“เนินมะปราง” ดินแดนมหัศจรรย์ สวรรค์ติดดิน

ครั้งหนึ่งเคยสงสัยว่าที่นี่มีอะไร ทำไมหลายคนถึงสนใจที่จะไปเยือน
จนได้อ่านเรื่องราวต่างๆ ทำให้รู้สึกอยากที่จะไปสัมผัสด้วยตัวเอง
ที่ซึ่งมีขุนเขารูปทรงดุจความฝัน และที่ซึ่งมีความสุขในแบบเรียบง่ายติดดิน
.....................................................................................
อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางแบบฉบับของผม ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL https://www.facebook.com/PEESAT.PANTIP/
ยามฤดูร้อนแบบนี้เส้นทางสายเนินมะปรางเต็มไปด้วยสีเหลืองของดอกคูณเต็มสองข้างทาง
ดูสวยงามละลานตาทอดยาว แม้สองข้างทางจะดูแห้งแล้ง ไร้การเพาะปลูกเกษตรกรรมก็ตาม 
ผมใช้เส้นทางการเดินทางสาย 11 เส้นทางวังทอง – ตากฟ้า
ก่อนเลี้ยวซ้ายสู่ อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก
ผมใช้เส้นทางนี้ค่อนข้างบ่อยเพื่อเชื่อมต่อไปยังภาคเหนือ
เพราะไม่ค่อยมีรถวิ่งไปมามากเท่าไหร่นัก เลี่ยงรถติดช่วงเทศกาล
และมีเรื่องราวให้เราได้เพลิดเพลินระหว่างการเดินทางอยู่ตลอดเวลา
จากเส้นตากฟ้าเลี้ยวซ้ายสู่ อ.เนินมะปราง ราว 20 กว่ากิโลเมตร
เส้นทางค่อนข้างดีรายล้อมไปด้วยทุ่งนาที่ยังไม่ได้เพาะปลูก 
จุดหมายแรกคือบ้านรักไทย อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก
ก้าวย่างแรกให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ที่ภาคใต้
เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยสวนยางพารา รวมไปถึงสวนผลไม้ 
มาบ้านรักไทยก็ต้องขึ้นมาที่จุดชมวิวซึ่งเป็นไฮไลท์ชองการมาเยือนที่นี่
บริเวณนี้จะเรียกว่า “บ้านสวนชมวิว โฮมสเตย์บ้านรักไทย”
บริเวณจุดชมวิวจะมีชิงช้าลอยฟ้าบนต้นไม้รูปหัวใจที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะ
เรียกว่าถ้ามาเนินมะปรางแล้วไม่ได้มานั่งชิงช้านี้ ถือว่ามาไม่ถึงเนินมะปราง
บริเวณด้านข้างชิงช้าจะเป็นบ้านต้นไม้ เพิงเล็กๆ ที่สร้างขึ้นบนต้นไม้
สามารถกางเต็นท์ค้างแรมโดยมีคนดูแล ห้องน้ำสะดวก วิวสวยงาม 
ในวันที่อากาศเป็นใจ ในฤดูกาลปลายฝนต้นหนาว
พี่เจ้าของที่พักเล่าให้ผมฟังว่าตรงจุดนี้จะเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว 
มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาลองนั่งชิงช้าลอยฟ้ากันเรื่อยๆ
อาจจะดูว่าหวาดเสียว แต่ก็แข็งแรงและค่อนข้างปลอดภัยดี 
โดยรวมถือว่าจุดนี้น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวครับ
เพราะค่อนข้างเงียบสงบ มีที่พักที่กำลังก่อสร้างอยู่ 3-4 แห่ง
เหมาะที่จะมาค้างแรมและชมทะเลหมอกในฤดูหนาว 
คืนนี้ผมขอลองกางเต็นท์พักค้างแรมที่บ้านต้นไม้หลังนี้ซักคืนในราคาเพียง 150 บาท
แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนแต่พอแดดร่มลมตกก็รู้สึกเย็นสบายไม่ร้อนครับ 
บริเวณโดยรอบจุดชมวิวยังมีที่พักน่ารักๆ สวยๆ ในราคาหลักร้อยไว้บริการอีก 3 - 4 แห่ง
ที่พักส่วนใหญ่จะเป็นแบบเรียบง่ายแนวโฮมสเตย์ที่ราคาย่อมเยาปลูกสร้างหันหน้าเข้าหาจุดชมวิว
