สวัสดีค่ะ กลับมารีวิวการเดินทางครั้งใหม่กับที่ที่เดิม "เชียงใหม่" เพิ่มเติมคือ "หน้าร้อน" อ่านไม่ผิดคะครั้งแรกกับการไปเที่ยวเชียงใหม่หน้าร้อนของเรา ปกติจะชอบไปปลายฝนต้นหนาว หรือไม่ก็หน้านาว แต่ครั้งนี้กดตั๋วโปร 0 บาท กับเดอะแก๊งได้ช่วงเวลา 06-10 มีนาคม 2019 บอกเลยว่า "เชียงใหม่" มาเที่ยวบ่อยจนจะเป็นบ้านหลังที่ 3 ไปแล้วนะ เพราะยิ่งมาบ่อยก็ยิ่งหลงรัก
แพลนการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ **หนีขึ้นไปที่บนดอย ที่สูงกัน เพราะรู้ว่ามาช่วงควันไฟ"
มาเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยกัน บินจากภูเก็ต - เชียงใหม่ ในรอบเช้าก็จะถึงเชียงใหม่ประมาณ 10.35 ก็ออกมารอพี่จะมาส่งรถเช่า นัดกันที่สนามบินก็ได้รับรถและเก็บกระเป๋าขึ้นรถ พร้อมออกเดินทางออกจากสนามบินก็ประมาณ 11.00 ทริปนี้มี 3 สาว เดอะแก๊งที่เคยมาตะลุยดอยเชียงใหม่กันเมื่อ 3 ปีก่อน มาครั้งนี้ก็ยังตื่นเต้นเหมือนเดิม
เมื่อคนพร้อมรถพร้อมก็สตาร์เครื่องออกรถกัน มุ่งหน้าไปยังนิมมานกันไปหาอะไรกินมื้อเที่ยงกันก่อน
มาตามหาร้านอาหารเหนือกันที่ "Kinlum Kindee กิ๋นลำกิ๋นดี"
ที่ตามมาเพราะ"ปูอ่อง" นี่แหละ อยากกินมานานแล้วมาครั้งนี้ได้กินสมใจเลย ร้านนี้อร่อยมากเด้อปูอ่องนี่ไม่ได้มาเล่นๆนะโคตรของโคตรมันปูเลย"ปูอ่อง"
ชุดยินดีเจ้า ไส้อั่วขมิ้น น้ำพริกหนุ่ม ไข่ต้ม ผักลวก ข้าวนึ่ง
"แกงโฮะ"จิ้นส้มหมกไข่
Kinlum Kindee - กิ๋นลำกิ๋นดี นิมมานเหมินท์ ซอย 9
เปิดทุกวัน ตรงข้ามโรงแรม Akyra ครัวบริการ 11.00-20.30น. ร้านปิด 21.00น.
ร้านสตาร์บัคส์ สาขานิมมาน ซอย 9
โฉมคือสวยมาก ด้านในมีสองชั้นเหมือนเดิม แต่กว้างขึ้นมาก กลับมาในรูปแบบของ Experience Bar พบกับเครื่องดื่ม Nitro Cold Brew พร้อมเครื่องชงหลากหลายชนิดทั้ง Syphon, Chemex, Pour over รวมถึง Black Eagle
มีให้เลือกทั้งโซนเอาร์ดอร์ด้านนอก บรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้
มาแล้วก็ต้องลองเมนูที่แนะนำ "Nitro Cold Brew" เป็นเมนูกาแฟที่ลงตัวมากๆ ละมุนมาก
เมืองเชียงใหม่ -----> หมู่บ้านแม่กลางหลวง อ.จอมทอง
เดินทางออกจากเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่ อ.จอมทอง ซึ่งจุดหมายปลายทางของเราในคืนแรกก็คือ "หมู่บ้านแม่กลางหลวง" โดยออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เส้นทางเลี่ยงเมืองสันป่าตองหางดง ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 57 ซึ่งอยู่ก่อนถึงตัวอำเภอจอมทอง ประมาณ 1 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวามือเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 สายจอมทอง-อินทนนท์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที
เมื่อถึงสามแยกไฟแดงจอมทอง-ดอยอินทนนท์ ก็เลี้ยวขวาขับตรงขึ้น มาถึงด่านตรวจจุดที่ 1 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ (กม.8) ชำระค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าท่องเที่ยวอุทยาน
