16 May 2018
จุดเริ่มต้นการเดินทางในครั้งนี้ คือ สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อค่ะ เราจะนั่งรถไฟแบบนอน แล้วก็ไปเช้าที่หลังสวน บอกก่อนเลยว่าไม่เคยนั่งรถไฟนอน ฮ่าๆๆๆ ตื่นเต้นดีค่ะ มาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ค่ะ ภาพก็จะดูหลอนๆนิดนึงนะคะ เพราะไปรอบดึก แล้วก็รถไฟ Delay ไป 2 ชม. ระหว่างรอรถไฟ เราเลยมีเวลามาถ่ายรูปค่ะ
รถแบบตู้นอน เป็นตู้ที่มีแอร์นะคะ ไฟทางเดินส่งสว่างตลอดทาง แต่ละที่นอนก็จะมีผ้าม่านปิดให้นะคะ ที่นอน หมอน ผ้าปู ผ้าห่ม ค่อนข้างสะอาดนะคะ แต่ว่าแอบมีแมลงสาบด้วย เราตีตายไปแล้ว ฮ่าๆๆ (เป็นคนโหดร้ายใช่มั้ยคะ) ที่นอนกว้างขวาง แต่เสียดาย น่าจะมีที่ชาร์ตแบทฯให้ด้วย
บนรถไฟ มีห้องส้วม กับอ่างล้างหน้า ให้ด้วยนะคะ เราสามารถไปล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนนอน หรือ หลังตื่นนอนได้ค่ะ
ส่วนของห้องส้วมต้องบอกก่อนว่าสำหรับเรามันไม่สะอาดเลย เวลาจะฉี่ก็อย่าให้โถมันสัมผัสกับตัวเราก็พอ แต่ว่ามันลำบากมากค่ะ คือมันโยกเยกไปมาตลอดเวลา ฮ๋าๆๆๆๆ นึกภาพนั้นทีไรก็ขำทุกทีเลย มันตลกมากค่ะ แต่เขามีกระดาษทิชชูให้ด้วย น่าประทับใจตรงนี้แหละค่ะ
เราก็นอนหลับไปอย่างสบายใจ ตื่นมาอีกทีก็เช้า ตื่นเพราะนาฬิกาปลุก ที่ตั้งปลุกเพราะกลัวหลับเลยสถานี 5555 เราตื่นที่สถานีชุมพรพอดีเลยค่ะ แล้วเราก็มีเวลาอีกประมาณ 30นาที สำหรับล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนที่จะถึงสถานีหลังสวน พอดีเจอป้าที่มาตู้เดียวกัน แกก็จะลงหลังสวนเหมือนกัน งั้นก็ง่ายเลยค่ะ ลงพร้อมป้านี่แหละ เลยมั่นใจได้เลยว่าถ้าลงผิดก็จะโทษป้า 555555 ล้อเล่นค่ะ จริงๆเขามีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกอยู่ค่ะ ว่าใกล้จะถึงหลังสวนแล้วนะ
17 May 2018
พอไปถึงสถานีหลังสวน จะมีสามล้อรับจ้างจอดอยู่ค่ะ จริงๆเราก็ไม่ได้วางแผนตรงนี้ไว้ว่าจากที่นี่ไปตลาดอวยชัย 2 ไปยังไง อาศัยดวงอีกเช่นเคย ก็โชคยังดีนะคะที่มีลุงสามล้อมาจอดรออยู่ ลุงคิดเราคนละ 20 บาทค่ะ เราไปกัน 3 คนค่ะทริปนี้ ไม่รู้จักกันมาก่อนอีกเช่นเคย555
ลุงมาส่งที่ตลาดอวยชัย 2 แต่ว่าไม่มีร้านข้าวเปิดเลย ลุงเลยไปส่งเราที่ตลาดเทศบาล เพื่อหาข้าวกินกันก่อน แล้วค่อยเดินกลับมาขึ้นรถสองแถวไม้ที่ตลาดอวยชัย 2 ลุงใจดีมากๆค่ะ ลุงแนะนำให้ลองกินขนมจีน เพราะมันอร่อยมาก แต่ว่าพวกเราหาร้านที่ลุงแนะนำไม่เจอ เลยได้กินอย่างอื่นแทน