จุดนี้จะเป็นที่พักที่ชื่อกนิษฐาโฮมสเตย์
บรรยากาศสวยงามล้อมรอบไปด้วยสวนยางพารา 
ที่พักแต่ละแห่งจะทำแนวระเบียงที่ยื่นออกไปรับลมชมวิว
แม้ในยามฤดูร้อนแบบนี้ ในเวลายามเช้าอากาศก็หนาวเย็นพอสมควร
ลมค่อนข้างแรง อาจไม่มีทะเลหมอกแต่ก็สวยงามไปอีกแบบ 
มีมุมน่ารักๆ เอาไว้เก็บภาพความประทับใจในแบบเรียบง่ายสบายๆ 
ยามเมื่อสายฝนโปรยปราย ความอุดมสมบูรณ์ ความชุ่มชื้นกลับมาอีกครั้ง
มุมเล็กๆ แห่งนี้ผมยังไม่แน่ใจนักว่าเก้าอี้นิ่งสงบเหล่านี้จะยังว่างอยู่ไหม
ตลอดเวลาที่ได้อยู่ที่นี่อาจมีผู้คนแวะเวียนมาบ้างเพราะเป็นวันหยุดสงกรานต์ แต่มาแล้วก็จากไป
คำพูดหนึ่งจากพี่เจ้าของที่พักยังคงดังก้องอยู่ภายในจิตใจ
“ที่นี่เป็นเหมือนบ้านของผม ผมเกิดที่นี่ ผมมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่
แม้จะไม่มีคนเข้าพักซักคนเดียว ผมก็ยังมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่”
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ กับดินแดนที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก
บางทีความสุขก็อบอวลอยู่ในตัวของมันเอง ไม่ต้องมีผู้คนมากมาย ไม่ต้องมีร้านสะดวกซื้อ
เพียงแต่เราเอาตัวเองเข้าไปสัมผัส เพียงพอแล้วก็เดินออกมา
เหลือไว้แต่สิ่งที่สวยงามดังเดิม รอวันหวนคืนกลับมาใหม่ ก็เพียงพอแล้ว... 
มุมนี้จะเป็นที่พักที่ชื่อว่า สวนข้าวตู ภูข้าวฟ่าง
ที่พักในแบบเรียบง่ายเช่นเดิม หันหน้าออกไปยังจุดชมวิว
มีมุมน่ารักๆ ไว้จิบกาแฟชมวิว 
มีมุมเอาไว้นั่งผ่อนคลายสบายๆ มองออกไปเห็นวิว 360 องศา
อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ว่ารีสอร์ทที่พักบริเวณจุดชมวิวแห่งนี้มีเพียง 3-4 แห่ง
แต่ละแห่งเพิ่งเปิดบริการได้ไม่นานนัก รูปแบบก็ไม่ได้หรูหรา
แต่กลับรู้สึกสบายตาสบายใจเมื่อได้มาเยือน 
บริเวณจุดชมวิวแห่งนี้ส่วนใหญ่ก็จะปลูกผลไม้นาๆ ชนิดควบคู่ไปกับการทำที่พักไปด้วย
ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง ยางพารา ข้าวโพด มะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น 
จากบ้านรักไทย ผมใช้เส้นทางไปยังตัวอำเภอเนินมะปราง เพื่อต่อไปยังบ้านมุง
อีกหนึ่งจุดหมายหลัก และต้องไม่พลาดในการมาเยือนเมื่อมาเนินมะปราง 
ระหว่างทางจะพบกับวิวของทุ่งนาที่มีฉากหลังเป็นภูเขาสูงตระหง่านดูสวยงาม
แม้ยามนี้จะดูแห้งแล้งก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าเมื่อสายฝนกลับมาอีกครั้ง
ที่นี่ต้องเป็นดั่งสวรรค์อย่างแน่นอน
พื้นที่ส่วนใหญ่ของเนินมะปรางจะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
ส่วนใหญ่จะเป็นทุ่งนาสลับไปกับภูเขาสูงเชื่อมต่อไปยังอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง 
ภาพของต้นตาลบนผืนนาฉากหลังเป็นภูผามีนกบินไปมา
และนี่คือภาพของวิถีชีวิตคนไทยที่ผมภูมิใจ 
ก้าวย่างแรกสู่เขตบ้านมุง รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นขุนเขารูปทรงแปลกตา
ไร่ข้าวโพดกำลังออกดอกโดยมีกำแพงภูเขาเป็นฉากหลัง แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าที่นี่คือพิษณุโลก
