<<< แบกเป้ขึ้นรถไฟไปสงขลา...เมืองนี้มีอะไร..ไปดูกัน >>>
ไปเที่ยวสงขลากันดีกว่า...สองคนแม่ลูกแบกเป้ขึ้นรถไฟไปสงขลา รถไฟไทยใครว่าน่ากลัว..วว ด้วยระยะทางเกือบ 1000 กม. นั่งกันจนก้นบาน 555 เอาแน่เอานอนกับเวลาไม่ค่อยได้ ใครรีบไม่แนะนำ แต่ถ้าอยากชิลกับบรรยากาศเชิญตามสบายเลยคร๊า... เริ่มต้นกันที่ << สถานีหัวลำโพง >> ขึ้นเหนือ ล่องใต้ มาที่นี่เลยค่ะกว้างขวาง
มาถึงแล้วไปซื้อตั๋วกันเลย เราจองแบบรถนอน *ด่วนพิเศษ* สาย 35 หัวลำโพง - บัตเตอร์เวอร์ธ (ลงปลายทางหาดใหญ่) เลือก 2 เตียง เตียงบน และเตียงล่าง ราคาผู้ใหญ่ 945.- บาท ราคาเด็ก 363.- บาท จะลด 50% เตียงล่างจะราคาแพงกว่าเตียงบน แต่ถ้าใครไม่ชอบสุงสิง ไม่อยากยุ่งกับคนผู้มากแนะนำแบบห้องส่วนตัว ไปคนเดียวมีราคาเหมาห้องด้วย เริ่ดดด...ที่นั่งแบบที่เลือกตอนกลางวันจะเป็นที่นั่งคนละฝั่ง แต่ตอนกลางคืนจะเปลี่ยนเป็นที่นอนให้ เราจอง 2 ที่ ไม่ได้นั่งกับคนอื่น หลังจากได้ตั๋วแล้ว หาอะไรรองท้องก่อน เดินขึ้นไปชั้น 2 เลยมีร้าน BLACK CANYON อยู่ ทานเสร็จแล้วรีบขึ้นเลยค่ะ กลัวไม่ทันเพราะรถไฟออกตรงเวลามาก 14.45 น. เริ่มออกจากหัวลำโพง เที่ยวที่เรานั่งเป็นรถด่วนพิเศษ จะแวะเฉพาะสถานีหลักเท่านั้น....
นั่งไปเรื่อยชมวิวทิวทัศน์ด้านนอก...สถานีหลักที่จอดแวะจะมีแม่ค้าขึ้นมาขายของอาหาร ขนมนมเนย ราคาจะแพงกว่าทั่วไปนิดนึง แต่เราเลือกสั่งข้าว ร้านอาหารบนรถไฟ เป็นอาหารจานเดียวแทน จะมีเจ้าหน้าที่ของร้านอาหารบนรถไฟมาเดินถาม แจกเมนูสำหรับผู้โดยสาร เราสั่งไว้ก่อนบอกว่าให้มาส่งประมาณ 6 โมงเย็น ตรงเวลาเป๊ะ มาเลยคร๊า...อาหารเย็นของเราสองคนแม่ลูก แพคมาซะเรียบร้อยน่าทานมากกกก ชุดนี้จัดไปชุดละ 100.- บาท คนละชุด อิ่มหนำกันแล้วเจ้าหน้าที่จะเดินมาเก็บจาน หลังจากนั้นก็มุมใครมุมมัน พักผ่อนกันยาวววววว...ไป
ประมาณทุ่มครึ่งเจ้าหน้าที่ประจำรถไฟจะมาเปลี่ยนที่นอนให้ เริ่มเปลี่ยนจากที่นั่งเป็นที่นอนแล้ว ปูผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม สะอาดสะอ้าดดีแท้ ^^ แถ่น แถ่น แถ้นนนน มาแล้วววที่นอนเราสองคนแม่ลูกคืนนี้ เตียงใครเตียงมัน ตรงหัวเตียงมีโคมไฟให้ด้วย อ่านหนังสือได้ มีผ้าม่านบังสายตาจากเตียงตรงข้าม แนะนำหากจะนอนให้เอาปลายผ้าม่าน เหน็บกับที่นอนแล้วเอากระเป๋าเรานั่นแหละค่ะ ทับไว้เลย ปลอดภัยไว้ก่อน ถึงจะมีตำรวจคอยเดินตรวจตราความเรียบร้อย แต่ก็ต้องกันไว้ก่อน ยิ่งผู้หญิงด้วยการแต่งกายควรทะมัดทะแมงนะค่ะ เสื้อผ้าล่อแหลม งดดด..เลยคร๊าเก็บไว้ใส่ที่บ้านดีกว่าโน๊ะ ^^