ตลาดเทศบาลเป็นตลาดที่มีของขายเยอะค่ะ เมื่อหาข้าวกินเรียบร้อยแล้วเราก็หาซื้อข้าวมื้อเที่ยงไปกินด้วย แล้วก็ไปขึ้นรถสองแถวไม้ที่ตลาดอวยชัย 2
นั่นไงรถมาจอดรอแล้ว ค่ารถก็คนละ 60 บาท สมเหตุสมผลนะคะ เพราะระยะทางไกลโข ตั้งเกือบ 60 km. รถจะออกทุกๆ ครึ่งชั่วโมง รอบรถที่เราขึ้นเป็นรอบแรกของวันเลยและมันก็ไม่เต็มด้วย เราเลยวางกระเป๋า และถ่ายรูปได้อย่างสบายใจ มีสมาชิกตัวน้อยร่วมทางไปกับเราด้วย ถามว่าชื่ออะไรจ๊ะ นางตอบว่าไม่บอก 55555 มีเล่นตัวอีกน่ะ
คิวรถที่นี่หาข้อมูลยากมากค่ะ ไม่มีข้อมูลรถสายนี้ในรีวิวใดๆเลย และไม่มีข้อมูลในเว็บไซต์ของจังหวัดด้วย แหล่งข้อมูลสุดท้ายที่เราค้นหาคือ Google map ค่ะ สำรวจพื้นที่จริงจากที่บ้าน วนอยู่หลายรอบใน Google map ก็สังเกตเห็นป้ายค่ะ เป็นป้ายแบบจางๆ ที่เขียนว่า หลังสวน-พะโต๊ะ พอเห็นอย่างนั้นเราก็ดีใจมากเลย รู้แล้วว่าต้องไปยังไง วิธีนี้ลองไปใช้ได้นะคะ สำหรับคนที่ต้องการเดินทางด้วยรถสาธารณะ แต่ไม่มีข้อมูลในรีวิวอื่นๆ
ส่วนสำหรับรถสายนี้ เรามารีวิวให้แล้วนะ สรุปคือ ถ้าจะไปพะโต๊ะ จากหลังสวน ให้มาขึ้นที่ตลาดอวยชัย 2 เป็นรถสองแถวไม้ ราคาคนละ 60 บาท ^^ มีป้ายชัดเจน เขียนว่า คิวรถประจำทาง หลังสวน-พะโต๊ะ
รถจะวิ่งตามถนน 4006 ซึ่งเป็นถนนเส้นเดียวที่เชื่อมระหว่างหลังสวนกับพะโต๊ะ เป็นถนนที่สวยมากค่ะ อยู่บนไหล่เขา เห็นภูเขาตลอดทางเลยค่ะ ถนนก็ดี ถนนเพิ่งทำใหม่ หลังจากที่ถล่มไปเมื่อไม่นานมานี้
บรรยากาศเหมือนอยู่ภาคเหนือในหน้าหนาวเลยค่ะ แต่จริงๆแล้วเราอยู่ภาคใต้ในหน้าฝนนนน อลังการธรรมชาติสร้างอีกแล้ว ประทับใจค่ะ
หมดเวลาดื่มด่ำกับวิวข้างทาง เพราะถึงปั๊มปตท.ที่นัดไว้แล้ว เราก็โทรให้พี่ตุ่นให้แกออกมารับค่ะ รับไปที่หน่วยจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ พอถึงเราก็อาบน้ำ ห้องน้ำที่หน่วยค่อยข้างสะอาดนะคะ กว้างขวาง น้ำเย็น อาบแล้วก็ชื่นใจค่ะ จากนั้นเราก็จัดแจงแบ่งขอที่จะฝากไว้ด้านล่าง เพื่อไม่ให้หนักเกินไปตอนขึ้นเขา
