นั่งรถไฟฟรี หนีร้อนไปนอนกาญ (สังขละบุรี)
Kanchanaburi Sangkhla-Buri
5-9 Apr.2016
สวัสดีค่าาาาาา กราบงามๆแบบเบญจางคประดิษฐ์ อยู่ๆก็อยากไปอยู่ๆก็ตกลงปลงใจจะไปด้วยกัน ชาย 1 หญิง 3 ทริปในตำนานจึงเกิดขึ้นเป็นทริปที่ไม่มีแพลนอะไรเลย แม้กระทั่งที่พักก็ตามที รู้อย่างเดียวคือขึ้นรถแล้วไปต่อยังไง รู้แค่นั้นจริงๆ5555+
คำแนะนำ : สำหรับท่านที่ยาวขี้เกียจอ่านให้เลื่อนลงไปท้ายทริป จะมีสรุปทริป
ติดตามหรือสอบถามข้อมูลเพื่อมเติม IG : nompracharot
Page : https://www.facebook.com/wanttotravel01/
เที่ยงของวันที่ 5 พี่ชายพี่สาวของเพื่อน จขกท.ไปส่งที่สถานีรถไฟขอนแก่น นี่คือแบบ ประหยัดไปอี๊กกกกกกก (ต้องขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการมา ณ. ที่นี้ด้วยนะคะ ) ก่อนถึงสถานนีรถไฟนี่มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์กันเลย รถ!! เครื่องยนต์ร้อน ปัญหามาจากหม้อน้ำ นี่ก็ต้องจอดรถข้างทางหาน้ำมาเติมกันพักใหญ่ ถึงไปต่อได้ (เกือบไปแว้ววววว)
และแล้วก็มาถึง เห้ยยย!! ถึงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกกับการที่จะได้นั่งรถไฟ มันคือเจ้าตู้เหล็กเคลื่อนที่ได้ ที่ตอนเด็กๆเล่นจับไหล่ต่อๆกันหลายคนแล้วร้องเพลงยอดฮิตในวัยนั้น รถไฟจะไปโคราช ตดปาดๆถึงราชบุรี ปู๊นๆ ฉึกฉักฉึกฉัก ก่อนอื่นก่อนใดนั่นคือจองตั๋ว ตั๋วฟรี!!! ฟังอีกครั้ง ตั๋วฟรี!!! นี่ของฟรีมีในโลกจริงๆนะ แค่ยื่นบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่ ให้เขารู้ว่าเราเป็นคนไทย แค่นี้ก็ได้มาแล้ว
นึกขึ้นได้ว่ายังไม่กินข้าวเที่ยง นี่เลยปลาทอดกร๊อบกรอบ + น้ำ 30 บาท รอสักพักใหญ่ๆรถไฟของเราก็มา ถือว่าออกตรงเวลามาก ป้ายแรกนี่คือปลื้มค่ะ
ระหว่างที่รถไฟข้ามน้ำจะเกิดเสียงดังกว่าปกติ เพราะฉนั้นเสี้ยง วู๊วววว ว๊าววว จึงดังให้ได้ยินบ้างในช่วงแรกและเงียบลงในเวลาต่อมาเมื่อโดนสายตาของผู้โดยสารคนอื่นมองมาด้วยความสนใจ อภัยด้วยเพคะ กระหม่อมพึ่งเคยขึ้นครั้งแรก 5555+
ทุกอย่างดูตื่นตาตื่นใจไปหมดเมื่ออยู่บนรถไฟ แต่ขอย้ำว่าเวลากลางวันไม่ควรนั่งฝั่งขวาเด็ดขาดค่ะ เพราะแดดส่องและร้อนสัสสัส ร้อนแบบไม่น่าให้อภัย จาก15.36 น. ตอนนี้ถึงโคราชเป็นไปได้ว่าไม่หลับเลยแม้แต่น้อย 19.00 น. รถไฟเข้าเทียบชานชลา 4 ผู้กล้าเดินลงมาอย่างมั่นใจ มุ่งตรงไปที่จุดขายตั๋วจุดหมายต่อไปคือหัวลำโพง ป๊าบ!!!เข้าให้........ได้ความว่ารถออกรอบเร็วสุดคือ 22.34 น. สอยตั๋วมาในราคาใบละ 100 บาท แล้วเดินออกไปหาข้าวตบท้อง