หมู่บ้านแม่กลางหลวง (ดอยอินทนนท์ กม.26) ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง " ปกาเกอะญอ "ที่อยู่ในบริเวณพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ดอยอินทนนท์ มาในช่วงมีนาคมเป็นหน้าร้อนกันแล้วแต่ที่หมู่บ้านแม่กลางหลวงอากาศดีเย็นสบายมาก ซึ่งแม้ว่าไม่ได้เห็นความสวยงามของฤดูทำนาขั้นบันได แต่ก็มีความสวยงามในฤดูที่แตกต่างขับรถเข้ามาในหมู่บ้านก็ขับตรงขึ้นไปยังร้าน "กาแฟสมศักดิ์ โถ่บิเบ" บริเวณนั้นจะมีที่จอดรถและคล้ายเป็นจุดนัดพบของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ เมื่อเดินเข้ามายังในร้านก็จะได้กลิ่นกาแฟที่หอมลอยแตะจมูกภาพที่จะ เจอซุ้มที่นั่งล้อมกาดำๆที่ตั้งบนไฟก่อด้วยไม้ฟืน ซึ่งเป็นการต้มกาแฟด้วยกาน้ำ ง่ายๆ แล้วก็จะมีพี่ๆ ลุงสมศักดิ์ พูดเชื้อเชิญการต้อนรับให้เรานั่งอย่างกระตือรือร้น ตามด้วยกาแฟสักแก้วก่อนไหม? น้ำกำลังเดือด กาแฟพร้อมเสิรฟ
มุมเสวนาระหว่างนักท่องเที่ยวกับชาวบ้านแม่กลางหลวง มิตรภาพที่เกิดจากการให้ กาแฟหนึ่งแก้ว
เข้ามาที่นี่เพราะจะมารับกุญแจที่พักได้จองไว้ก่อนล่วงหน้า "อินทนนท์ คีรีมายาแม่กลางหลวง" ของลุงสมศักดิ์นั้นเอง มาในช่วงหน้าร้อนราคาที่พักก็จะถูกลงหน่อยนะเพราะไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว
กาแฟสดที่นี่ยังเป็นกาแฟบดแบบเก่าๆดูคลาสสิก แต่ขอบอกว่าเข้มข้นหอมกรุ่นกาแฟแท้สดจากต้นมากๆ
มิตรภาพแห่งขุนเขา กับกาแฟหนึ่งแก้ว
ที่พักคืนนี้ "บ้านปลายฝัน" เป็นชื่อบ้านพักในแต่ละหลัง หลังนี้จะอยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟของลุงสัมศักดิ์ อยู่บริเวณด้านหลังซึ่งมีทางเนินชันขึ้นไป ก็จะเจอต้นกาแฟที่ปลูกไว้ระหว่างก่อนจะถึงบ้านพัก
มาถึงแล้ว "บ้านปลายฝัน" ที่พักทั้งสองคืนมาอยู่บ้านแม่กลางหลวง เดินขึ้นมาจากทางเนินและชันพอสมควรเมื่อถึงทางแยกบ้านพักจะอยู่ขวามือก็เจอบ้านไม้ที่ยกสูงแบบมีใต้ถุนอยู่ประมาณ 3 หลังโดยมีต้นลำไย ต้นกาแฟ ล้อมรอบบริเวณกันเลย แต่ละหลังก็จะมีชื่อบ้านพักติดอยู่ด้านหน้า ส่วนแยกด้านซ้ายมือก็จะเป็นบ้านของชาวบ้านและทางไปยังท้ายหมู่บ้านเมื่อขึ้นบันไดบ้านมาก็จะเจอโต๊ะหน้าระเบียงหรือชานบ้าน เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอเตียงนอนใหญ่ๆ 2 เตียง พร้อมผ้าห่มและผ้าขนหนูจัดวางไว้บนเตียงอย่างเรียบร้อย และห้องน้ำก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยนะ (บ้านหลังนี้จะพักได้ 4 ท่าน)
นี้หลังตรงข้ามของ"บ้านปลายฝัน"
เก็บกระเป๋านั่งพักให้หายเหนื่อย ชวนเพื่อนออกไปเดินสำรวจหมู่บ้านกัน ระหว่างรอนัดทานข้าวมื้อเย็นกับพี่ๆที่บ้านแม่กลางหลวง ตัวเรามาที่นี่เป็นครั้งที่สามแล้วส่วนเพื่อนอีกสองคนนั้นเป็นครั้งแรก เลยทำหน้าที่ไกด์เล็กน้อยในการเดินไปชมธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ
วิถีชีวิตของชาวปกาเกอะญอ ก็ยังคงเรียบง่าย บ้านเรือนแต่ละหลังก็แบบกระทัดรัด ทำด้วยไม้ยกสูง ใต้ถุนเรือนมีเล้าไก่ เล้าหมู มีฟืนจำนวนมากอยู่ข้างๆบริเวณบ้าน และปัจจุบันก็จะมีบ้านรูปแบบสมัยใหม่เข้าผสมผสานแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมไว้
เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในหุบเขาขั้นบันไดบริเวณลุ่มน้ำแม่กลาง บนดอยอินทนนท์ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อากาศดีเกือบตลอดทั้งปีในหมู่บ้านก็มีโรงเรียนเตรียมความพร้อมสำหรับเด็กเล็ก ไปจนถึงประถมหก
โบสถ์คริสต์ชุมชน
"สถานทีชิคๆใกล้ชิดธรรมชาติ ทั้งสัมผัสวิถีชีวิตของชาวปะกาเกอะญอ"
เดินๆมายังแถวหลังโบถ์ส จะเจอถนนเล็กๆแบบดินแดง บางช่วงก็คอนกรีต เห็นพี่สาวและเด็กชายเดินลงจากเนินเขา
เดอะแก๊ง: เลยถามว่า "พี่ จะไปไหนกันจ้า?"
