คุณใช่ไหม ที่ทุกเช้าตื่นมาด้วยความเร่งรีบ รีบอาบน้ำ รีบแต่งตัว รีบกินข้าว รีบทำงาน โดยที่หลายๆ ครั้งยังไม่ทันได้นึกรู้ตัวว่ากินอะไรลงไปบ้าง อร่อยไหม มีประโยชน์ต่อร่างกายหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งยังไม่เคยได้ทันนึกรู้สึกว่าร่างกายของเรานั้นทำสิ่งใดอยู่ กำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกอยู่ ด้วยความวุ่นวายในป่าคอนกรีตของเมืองหลวง ทำให้หลายๆ ชีวิตดำเนินไปตามกระแสสังคม จะมีซักกี่ครั้งที่เราได้อยู่กับตัวเองอย่างจริงจัง ได้รู้ตัวเองว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ หรือได้เคยหยุดคิดหรือไม่ว่าความสงบอยู่ที่ใด...... ลองหยุดซักนิด แล้วตามเรามาหาแหล่งสงบทางจิต เติมพลังทางใจและจิตวิญญาณกันหน่อยดีกว่า

ไม่ต้องเสียเวลาออกเดินทางไปไหนไกลๆ เราก็สามารถลองชิมนิพพานที่กลางกรุงได้เหมือนกัน ณ “หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สวนโมกข์ กรุงเทพฯ” อาคาร 3 ชั้นริมสระน้ำใหญ่ในสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ที่ออกแบบให้มีลักษณะคล้ายหอไตร โดยที่ชั้นล่างประกอบไปด้วยลานหินโค้งปฏิบัติธรรมที่มีภาพหินสลักพุทธ ประวัติที่จำลองมาจากภาพพุทธประวัติชุดแรกของอินเดีย ซึ่งถือได้ว่าเป็นภาพที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด เริ่มตั้งแต่ภาพประสูติไปจนถึงปรินิพพาน และจบลงด้วยภาพโทณพราหมณ์แจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุ รวมถึงมีรูปหล่อโลหะพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรประดิษฐานอยู่ตรงกึ่งกลาง ซึ่งลานหินโค้งนี้ได้จำลองแนวคิดมาจากลานปฏิบัติธรรมสวนโมกขพลาราม วัดธารน้ำไหล จังหวัดสุราษฎร์ธานี นอกจากนี้ที่ชั้นล่างของอาคารก็ยังมีห้อง “คลังสมอง” ที่รวบรวมหนังสือว่าด้วยศาสนธรรมของท่านพระพุทธทาสและท่านอื่นๆ ไว้มากมาย ส่วนชั้น 2 เป็นห้อง “ฝึกสมาธิ” ซึ่งมีการจัดหลักสูตรการฝึกสมาธิไว้หลากหลายหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป รวมถึงห้อง “นิทรรศการนิพพานชิมลอง” และชั้นบนสุดนั้นเป็นที่เก็บรวบรวมผลงานของท่านพุทธทาส

เหตุผลหนึ่งที่คนกรุงอย่างเราๆ ไม่ควรที่จะพลาดโอกาส และแนะนำให้หาเวลามายังสวนโมกข์ กรุงเทพฯ ให้ได้ซักครั้ง เพราะเราอยากจะให้ทุกคนได้ใกล้ชิดกับท่านพุทธทาส และคำสอนของท่าน เพียงแค่เราได้ย่างก้าวเข้ามาที่นี่ เราก็เหมือนได้ซึมซับเอาความสงบเข้าสู่จิตใจแล้ว อาคารหอจดหมายเหตุฯ แห่งนี้ ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เก็บรักษา อนุรักษ์ และเผยแผ่ผลงานของท่านพุทธทาสเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่ทำให้คนกรุงที่ห่างไกลวัดวา และพระพุทธศาสนาอย่างเราๆ สามารถเข้าถึงแก่นของศาสนาได้ กิจกรรมหนึ่งที่เราอยากให้ทุกคนได้สัมผัสนั่นก็คือ “นิพพานชิมลอง” นิทรรศการที่มีจุดมุ่งหมายให้ผู้ที่เข้าชมได้พบกับ “นิพพานน้อยๆ” ชั่วขณะหนึ่งผ่านสื่อผสมต่างๆ ทำให้เราได้รู้ว่า “นิพพาน” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพียงแค่เรารู้ว่าอะไรคือ “ความสงบเย็น” หรือ “นิพพาน” ถ้าเราทำให้เกิดบ่อยขึ้นและนานขึ้น “นิพพาน” ก็จะอยู่กับเรา