อ่าาาาา เดินมาไม่กี่ก้าวก็ได้เจ้านี่ตบท้อง ร้านข้างสถานีรถไฟชามละ 35 บาท กินเสร็จนั่นๆ เห็นไฟเซเว่นเป็นไม่ได้แสงมันแยงตา ต้องไปสักหน่อยละ
ได้ออกมาคือชูชิ 27 บาท บวก Spy 30 บาท แบตหมดเราก็อย่าได้หวั่น เพราะที่นี่คือ ประเทศไทย ลุงๆป้าๆที่นั่นใจดี บอกชาร์จได้เลย (ขอบพระคุณค่าาา)
สามทุ่มกว่า เดินกลับไปยังสถานีรถไฟเช่นเดิม เชี่ยยยยย!!!!! เรื่องเซอร์ไพรส์ยังไม่หมดเมื่อเจอมนุยษ์ป้าคนนึงขณะนั่งรอรถไฟ นั่งปุ๊บป้าก็ถามเป็นใครมาจากไหน แล้วโยงเข้าเรื่องโสเภณี ผู้หญิงขายบริการทันที ป้าบอกพวกที่เดินๆอยู่ในที่นี่เป็นพวกโสเภณีกันทั้งนั้น ดูที่เล็บจะทาเล็บ (อ่า จขกท. นี่รีบชักมือตัวเองขึ้นมาดูทันที โล่งออกไป ไม่ได้ทาเล็บมา คงไม่ใช่โสเภณีในอุดมคติของป้าแก แต่เดี๋ยว!!! หัวนี่พึ่งจะย้อมน้ำตาลอ่อนประกายทองมาสดๆร้อนเมื่อเช้านี้นี่น่า อ่าาาาาา ให้ตายสิ!) แล้วป้าก็เริ่มพูดดังขึ้นเรื่อยๆเกี่ยวกับผู้หญิงขายบริการและเมียน้อย คนแถวนั้นเริ่มหันมามอง ใจคอเริ่มไม่ดีละ เริ่มกลัว กรูเริ่มกลัว ดูท่าป้าน่าจะมีปมเรื่องนี้ และ ท่าออกไปทางจิตๆ นี่นั่งหน้าแกด้วยถ้าแกคุ้มคลั่งแล้วชักมีดขึ้นมาปาดคอ จขกท. คงดับเป็นคนแรก ดีที่รถไฟขบวนที่แกจะขึ้น มาช่วยชีวิตไว้ทัน เก้าอี้ว่างด้านหลังคือที่ๆป้าแกนั่ง สีหน้าท่าทางในขณะพูดคุยดูแกจริงจังมาก
เมื่อป้าจากไป จขกท.และเพื่อนก็รีบชิ่ง ไปยืนรอรถไฟอีกชานชลาหนึ่ง รถไฟป้ายนี้ช้าเหลือเกินเลทไปนานมาก ยืนรอนั่งรอจนเหน็บกิน และแล้วก็มาสักที พอรถไฟจอดเทียบชานชลาก็ต้องวิ่งหาโบกี้ของตัวเองที่เขียนระบุไว้ในตั๋ว ทั้งเหนื่อยทั้งตื่นเต้น ความรู้สึกแรกที่ก้าวขึ้นไปเหยีบบนโบกี้ โอ้วววววววว!!! แม่เจ้า! เซอร์ไพรส์(กรุณาใช้เสียงสูง) เซอร์ไพรส์อีกแล้ว...ตื่นเต้นจนไม้รู้จะตื่นเต้นยังไงแล้วเนี่ย ทริปในตำนาน เหมือนไม่ได้ซื้อตั๋ว เหมือนขอขึ้น นึกภาพตามนะคะ ณ. จุดๆนี้ (ลากเสียงยาว) เด็กวัยรุ่นทั้ง 4 คนพร้อมด้วยรูปร่างหน้าตาที่ออกไปทางดีมากสะพายกระเป๋าเป้และสัมภาระพะรุงพะรังเดินฝ่าช่องทางเดินบนรถไฟที่แคบถนัดไปด้วยผู้คนมากมาย เพื่อหาที่สักที่ให้สามารถหย่อนก้นลงนั่งได้หวังเพียง เพื่อช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าจากการเดินทางมาหลายชั่วโมง และใชัเป็นที่หลับนอนในค่ำคืนนี้เดินตามกันตั้งแต่โบกี้ที่ 3 จนเกือบจะโบกี้สุดท้าย ผ่านมาโบกี้แล้วโบกี้เล่าก็ยังหาทีนั่งไม่ได้ อะไรจะคนเยอะเบอร์นั้น แล้วต้องกลับมานั่งระหว่างทางเชื่อมของโบกี้รถไฟ