พวกเราถือโอกาสกินข้าวเที่ยงกันที่นี่เลย พี่ตุ่นแกแนะนำว่าให้เริ่มเดินตอนเที่ยง เพราะใช้เวลาเดินแค่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งยอดเขาพ่อตามังเคร เป็นยอดเขาที่ไม่สูงเท่าไรค่ะ จำไม่ได้ว่าเท่าไร จังหวะนั้นมัวแต่ตื่นเต้นกับเมฆหมอก จนลืมดูเลยว่าอยู่ที่ความสูงที่เท่าไร T^T ใครมีโอกาสได้ไปก็กลับมาบอกหน่อยนะคะ ^^
นี่ค่ะ โฉมหน้าของพี่ตุ่น แกเป็นคนดำๆคล้ำๆหน่อยค่ะ แต่ใจดีค่ะ แล้วก็พูดเก่งมากๆ เล่นมุขเก่งด้วย แต่มุขส่วนใหญ่ต้องใช้ Skill หน่อยนะคะ พอแกเล่นมาเราก็จะงงๆกันนิดหน่อย 555 อยู่กรุงเทพฯไม่ค่อยเจอมุขอะไรแบบนี้อ่ะค่ะ
เมื่อพร้อมแล้วทีมงานพี่ตุ่น คือพี่หลั่งกับพี่ศักดิ์ ก็ขับรถ 4WD มารับค่ะ ตอนแรกเราก็เห้ย ต้อง 4WD เลยหรอ พอไปเห็นสภาพถนนแล้วแบบ อื้มมมม มันต้อง 4WD จริงๆแหละ มีทั้งขึ้น - ลง โยกไปโยกมา ทางชันก็มา ให้ภาพอธิบายละกันเนาะ เราว่านี่มันน้อง เขากระโจมเลยนะเนี่ย เรานี่ทั้งถือกล้อง จับรถ แล้วก็ฟังบรรยายจากพี่ตุ่นอีก
พี่ตุ่นแกชี้ให้ดูค่ะว่าต้นนี้ต้นอะไร ต้นนั้นต้นอะไร ถ้าลูกมันออกมาจะเป็นยังไง ส่วนใหญ่จะเป็นมังคุด กับทุเรียนค่ะ เพราะที่นี่เขาเป็นเมืองผลไม้ ไม่แพ้จันทบุรี เลยค่ะ
มาถึงจุดเริ่มเดินแล้ว เห็นทางแล้วก็เหนื่อยเลยค่ะ เริ่มแรกก็ชันซะแล้ว
สู้ตายค่ะ เราต้องไปให้ถึงยอดเขาให้ได้ เส้นทางนี่แบบว่าเจอทั้งความชัน ความโหด ความทาก คือทากมันเยอะมาก แบบว่าถ้าหยุดเดินเมื่อไรมันก็จะมาเกาะทันทีเลยค่ะ หรือแม้ว่าเราเดินๆอยู่มันก็มากัดได้ค่ะ
มาดูวิธีกันทากที่สมาชิกเตรียมมานะคะ
1.พี่เอค่ะ พี่เอเตรียมสเปย์กันทากมาค่ะ แบบที่เรียกว่า กันได้ 200 % สรุปว่าทากมาเกาะนางคนแรกเลยจ้าา นางบอกว่ากลับไปจะไปเผาร้านที่ขายให้ 5555 พี่เอสายโหด
2.พี่ลิวนางใช้วิธีแบบปกปิดมิดชิด สอดกางเกงไว้ในรองเท้า มัดกางเกงอีกทีด้วยเชือกฝาง พอไปถึงยอดเขา เปิดออกมา Check เลือดอาบเลยจ้าา ทากที่นี่ถือเป็นสัตว์ดุร้าย กระหายเลือดเลยก็ว่าได้
3.เราใช้ยาเส้นแช่น้ำใส่เป็นขวดแบบฉีดมา แต่ทากมันก็มาเกาะเราอยู่ดีนะ เข้าไปในรองเท้าด้วย แต่ว่าเราอาศัยหยิบออกค่ะ แรกๆก็ไม่กล้าหยิบหรอกค่ะ แต่พอต้องเจอกับมันบ่อย เจอกันตลอดทางจะให้ระแวงตลอดทางก็จะเดินไม่สนุก เปิดขาขาวๆ ให้มันมาเกาะเลยค่ะ สังเกตง่ายดี แล้วก็รู้สึกได้เร็วด้วยว่ามันมาเกาะแล้วพอมันมาเกาะ ก็หยิบออกแล้วก็บี้มัน บี้ได้แรงๆเลยค่ะ มันเหนียว มันไม่ตาย แล้วก็ไปป้ายไว้กับต้นไม้ เป็นอันจบ เราไม่โดยกัดซักตัว 55555