นอกจากนี้ ภายในสวนโมกข์ กรุงเทพฯ ยังมีกิจกรรมหลากหลาย ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตลอดทั้งเดือน เช่น การทำบุญตักบาตรอย่างครั้งพุทธกาล โยคะในสวนธรรม ดนตรีมีธรรม อานาปานสติกับไทเก็ก เสวนาธรรม การบรรยายธรรม นิทรรศการหมุนเวียน ฯลฯ ซึ่งแต่ละกิจกรรมก็จะมีเหล่าอาสาสมัครให้ข้อมูลและให้คำแนะนำอย่างเป็นกัน เอง ส่วนใครที่อยากรู้ว่าภายในอาคารแห่งนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีคติธรรมอะไรแฝงอยู่ในงานประติมากรรม รวมถึงมีเรื่องเล่าอะไรจากภาพวาดบนฝาผนังอาคาร ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะมีกิจกรรม “เพลินธรรม นำชม” ซึ่ง เหล่าอาสาสมัครจะนำชมรอบบริเวณพร้อมคำบรรยายประกอบอย่างสนุกสนาน รับรองว่าเรื่องของพระพุทธศาสนาไม่มีคำว่าน่าเบื่ออย่างที่คิดแน่นอน หลังจากร่วมกิจกรรมต่างๆ แล้ว ถ้าใครติดอกติดใจอยากได้หนังสือผลงานของท่านพุทธทาสติดไม้ติดมือกลับไปศึกษา ต่อที่บ้านก็เชิญได้ที่ “ห้องหนังสือและสื่อธรรม” ที่ซึ่ง มีหนังสือเกี่ยวกับธรรมะและศาสนธรรมสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ให้ได้เลือกสรรตามใจชอบ หรือถ้าอยากค้นคว้าเพิ่มเติมจากสำเนาต้นฉบับในรูปแบบดิจิตอลก็สามารถขอใช้ บริการได้ที่ “ห้องค้นคว้า” บริเวณชั้น 3 ของอาคาร

ถ้าวันหยุดคราวนี้ คุณยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี และเบื่อหน่ายกับการเดินเล่นตามห้างเต็มทีแล้ว คงจะดีไม่น้อยหากคุณได้แวะเวียนมายังสวนโมกข์ กรุงเทพฯ และเริ่มพักจิตให้ได้หยุดทบทวนตัวเองซักหน่อย ค่อยๆ ปลีกตัวออกมาจากความวุ่นวายทางโลก อยู่ห่างจากความกดดันของเข็มนาฬิกาบ้าง ถึงจะเป็นเพียงชั่วขณะจิต แต่ทว่าสำหรับคนกรุงอย่างเรานั้น คงถือเป็นการเติมพลังทางจิตวิญญาณ ให้เราได้ค้นหาแก่นและเข้าใจชีวิตของตนเองมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาออกเดินทางไปไกลๆ บางทีอาจจะทำให้หนทางในการดำเนินชีวิตข้างหน้าของคุณ แจ่มชัดกว่าที่เคยเป็นมาก็ได้ ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย........ไม่ใช่หรือ?