คืนนั้นหลับไปด้วยความเพลียบวกกับไม่มีอะไรทำ ก็นอนละกัน....ประมาณเที่ยงคืนเริ่มรู้สึกแอร์มันเริ่มไม่เย็น และเหมือนว่ารถไฟมันไม่ได้วิ่ง นานเป็นชั่วโมง จอดนิ่งไม่ขยับ เอาแล้ววว...ไม่กล้าชะเง้อหน้าออกมาถามใคร รอมันละจนเช้ามืดเริ่มมีคนเดินมาเลยถามว่าอยู่ไหนแล้ว เค้าบอกยังไม่ถึงพัทลุงเลย ซึ่งจริงๆ ต้องถึงพัทลุงแล้ว พอดีเมื่อคืนไฟหน้าหัวจักรมันขาดจอดเปลี่ยน แล้วก็ก็ต้องรอขบวนรถไฟอีกขบวนเปลี่ยนรางกัน เพราะขบวนที่นั่งมาเสียเวลาไปเยอะ....ก็นั่งรอกันต่อไป สรุปแล้วถึงสถานีหาดใหญ่ประมาณ 9.30 น. ช้าไป 3 ชั่วโมง รถไฟไทยเชื่อใจเรื่องเวลาไม่ได้จริงๆ 5555++++ ด้วยที่ช้า เลยต้องสั่งข้าวเช้าให้เด็กน้อยทานก่อน อันนี้ชุดข้าวเช้าค่ะ ชุดละ 100.- พร้อมน้ำส้มในเซทด้วย ทานเสร็จก็นั่งรออย่างเดียว....
ถึงหาดใหญ่ แล้วพ่อของลูกมารับที่สถานี (แฟนทำงานที่นู่นค่ะ^^) ที่พักเราพักฟรีนะคะ เก็บข้าวของเข้าที่พัก ช่วงบ่ายก็ออกมาที่เที่ยวที่แรกเลย << สวนสาธารณเทศบาลนครหาดใหญ่ >> ด้านบนยอดเขาคอหงส์ มีกระเช้าให้นั่งชมเมืองด้วยนะ แต่เราไปเค้าดันปิดปรับปรุง อดไปตามระเบียบ แต่ถือว่าขึ้นไปชมวิวเมืองหาดใหญ่ซะเลย มีร้านกาแฟเปิดขายด้วย ฝั่งร้านกาแฟมองเห็นมัสยิดกลางสงขลาด้วยค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ข้ามไปทานข้าวเย็นกันที่เกาะยอ ผ่านสะพานที่ยาวที่สุด สะพานติณสูลานนท์ แวะขึ้นไปถ่ายรูปที่ << สถาบันทักษิณคดีศึกษา >> ตั้งอยู่เกาะยอบริเวณใกล้เชิงสะพานติณสูลานนท์ช่วงที่ 2 ทางสถาบันมีห้องพักไว้บริการนักท่องเที่ยวห้องสัมมนาและร้านขายสินค้าพื้นเมืองฯ และที่จุดชมวิวของสถาบันฯ มองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของทะเลสาบสงขลา โดยรอบๆ จะเห็นสะพานติณฯ และด้านหลังจะเป็นหมู่บ้านของชาวเล ที่ปลูกในทะเล มีโฮมสเตย์ และร้านอาหารด้วยค่ะ เปิดทุกวันระหว่างเวลา 8.30-17.00 น. ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 30 บาทเด็ก 10 บาทชาวต่างชาติ 60 บาทเด็ก 30 บาท
หลังทานข้าวเย็นเสร็จ แวะชมวิวใต้สะพาน มีคนมาตกปลา ปลาหมึกกันเยอะเลยค่ะ อันนี้ถ่ายมุมใต้สะพานก่อนกลับเข้าที่พัก มานะค่ะ
