เที่ยวพิจิตร ขับมอไซด์ไปเที่ยวกัน

  • ภาพบรรยากาศท้องทุ่งนาสวยๆ  ต้นข้าวกำลังเขียวๆ กับท้องฟ้า ที่ฟ้ามีเมฆโปร่ง เหมือนกำลังจะก่อเป็นฝนที่ไหนสักที่ ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศ ในช่วงวันเวลาวันหยุดเสาร์-อาทิตย์  ก็จะมีเวลาส่วนตัว บางคนก็เลือกที่จะนอนอยู่บ้าน บางคนก็เลือกที่จะเตรียมตัว เตรียมพร้อมกับการทำงานในวันใหม่ของอาทิตย์ต่อไป บางคนอาจจะมีอาชีพเสริม หรืองานเสริม ก็ตามแต่ละบุคคลไป ..แต่บางคนก็เลือกที่จะออกเดินทาง เพื่อได้ ไปเห็น ไปเจอ ไปเก็บบรรยากาศ ไปหายใจ สูดเอาอากาศดีดี พาตัวเองออกไป และได้เก็บภาพความทรงจำ กับสถานที่ต่างๆ ที่น่าท่องเที่ยว ในสไตล์ที่ผู้คนไม่เยอะ สถานที่ที่ยังไม่ค่อยมีคนไป เส้นทางการเดินทาง ที่มีวิวสวยๆ ให้เราได้เห็น จนต้องจอดหยุดรถเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้ เป็นภาพความประทับใจ โดยที่เราสามารถเดินทางไปได้ด้วย "มอ(เตอร์)ไซด์"​
  • โดยเส้นทางวันนี้เราจะไป ไหว้พระวัดท่าหลวง เยี่ยมชมจระเข้ ไหว้พระวัดโพธิ์ประทับช้าง และขึ้นเขารูปช้างกัน โดยที่เลือกเดินทางคือ ออกจากพิษณุโลก (พิดโลก) เข้าสู่ตัวจังหวัดพิจิตรทางเส้นทาง ผ่าน อ.บางกระทุ่ม และต่อเข้าเส้นทางเชื่อมระหว่างบางกระทุ่มกับพิจิตร ผ่านหมู่บ้านต่างๆ (ต.ไผ่ล้อม, วัดท่ามะขาม, วัดท่านา, วัดท่าฬ่อ, วัดวิจิตราราม) พอถึงแยกวัดวิจิตราราม ก็เลี้ยวขวา เพื่อจะข้ามสะพานไปยังฝั่งตัวจังหวัดพิจิตร แต่เส้นทางที่เลือกไป ที่แรก คือ สถานีรถไฟจังหวัดพิจิตร 
  • สถานีรถไฟพิจิตร (เขาเรียกด้านหน้า หรือด้านหลังอ่ะเนี้ย!) แต่ดูทรงแบบอาคารสวยงามมาก เลยมาหาข้อมูลดู จึงรู้ว่าถูกสร้างในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นรูปแบบตะวันตก หลังคาจั่วแบบไม่มีหน้าจั่ว, ไม่มีชายคาและกันสาด หรือการตกแต่งลายโค้ง สไตล์นีโอคลาสสิค โทนสีครีมน้ำตาล บริเวณหน้าต่างและประตู ติดอันดับ 1 ใน 10 สถานีรถไฟที่สวยที่สุดในประเทศ (อันนี้ก็เพิ่งรู้)
  • พอเห็นแล้ว นึกถึงภาพบรรยากาศสมัยก่อน เมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว แถวนี้คงจะคึกคักกันน่าดู เพราะคนส่วนใหญ่ยังใช้รถไฟในการเดินทางไกล จากภาคเหนือเข้าสู่กรุงเทพ จากกรุงเทพขึ้นเหนือ ตามสถานีต่างๆหรือบนรถไฟ จะมีแม่ค้าขายข้าวเหนียว-ไก่ย่าง พ่อค้าขายน้ำ ยาดม ยาอม ยาหม่อง เสียงจะตีกันจ้าละหวั่น ผิดกับสมัยนี้ เงียบเลย เพราะคงมีรถส่วนตัวกันเยอะขึ้น
  • ตัวในอาคาร ที่จำหน่ายตั๋วรถไฟ น่าจะเป็นรูปแบบทรงดังเดิม ดูแล้วคลาสสิคดี ส่วนอีกภาพเป็นภาพบรรยากาศพ่อค้าแม่ค้า ที่ขายของกัน พื้นที่ดูสะอาดตา ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาสักเท่าไร แต่ร่มรื่น เย็นดีมาก 
  • ​จากนั้นก็ขับมอ(เตอร์)ไซด์ออกจากตัวสถานีรถไฟ เพื่อจะไปตัวเมืองจังหวัดพิจิตร ซึ่งเราจะต้องข้ามแม่น้ำน่านด้วย ก็ไม่รู้เส้นทางลัด เลาะและไปไหนกะเขาหรอกนะ จำได้ว่าต้องกลับไปเส้นทางเก่า แต่ก็เพราะความสังเกต บวกกับอยากค้นหาเส้นทางใหม่ๆ ก็เลยลองขับตามเส้นทางตรงออกจากตัวสถานีรถไฟดู โดยที่ไม่ย้อนกลับไปเพื่อไปเจอแยกถนนข้ามสะพานแม่น้ำ
  • แล้วก็ต้องขอบคุณตัวเองมากๆ ที่ทำให้ได้เจอภาพวิวสวยๆ ของฝั่งแม่น้ำที่มีตัวบ้านผู้คนอาศัยอยู่ เรียงกันตามโค้งของลำน้ำ สวยงามมาก เลยอดใจไม่ไหวกดไปสัก 4-5 ภาพ  แล้วก็รีบออกรถเพราะอยู่บนสะพาน ที่เป็นสะพานคล้ายๆ สะพานแขวน แต่ตัวสะพานเป็นปูน มีสลิงโยงห้อย ข้ามได้แต่มอ(เตอร์ไซด์) คงเป็นทางที่สมัยก่อนชาวบ้านที่พิจิตรใช้กันในการเดินทางจากสถานีรถไฟเข้าตัวจังหวัด จากตัวจังหวัดมาสถานีรถไฟ ก่อนที่จะมีสะพานข้ามแม่น้ำ
  • คนส่วนใหญ่คงคุ้นๆเพลงที่ร้องว่า “งานวัดท่าหลวง บรวงสรวงพ่อเพชร แร้งหน้านาเสร็จ ลูกใครจะไปสู่ขอ” ฮ่าๆ นั้นคือท่อนนึงของเพลง สาวงามเมืองพิจิตร สดใส รุ่งโพธิทอง (โห บอกสมัยเลย)
  • นี่น่าจะเป็นองค์พระจำลอง ไว้เพื่อให้ผู้คนสะดวกได้ติดแผ่นทองเปลว เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว
  • องค์หลวงพ่อเพชรเป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนรุ่นแรก หล่อด้วยโลหะสำริด ปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ซ้ายสังฆาฎิสั้นเหนือพระอุระ ขนาดหน้าตักกว้าง ๒ ศอก ๑ คืบ ๖ นิ้ว สูง ๓ ศอก ๓ นิ้ว ที่ที่ประทับนั่งนบฐานที่มีรูปบัวคว่ำบัวหงายรอบรับ สร้างในระหว่างปีพุทธศักราช ๑๖๖๐ ถึง ๑๘๘๐ สร้างมาแล้วประมาณ ๘๘๒ ปี         