- การเข้าชมนิทรรศการ “นิพพานชิมลอง” มีข้อควรปฏิบัติดังนี้

- ฝากสัมภาระรวมทั้งเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดไว้ที่ล็อคเกอร์ เพื่อปล่อยวางวัตถุภายนอก

- งดใช้เสียง และโปรดสงบ สำรวมตลอดเวลาที่อยู่ในห้อง

- ห้องนิพพานชิมลอง เปิดทุกวัน จันทร์-ศุกร์ 10.00-17.00 น. เสาร์-อาทิตย์ 9.00-18.00 น.

- กิจกรรม “เพลินธรรม นำชม” จัดขึ้น ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ วันละ 2 รอบ เวลา 10.00 น. และ 13.00 น. โดยแต่ละรอบการบรรยายจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง – 2 ชั่วโมง

- สอบถามรายละเอียด และตารางการจัดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ 02 936 2800 หรือ www.bia.or.th

ที่อยู่ : สวนวชิรเบญทัศ (สวนรถไฟ) ถนนนิคมรถไฟสาย 2 แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพ 10900

GPS : 13.817167, 100.556600

เบอร์ติดต่อ : 02 936 2800 แฟกซ์ : 02 396 2900

E-mail : info@bia.or.th

Website : www.bia.or.th

Facebook : http://www.facebook.com/buddhadasaarchives

เวลาทำการ : ทุกวัน 9.00 -18.30 น.

ค่าธรรมเนียม : ฟรี

ช่วงเวลาแนะนำ : วันเสาร์ – อาทิตย์ และช่วงเย็นของทุกวัน

ไฮไลท์ : กิจกรรมเจริญสติในแนวทางต่างๆ / คลังสมอง ที่รวบรวมหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนธรรมไว้มากมาย / ห้องชิมนิพพาน ที่เชิญชวนให้ทุกคนได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่เรียกว่านิพพาน

กิจกรรม : มีกิจกรรมหมุนเวียนตลอดทั้งเดือน โดยเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์

การเดินทางโดยรถไฟฟ้า

ถ้าเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ให้ลงสถานีพหลโยธิน ทางออกที่ 3 แล้วเดินลัดสวนสาธารณะข้างเซ็นทรัลลาดพร้าว และข้ามสะพานลอยไปยังฝั่งสวนจตุจักร จากนั้นให้เดินไปทางอาคารสำนักงานใหญ่ ปตท. เลี้ยวซ้ายไปทางเข้าสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) จะเห็นอาคารหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ อยู่ทางด้านซ้ายมือ

หรือถ้าลงรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีจตุจักร ทางออกที่ 1 และ 2 หรือรถไฟฟ้า BTS สถานีหมอชิต สามารถเดินตัดสวนจตุจักร ไปทางหอเกียรติภูมิรถไฟ จากนั้นให้ข้ามถนนกำแพงเพชร 3 ไปสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ข้ามสะพานสีเขียวตรงทางเข้าแล้วเดินเลียบสนามกีฬา ตรงไปยังสระน้ำใหญ่ จะเห็นอาคารหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ อยู่ริมสระน้ำ

 การเดินทางโดยรถประจำทาง

ลงที่ป้ายหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ ปตท. – สาย 3, 134, 138

ลงที่ป้ายจตุจักร (ถนนพหลโยธิน) – สาย 8, 26, 27, 28, 34, 38, 39, 44, 63, 90, 96, 104, 112, 52, 521, ปอพ 11, 550

การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว

ใช้ถนนวิภาวดีรังสิต มุ่งหน้าไปทางรังสิต ผ่านห้าแยกลาดพร้าว แล้วชิดซ้าย ให้สังเกตุป้ายสวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ที่ปากทาง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนนิคมรถไฟสาย 2 จะเห็นอาคารหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ อยู่ทางด้านซ้ายมือ แนะนำให้นำรถไปจอดยังที่จอดรถของสวนรถไฟ แล้วเดินย้อนกลับมา