วันที่สอง เราจะไปด่านชายแดนไทย-มาเลย์ << ด่านสะเดา ด่านจังโหลน >> สามารถข้ามไปซื้อขนม นมเนยได้ มี Duty free ฝั่งบ้านเค้า จริงๆ มาซื้อในตลาดกิมหยง หาดใหญ่ก็เหมือนกัน 555++ แต่เอาเนอะไปแล้ว จะได้ไม่เสียเที่ยว ถ้าข้ามไปเฉพาะ Duty free ไม่ต้องใช้เอกสารอะไรเลยค่ะ แค่ขับผ่านด่านจำไม่ได้ว่าต้องแลกบัตรอะไรหรือเปล่า แล้วขับเข้าไปประมาณ 100-200 เมตรจากด่านฯ นิดเดียวค่ะ ก็ถึงแล้ว บรรยากาศรอบๆ จะมีรถบรรทุกขนของเยอะมาก ดูวุ่นวายสุดๆ ถ่ายได้แต่ด้านนอกค่ะ เพราะด้านในจะไม่ให้ถ่ายรูป เมื่อก่อนชายแดนปาดังเบซาร์ คนจะไปที่นั่นเยอะกว่า แต่ตอนนี้หันมาเที่ยวทางนี้ วันนั้นกลับจากด่านจังโหลนก็แวะไปปาดังฯ นะ แต่ฝนดันตกหนักเลยไม่ได้ถ่ายบรรยากาศมาให้ดูกันค่ะ
ขากลับขับผ่านสวนยางเลยขอแวะลงไปเก็บภาพสักกะหน่อย สวยงาม สงบดีแท้.....
กลับมาที่หาดใหญ่เกือบเย็นแล้ว ฝนหยุดแล้วอากาศกำลังดีเลย เลยแวะที่ << มัสยิดกลางดีย์นุลอิสลาม >> หรือเรียกอีกชื่อว่า มัสยิดกลางสงขลา มัสยิดแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า " ทัชมาฮาลเมืองไทย “ เคยเห็นแต่ภาพคนอื่น มาเห็นด้วยตาเปล่า ขอบอกสวยมากกกกก ^^ รอถ่ายรูปจนแสงหมดนั่นละค่ะ ถึงได้กลับ เย็นนั้นไปทานข้าวฝั่งสงขลาแล้วเข้าที่พักเลย....เพลียร่าง ^^
วันที่สาม เราจะไปฝั่งสงขลากัน เริ่มที่แรก << เขาตังกวน >> หรือสถานีลิฟท์เขาตังกวน เทศบาลนครสงขลา ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองสงขลามีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 105 เมตร บนยอดเขาตังกวนเป็นที่ประดิษฐานโบราณสถานสำคัญ ประกอบด้วย พระเจดีย์หลวง พลับพลาที่ประทับ รัชกาลที่ 4 และประภาคาร เขาตังกวนอยู่ในตัวเมืองสงขลาใกล้กับหาดสมิหลา การขึ้นสู่ยอดเขาตังกวน มี 2 วิธี คือ ขึ้นลิฟท์โดยสารจากจุดบริการลิฟท์ ผู้ใหญ่คนละ 30 บาท เด็ก 20 บาท และขึ้นโดยการเดินขึ้นบันไดฝั่งตรงตะวันตก ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามลิฟท์โดยสาร ตลอดระยะทางมีบันไดหิน สลับกับจุดพักและจุดชมวิว เป็นช่วง ๆ ข้อดีคือจะสามารถชมมุมมอง ได้หลายมุม หลายระดับ ณ บริเวณบันไดนาค ถึงวิหารแดงจำนวน 145 ขั้น แต่เลือกขึ้นลิฟท์คร๊า...555+++ (ขอบคุณข้อมูล จาก http://hatyaiairportthai.com/th/popular-destinations/83/khao-tang-kuan )
