อ.ห้วยมุ่นทางหลวงหมายเลข 1339 ขอมูลนี้ตรวจสอบอีกทีนะ อาจไปได้หลายเส้นทาง
ขับไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นกลางวันจะมีธรรมชาติให้ชมตลอดข้างทาง แต่ถ้าค่ำแล้ว ก็จะมืดตึบ ทางค่อนข้างโค้งและขึ้นเขาเรื่อยๆ ต้องขับระวังค่ะ ถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว เวลาเกือบ 20.00 น. เราตกลงกันว่าจะนอนที่บ้านพักของอุทยานฯ 1 คืน เฮฮาปาจิงโกะกันไปเบาๆ เกือบ ตี 1 เข้านอน (นี่เบาของคุณมุงหรือคร้าาาาา)
ตื่นเช้ามาก ย้ำว่าเช้ามาก 06.00 น. (เช้าแล้วนะ) เราตื่นมาด้วยอาการมึนงง ฤทธิ์เฮฮาปาจิงโกะเมื่อคืนสินะ ไม่น่าเล้ยยยตรู
แต่ไม่ได้ ไม่ได้ เดี๋ยวอิเพื่อนจะสมน้ำหน้า ปรับตัวเองเข้าสู่โหมดคนปกติโดยด่วน! อันนี้แนะนำให้กินยาพาราเซตามอล ช่วยได้ค่ะ เมื่อยาออกฤทธิ์เหงื่อจะซึมๆ สักพักเดี๋ยวดีขึ้นแน่นอน
เมื่อสมาชิกตื่นครบองค์ประชุม สิ่งแรกที่ทุกคนเรียกร้องโหยหวน หิววววววว ดังภาพทริปเราเริ่มเดินขึ้นภูเวลาโดยประมาณ 09.00 น. ถึงลานสน 3 เวลา กลุ่มแรก ประมาณ 12.00น. กลุ่มที่ 2 ประมาณ 15.00 น. ส่วนเราและเพื่อนอีก 1 คน ถึงเวลา 17.00 น. สิริรวมเวลาเดินเท้าของเรา 8 ชั่วโมง มีใครจะทำลายสถิติไหมคะ (น่าภูมิใจตรงไหนเนี้ย) สโลแกนของเราและเพื่อนอีกคนคือ เดิน 10 ก้าว พักค่ะ หุหุหุหุ
ระหว่างทางก็เก็บบรรยากาศกันไป คุยกับลูกหาบบ้าง เพื่อนร่วมทางบ้าง ขอข้าวขอน้ำลูกหาบบ้าง จำเป็นอ่ะนะ เสบียงที่เตรียมมาหมดระหว่างทางยังไม่ถึงเนินปราบเซียนด้วยซ้ำ เจอพี่ลูกหาบที่หาบของกลุ่มเราพอดี พี่แกใจดีแบ่งข้าวเหนียวมา 1 ปั้นใหญ่กับไก่ทอดติดกระดูกนิดหน่อย แต่เชื่อไหม ทำให้ หมูภูเขาอย่างเรา อิ่มแปร้ เลยล่ะ มา มา ชมภาพระหว่างทางกันไปเพลินๆ มีทั้งมิตรภาพและรอยยิ้ม
ในที่สุดก็มาถึงเนินสุดท้าย ที่ใครๆ ก็บอกว่า โหด "เนินมรณะ" แต่ป้าลูกหาบคนหนึ่งบอกไว้ตรงเนินป่าก่อว่า "เดินไปเถอะไอ้หนู เดินสบายลูก สวยลืมเหนื่อยเลย" ค่ะ ค่ะ หนูเชื่อป้าเต็มหัวใจ เกิดแรงฮึกเหิม เอาว่ะ ป้าบอกเดินสบาย ชิว ช้าอยู่ใย ไปๆ
เม้าท์มอยหอยสังข์กันไป ยังกับไม่เจอกันมา 20 ปี
กินข้าวกินปลากินน้ำเรียบร้อย 21.00 น. เข้านอนตั้งนากาปลุก 23.00 น. ตามหาทางช้างเผือก ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ อ้าววว เห้ย ทางช้างเผือก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตี 5 นั้นคือ เวลา ตื่นของเรา หมดกัน อดตามหาทางช้างเผือก ทำใจไปเก็บบรรยากาศอย่างอื่นก็แล้วกัน
นี่คือ เวลา 06.00 น. ตื่นครบองค์ ไม่มีอะไร กินคร้า อันดับแรกเราออกเดินทางจากป้ายผู้พิชิตเวลาเกือบ 10.00 น. ลงมาถึงจุดบริการนักท่องเที่ยวก็ประมาณ 14.00 น.
รั้งท้ายอีกเช่นเคย
ทริปหน้าเจอกันใหม่ ที่ไหน ยังไม่รู้ เย้ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ (กราบสวัสดีงามๆ)
ค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายไป กระซิบเบาๆ นะ ไม่ถึง 1,500 บาทค่ะ ^_^ จริง
ข้อแนะนำสำหรับคนที่กำลังจะไป
ไปหน้าหนาวช่วงเดือน ธ.ค. - ม.ค. จะเจอทะเลหมอก และลานดอกไม้
ติดต่อที่พักหรือรายละเอียดค่ะ
http://park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?PTA_CODE=9114