     ใครได้ไปเที่ยวเมืองพิจิตรจะต้องไปนมัสการหลวงพ่อเพชร เพื่อความเป็นสิริมงคลประวัติการสร้างหลวงพ่อเพชรยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชัดแน่นอน แต่มีตำนานเล่าขานว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้เกิดขบถจอมทองเมืองเชียงใหม่ กองทัพกรุงศรีอยุธยาจึงจะไปปราบเดินทัพมาถึงเมืองพิจิตร เจ้าเมืองพิจิตรก็ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งสร้างความประทับใจ เมื่อจะออกเดินทางจากเมืองพิจิตร เจ้าเมืองพิจิตรได้ขอให้แม่ทัพ พระพุทธรูปงาม ๆ มาฝากสักองค์หนึ่ง หลังจากนั้นก็มุ่งสู่จอมทอง ได้ปราบขบถจอมทองจนราบคาบ จึงอัญเชิญหลวงพ่อเพชรจากจอมทองมาด้วย โดยประดิษฐานบนแพลูกบวบล่องมาตามลำน้ำแม่ปิง เมื่อมาถึงเมืองกำแพงเพชรก็ได้ฝากหลวงพ่อเพชรไว้กับเจ้าเมืองกำแพงเพชร เมื่อเจ้าเมืองพิจิตรทราบข่าวจึงพร้อมด้วยชาวเมืองพิจิตรเป็นจำนวนมาก ได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อเพชรมาประดิษฐานไว้ ที่วัดนครชุม (เมืองพิจิตรเก่า) ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองพิจิตรซึ่งนำความชื่นชมโสมนัสมาสู่ชาวพิจิตรเป็นอย่างมาก