สภาพคือบริเวณนี้เป็นอ่างล้างมือ
ไม่รู้จะสงสารใครก่อนดี ระหว่างตัวเองกับคุณตา และเพื่อนร่วมชะตากรรม
อะเมซิ่งกิงกาเบลมากค่ะ 7 ชั่วโมงต่อจากนี้ไปคือความท้าทายของชีวิตที่บรรยากาศราวกับสงครามโลกก็ไม่ปาน แล้วแบบไม่มีที่นั่งไงต้องนั่งและนอนบนทางเดิน ลุงป้าผู้ขายของต่างเดินกันให้ควัก แล้วมีบ่นให้ด้วยนะว่าเกะกะทางเดิน อ่าตลกไปอีก เป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออก คือไม่ต้องบ่นได้มั้ย นี่ก็ไม่รู้จะนั่งไหนแล้วครัช บนรถไฟขบวนนี้เราได้เจอกับสองพี่สาววิศวะด้วยนะ จะไปกาญเหมือนกันมาร่วมเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน
7 ชั่วโมงอันโหดร้าย เหมือนผ่าสมอรภูมิรบมาได้ เนื้อตัวนี่มีความเหนียว เหนียวแบบเชี่ยๆ ตีห้ากว่ารถไฟเข้าเทียบชานชลา สถานีหัวลำโพง แล้วมาขึ้นตุ๊กๆให้คุณลุงไปส่งที่สถานีธนบุรี ในราคาค่าโดยสารคนละ 50 บาท และนี่คือเรื่องประทับใจที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เมื่อเพื่อนชายทำตังค์หล่นแล้วคุณลุงตุ๊กๆ(คนร้อยเอ็ด)นำตังค์มาคืนให้ถึงจุดขายตั๋ว ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะ เก็บตังแล้วกลับรถออกไปเลยก็ได้ แต่นี่เป็นลุงไง ถึงตังค์จะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็นับถือใจคุณลุงจริงๆ(ขอบคุณมากนะคะ ที่ทำให้รู้ว่าคนดียังมีอยู่จริง)
หลังจากยื่นบัตรประชาชนรับตั๋วฟรีมาแล้วก็ไปอาบน้ำกันในตลาดรถไปซึ่งค่าบริการ คนละ 10 บาท ซื้อข้าวไปอีก 45 บาท กลับมานั่งกินรอรถไฟ
เริ่มสว่าง 7.50 น. รถไฟเราก็มา ถือว่าคนเยอะพอสมควร กับรถไฟขบวนนำเที่ยวที่ขับผ่านเส้นทางสายมรณะ เส้นทางรถไฟที่ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางที่สวนที่สุด และถูกรายล้อมไปด้วยแม่น้ำและภูเขา
วิวหลักล้าน
และแล้วเราก็ถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว แต่ไม่ได้ลงนะแค่ผ่าน นี่คือแลนด์มาคที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกแห่งของเมืองกาญ
และถัดมา คือเส้นทางรถไฟสายมรณะ