ยิ่งเข้าไปสัมผัสใกล้ๆ ก่อนถึงบ้านมุง ยิ่งเห็นถึงความอลังการของขุนเขา 
ผมเคยคิดว่าไร่ข้าวโพดมีอย่างมากมายที่เชียงราย น่าน
และผมคิดอีกว่าขุนเขาหินปูนรูปทรงแปลกตามีอยู่ที่ภาคใต้
แต่แล้วความคิดของผมก็พลันเปลี่ยนไป
ทุกอณูบนผืนแผ่นดินไทยมีดินแดนให้ได้ค้นหาอีกมากมาย
และทุกอณูความสวยงามของบ้านเราที่ยังไม่ได้ออกสู่สายตาก็มีอีกเป็นจำนวนมากเช่นกัน 
บ้านมุง หมู่บ้านเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยขุนเขาหินปูน
จากปากทางเข้าสู่หมู่บ้าน สามารถมองเห็นความอลังการของฉากหลังได้แต่ไกล 
ความงดงามของขุนเขาที่ยิ่งใหญ่ หากเปรียบเข้ากับวิถีชีวิตที่ดูเรียบง่ายแลเห็นได้ตามชนบททั่วไป
นี่อาจเป็นส่วนผสมที่กลมกล่อมฝังลึกซุกซ่อนความงาม เพื่อรอการเชยชมอยู่ห่างๆ 
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ศาสนาย่อมเป็นศูนย์รวมทางจิตใจ ศูนย์รวมของชุมชนเสมอ
สำหรับดินแดนแห่งนี้ก็เช่นกันที่มี วัดบ้านมุง เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธา
ภายในหมู่บ้านจะมีถนนเล็กๆ ซอยต่างๆ หลายซอยเชื่อมต่อกัน
รูปทรงบ้านก็ปลูกสร้างกันอย่างเรียบง่าย มีใต้ถุนบ้านไว้ทำกิจวัตร
ลัดเลาะไปตามถนนด้านข้างของหมู่บ้าน
โซนนี้ไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก และขุนเขาในภาพก็อลังการแปลกตาทีเดียว 
โซนด้านข้างของหมู่บ้านนี้นานๆ จะมีรถวิ่งผ่านไปมาซักคัน
ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไร่ชาวนาที่วิ่งผ่าน
 โดยรอบพื้นที่ก็มีการเพาะปลูกพืชไร่นาๆ ชนิด
อีกหนึ่งไฮไลท์และเป็นอันซีนของบ้านมุงแห่งนี้คือช่วงเวลายามเย็น
ราว 6 โมงเย็นจะมีฝูงค้างคาวบินออกมาจากถ้ำบริเวณขุนเขาแห่งนี้นับล้านตัว
รู้สึกมีความสุขเมื่อได้มาอยู่ที่นี่ด้วยองค์ประกอบที่เรียบง่าย 
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเข้ามาที่บ้านมุง ถ้าให้เลือกกล่าวแต่สิ่งดีๆ คงแบ่งออกได้เป็นสองสิ่งด้วยกัน
สิ่งแรกคือ ขุนเขาที่สวยงามแปลกตา และสิ่งที่สองคือ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่ดูอบอุ่น 
บางทีการได้เห็นความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
วิถีชีวิตที่อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยและชุมชนที่มีความสามัคคี
บางครั้งก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่านักท่องเที่ยวอย่างเราจะเข้ามารบกวนจนเกินไปไหม 
หากแต่คำตอบที่แสดงออกมาอย่างเด่นชัดคือรอยยิ้มแห่งมิตรภาพที่ส่งต่อมาให้ผู้มาเยือนอย่างพวกเรา 
โลกใบนี้คือดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักมันได้จากการบอกเล่า
แต่คนเราจะต้องเดินทางท่องเที่ยวไปเพื่อทำความรู้จักกับมันด้วยตัวเอง
“ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบันทึกการเดินทางในชุดนี้ครับ แล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไป สวัสดีครับ”


อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางแบบฉบับของผม ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL https://www.facebook.com/PEESAT.PANTIP/