สาวปกาเกอะญอ: "จะไปหาปลาในลำน้ำด้านล่าง"
เดอะแก๊ง: พวกเราก็ตามไปด้วยนะ
สาวปกาเกอะญอ: ยิ้มหวานให้ แล้วพยักหน้า
ไม่รอช้าก็รีบเดินตามลงไปที่ลำธารด้วย แต่บอกเลยว่าพวกเขาเดินเร็วมากเลย สงสัยพวกเรายังไม่ชินกับการเดินบนทางเนินและชันบนดอยกัน
เดินลงเนินมาเรื่อยๆก็จะเจอกับสะพานคอนกรีตที่ทอดข้ามลำธารที่ไหลมาจากยอดดอยอินทนนท์พาดผ่านหมู่บ้านแม่กลางหลวง
เดินมาถึงลำธารแล้วสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นๆ สดชื่นมากเลย และภาพที่ได้เห็นก็คือพี่สาวลงไปก้มๆที่กำลังหาปลาด้วยอุปกรณ์ที่คล้ายๆกับสวิง น้องผู้ชายก็เล่นน้ำอยู่ใกล้ๆ เป็นภาพที่น่ารัก ทำให้พวกเรายิ้มตามไปด้วย
สาวปกาเกอะญอกับอุปกรณ์จับปลาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นั่งดูพี่สาวหาปลากันจนเพลิน
ใกล้ๆกับลำธารก็จะเป็นพื้นที่ปลูกปลูกข้าวนาขั้นบันได แต่นี้ยังไม่ใช่ฤดูทำนาก็จะเป็นแปลงปลูกดอกดาวเรืองหรือพืชอื่นๆ เวลามาต่างจังหวัด สมองจะเปิด จิตใจแจ่มใส ร่างกายแอคทีฟสุดๆ ถึงแม้ว่าจะใช้งานอย่างหนักหน่วงก็ตาม อย่างนี้แหละ ที่เค้าเรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด"
แปลงดอกกระดาษใกล้ๆลำธาร
พี่สาวยังจับปลากันอยู่ พวกเราตะโกนบอกว่า"กลับก่อนนะค่ะ"
เวลาผ่านไปเร็วจนพระอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า พวกเราต้องรีบเดินกลับมายังที่พักเพราะกลัวจะมืดก่อน เดินมาเรื่อยๆ พระอาทิตย์เริ่มตกลับหายไปหลังภูเขาตามด้วยแสงทองตัดกับความเขียวของภูเขาช่างเป็นภาพที่สวยงามมากเลย ภาพจริงมองด้วยตาตัวเองจะสวยกว่าภาพถ่าย
ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการจะไปเที่ยวมีอยู่ 2 ช่วง คือ
เดือนกันยายน – กลางตุลาคม เป็นช่วงหน้าฝน นาข้าวจะเริ่มเขียวสดดูสวยงาม สบายตา
ปลายเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน เป็นช่วงที่นาข้าวออกรวงสีทองเต็มท้องทุ่งเหลืองสวยงาม
กลับมายังบ้านพี่แหม่ม พี่สาวสาวปกาเกอะญอที่จะโชว์ฝีมือมื้อเย็นของพวกเราทั้งสามคนในวันนี้ ก็มาบุกถึงครัวของบ้านพี่แหม่มก็ยังเห็นกลิ่นไอแบบดั้งเดิมที่ผสมผสานกับยุคสมัยใหม่ เป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ และการทำอาหารก็ยังเป็นแบบวีถีชีวิตปกาเกอะญอ
ไม่นานพี่แหม่มและเพื่อนบ้านที่มาช่วยกันปรุงอาหาร ก็ยกขันโตกพร้อมกับข้าวแล้วทุกคนก็มานั่งล้อมวงกัน
"แกงเย็น" เมนูที่ชาวปกาเกอะญอนิยมทำกินกันมาเนินนาน
"ผักกาดดอง" บนดอย
"น้ำพริกปลากระป๋อง พริกคั่วหอมๆ"
" ข้าวเบ๊อะ "
พระเอกของมื้อนี้ " ข้าวเบ๊อะ " คือข้าวต้มน้ำกระดูกหมู มีข้าว ผักต่าง ๆ และเนื้อสัตว์ มาต้มจนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นิยมทำตอนที่มีพิธีกรรมในชุมชนหรือในครอบครัว กับทำเมื่อมีแขกมาเยี่ยมบ้าน