  •            [ขอลงไว้แบบย่อๆ คร่าวๆ โดยรวบรวมข้อมูลจากหลายเว็ปไซต์ อาจตัดคำบางคำออกเพื่อให้เข้าใจง่าย แต่ถ้าสนใจประวัติมากกวว่านี้ก็ศึกษาได้ที่ (ขอขอบคุณข้อมูลจาก)http://www.dhammathai.org/thailand/bi25.php ซึ่งจะมีตอนต่อมาด้วยว่าทำไม ถึงย้ายมาประดิษฐานที่วัดท่าหลวง]

 

  • บึงสีไฟ
  • บึงสีไฟ  เป็นสถานที่ที่สวยงามที่หนึ่งของจังหวัดพิจิตร มีแสงพระอาทิตย์ตกกลางบึงสีไฟ ตอนช่วงเวลาเย็นๆ สวยงามมากๆ นอกจากนั้นก็ยังมี รูปปั้นพญาชาลวัน สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศาลากลางน้ำ สถานแสดงพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ  มีรูปปั้นที่แสดงถึงวิถีต่างๆ ของชาวพิจิตรในสมัยก่อน และก็บ่อจระเข้
  • เหล่าจระเข้น้อย ผู้น่ารัก ...
  • หลังจากเยี่ยมชมและถ่ายรูปจระเข้ที่บ่อเสร็จ ก็ได้เดินไปเที่ยวชมที่ศาลาเก้าเหลี่ยมซึ่งเป็นอาคารรูปดาวเก้าแฉก ยื่นลงไปในบึงสีไฟ และมีพันธุ์ปลามากกว่า 20 ชนิด

  • จากนั้น ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปสู่สถานที่ต่อไป ...นั้นคือ ...
  • วัดโพธิ์ประทับช้าง เป็นโบราณสถาน ศิลปะแบบอยุธยา และยังเป็นที่ประสูติพระเจ้าเสือแห่งอโยธยา เป็นวัดที่สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่8 (พระเจ้าเสือ) ทรงสร้างขึ้น ช่วงประมาณ ปี พ.ศ.2242 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ.2244 ตามประวัติแล้ว พระเจ้าเสือทรงโปรดให้สร้าง เป็นอนุสรณ์ระลึกสถานที่พระองค์ประสูติ ณ สถานที่แห่งนี้
  • หน้าวัดจะมีต้นไม่เก่าแก่หนึ่งต้น เป็นต้นตะเคียนใหญ่ กล่าวกันว่า อายุมากกว่า 250 ปี วัดโดยรอบต้องใช้คนถึง 7คนในการโอบให้รอบ วัดโดยรอบได้ 7 เมตร 60 แต่จากภาพที่ไปเห็น น่าจะเกิดการเสียหาย ต้นไม้มีการถูกมัดพร้อมกับตอกไม้ติดไว้ เพื่อรักษาสภาพต้นไม้ไว้ เพราะต้นไม้มีการแตกหักที่ลำต้น แต่ยังมีใบเขียวชอุ่มอยู่เลย และยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกต่างๆ ด้วย
  • พอเข้ามาภายในอุโบสถวัดโพธิ์ประทับช้างมี พระพุทธรูป เรียกกันว่า "หลวงพ่อโต"  หน้าตักกว้าง 4 ศอก กว้าง 5 ศอก เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น  สมัยกรุงศรีอยุธยา มีอายุได้ 300 ปีเศษ เป็นพระประธานประจำอุโบสถวัดโพธิ์ประทับช้าง 
แล้วยังมี แมวสีส้มสองตัว คาดว่าน่าจะตัวผู้ทั้งสองตัวนะ ดูเก๊กขรึมกันทีเดียวเชียว ...(จริงๆถ่ายรูปแมวที่นี่เยอะมาก แต่ไฟล์ภาพเสีย พอๆ ได้มาแค่สองรูปเอง ...น่าร๊ากก 