หลังจากจากลงมาไปต่อกันที่ << ย่านเมืองเก่าสงขลา >> มีถนนหลายสาย หลักๆ ที่เดินคือ ถนนนางงาม ถนนนครใน ถนนนครนอก อาคารบ้านเรือนยังคงความงดงาม บ้านไม้เก่า ครึ่งปูนครึ่งไม้ ห้องแถวไม้แบบจีน ตึกคลาสสิกสไตล์ชิโนโปตุกีส แต่จุดสำคัญที่มาแล้วต้องมาแวะ คือ ภาพวาดศิลปะ Street art ซึ่งถูกวาดลงบนผนังอาคารเก่าอายุกว่า 98 ปี ที่ทุกคนมาถึงแล้วต้องมาถ่ายรูปอย่างแน่นอน นอกจากเดินชมเมืองเก่าแล้ว ยังมีอาหารอร่อยๆ ขายอยู่ 2 ข้างทาง แล้วแต่เราจะเลือกชิมเลยค่ะ ^^ อีกที่ ที่ใกล้ๆ กัน << หับ โห้ หิ้น >> หรือโรงสีแดง ก่อตั้งโดยขุนราชกิจจารี (จุ่นเลี่ยง ลิ้มเสาวพฤกษ์) ในปี พ.ศ. 2457 ต่อมาอีก 14 ปี หลานของท่านคือ คุณสุชาติ รัตนปราการ ได้ซื้อกิจการต่อทั้งหมด และพัฒนาโรงสีข้าวโดยเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์พลังไอน้ำ ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ชื่อโรงสี “หับ โห้ หิ้น” เป็นภาษาฮกเกี้ยน หมายถึง สามัคคี กลมเกลียวและเจริญรุ่งเรือง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยึดครองสงขลา และใช้โรงสีแดงเป็นคลังเก็บเวชภัณฑ์ หลังสงครามได้เลิกกิจการโรงสีข้าว เปลี่ยนเป็นโกดังเก็บยางพารา เพื่อส่งออก และท่าเทียบเรือประมง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของภาคีคนรักเมืองสงขลาสมาคม (ขอบคุณข้อมูล จาก http://songkhlacityskru.blogspot.com/2015/10/blog-post_55.html )
ออกจากตัวเมืองก็ขับมาเรื่อยๆ เลียบทะเลผ่าน << แหลมสมิหลา>> หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดสงขลา อยู่ในเขตเทศบาลเมืองสงขลา มีหาดทรายขาวสะอาด ทิวสนร่มรื่น จุดเด่นของแหลมสมิหลาคือรูปปั้นนางเงือกอันเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดสงขลา และรูปปั้นหนูแมว โดยรอบบริเวณได้จัดสวนหย่อมไว้ดูร่มรื่นเหมาะเป็นที่นั่งพักผ่อนยามเย็น << เมืองนี้มีอะไร?? ....เลยมาดูให้รู้ว่า เมืองไทยนั้นมีดี ไม่แพ้ต่างชาติ จริงๆ ค่ะ จบไปอีกทริปกับความประทับใจ และ การเดินทางที่ไม่เคยนั่งรถไฟนานขนาดนี้มาก่อน ขากลับเรานั่งเครื่องกลับค่ะ...เลยขอจบรีวิวไว้ที่สงขลานะคะ >> หากข้อมูลผิดพลาดอย่างไร ขออภัยด้วยนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านรีวิวนะคะ และขอบคุณข้อมูลบางสถานที่ จากเว็บที่กล่าวมาด้วยค่ะ ^^