 

ภาพบรรยากาศรอบๆ อุโบสถวัดโพธิ์ประทับช้าง 

ไปต่อกันที่วัดเขารูปช้าง

  • ขับมอ(เตอร์)ไซด์ขึ้นมา จอดไว้ทางขึ้นบันได ซึ่งตามที่ว่ากันว่า วัดเขารูปช้าง ได้สร้างขึ้นปี พ.ศ.2244 พร้อมกับวัดโพธิ์ประทับช้าง ในสมัยพระศรีสรรเพ็ชรที่ 8 หรือพระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยา “วัดเขารูปช้าง” ตั้งตามลักษณะหินสีขาวที่ซ้อนกันอยู่เป็นรูปช้างคุกเข่าบนยอดเขา มีโบสถ์ วิหาร พระพุทธรูป  พระปรางค์เจดีย์ เป็นแบบสมัยอยุธยาต่อมาประมาณ พ.ศ.2300
 
  • เห็นบรรไดแล้วท้อเลย 136 ขัั้น แต่อยากจะบอกว่าอยากบนมีอะไรสวยงามมากๆ 
  • บนวัดก็จะมีองค์พระพุทธรูปยืนอยู่ มีเจดีย์เก่าอยู่องค์หนึ่งเป็นเจดีย์แบบลังกาทรงเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา มีตัวระฆังเป็นกลีบมะเฟืองแต่ยอดเจดีย์หักแล้ว 
  • เห็นจุดหมายแล้ว แต่ขารู้สึกว่ายังอีกยาวไกล สงสัยช่วงฝนตกบ่อยๆ นี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย ยังไปต่ออีกนะ
  • คือก็แบบว่าอ่ะนะ นี้ช่วยกันค้ำหินไว้หรอครับ ..กับภาษานั้น เอิ่ม!
  • วิวบนยอดวัดเขารูปช้าง จะมองวิวทิวทัศน์ ของเมืองพิจิตรได้แบบ 360 องศา เห็นไร่นาของชาวบ้านรวมและเส้นถนนที่ตัดมายังวัดสวยงามมาก
  • จากนั้นก็ได้คิดว่าจะกลับเส้นทางใหม่ๆ เคยจำได้ว่ามันมีเส้นทางตัดจากก่อนเข้าตัวพิจิตร ตัดมาจากสายเส้นกรุงเทพ-วังทอง ก็เลยขับมาตามเส้นทางแล้วเจอทางเขาวัดหัวดง และก็เจอสะพานอีกแล้ว สวยงามมากๆ นี้คือบรรยากาศก่อนจบทริปเดินทางกลับบ้าน พักรถ มองวิวริมแม่น้ำน่านสวยๆ อีกฝั่งเป็นวิววัด พาตัวเองออกมาเจอโลก เจอสถานที่สวยงาม.
  • อันนี้แถม ...คือแบบว่าขับตามทางมาเพื่อจะเข้าทางหลักเจอ เมรุ ที่วัดแห่งนึงระหว่างทาง ...เอิ่ม สีชมพู่ เชียวนะ ...ฮ่าๆ

-----------------

สรุปทริปการเดินทาง
- ค่าน้ำมัน 170 บาท (เพราะมีอยู่ในถังบ้างอยู่แล้ว)
- ค่าก๋วยเตี๋ยว 30 บาท (ร้านป้าข้างทางระหว่างไปวัดโพธิ์ประทับช้าง)
- ค่าน้ำเปล่า 14 บาท (พกติดตัวไว้ระหว่างทาง)
รวมเป็นเงิน 214 บาท 
                                                               ขอบคุณที่รับชมครับ ติเตียนหรือแนะนำกันได้นะครับ