ป่าที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์ค่ะ เป็นป่าดิบชื้น ก็ที่นี่ฝนแปดแดดสี่ จะไม่ชื้นได้ยังไงเนาะ ชื้นไม่ชื้นดูได้จากทากก็ได้จ้า ทากมันชอบอยู่ชื้นๆ
ต้นไม้ที่นี่ไม่ค่อยใหญ่เท่าที่ฝั่งภาคตะวันตก แต่ก็มีอยู่ต้นนึงที่ถือเป็นจุด Check point ซึ่งก็คือ ต้นไทร ลักษณะเหมือนยักษยืนอยู่กลางป่าเลยค่ะ
สีหน้าตอนเริ่มเดินค่ะ ตอนนี้ยังยิ้มได้อยู่ค่ะ แต่สมาชิกหายไปไหนซะล่ะ
นี่ไงคะสมาชิก เจอกล้องก็ต้องยิ้มให้กล้องนะคะ แต่จริงๆแล้วสีหน้านี่แบบเหนื่อยโคตร โดยเฉพาะพี่เอ พี่แกมาเดินที่นี่เป็นที่แรกเลย ที่แรกก็โหดเลย แล้วแกไม่ได้เตรียมร่างกายมาด้วย ฮ๋าๆๆๆๆ นี่แหละค่ะ การเดินขึ้นเขา ใครว่าง่าย ใครว่าตัวเองแข็งแรงอยู่ ลองมาขึ้นเขานะคะ แล้วคุณจะรู้ว่าร่างกายเรามันไม่แข็งแรงเอาซะเลย ดังนั้นการออกกำลังกายถึงเป็นเรื่องสำคัญค่ะ อย่าผลัดวันประกันพรุ่งโดยเด็ดขาด
ภาพนี้พี่เอแกของให้พวกเรายกนิ้วให้กับความโหดของภูเขาลูกนี้ ลูกแรกที่มาเดินก็เลือกอันที่โหดเลยนะคะพี่เอ 55555
เส้นทางที่นี่สำหรับเรายังไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไรนะคะ เพราะว่าทางเป็นทางชันสลับกับทางราบ เลยได้มีช่วงเวลาที่พักหน่อยอยู่บ้าง
เส้นทางนี้แนะนำให้มีเจ้าหน้าที่นำทางนะคะ ทางเดินไม่ชัดเลยค่ะ หลงได้ตลอดเวลา เราเดินนำพี่ตุ่น แกยังต้องเรียกให้เราเดินกลับมาเลยค่ะ เพราะเราเดินผิดทาง ไอ้เราก็เดินเพลิน 555
แต่พอใกล้ๆจะถึงยอดเขาทางชันเริ่มต่อเนื่องค่ะ ไม่ค่อยมีทางราบแล้ว และมีหินก้อนใหญ่ๆ ที่จะต้องปีนข้ามขึ้นไป ที่สำคัญจุดนี้ทากเยอะกว่าที่อื่นค่ะ เยอะแบบที่เรียกได้ว่าใบไม้แทบจะทุกใบที่อยู่ที่พื้นเนี่ย จะมีทากเกาะอยู่ มันทำตัวตรงๆพร้อมที่จะเกาะเราเมื่อเราเดินผ่าน ผจญภัยที่สุดก็ตรงนี้และค่ะ ทั้งปีนก้อนหิน ทั้งต้องรีบเดินกลัวทากเกาะ ยิ่งรีบก็ยิ่งเหนื่อย แต่ไม่รีบก็ไม่ได้ เดี๋ยวทากมาเกาะ โอ้โห สนุกและมันส์มากกกก ขอแนะนำให้ไปให้ได้ค่ะ
ในที่สุดก็ถึงค่ะ คือขึ้นมาแล้วแบบว่าเห็นทะเลหมอก แล้วก็เห็นทะเลอันดามัน เห็นยอดเขาพ่อตาโชงโดงที่อยู่ฝั่งจังหวัดระนอง แถมยังยืนอยู่ระดับเดียวกันกับเมฆฝนอีก อากาศดีมากๆค่ะ มันรู้สึกหายเหนื่อยเลยค่ะ เห็นภาพนั้นแล้วไม่คิดจะไปถ่ายรูปนะคะ เราทิ้งกระเป๋าแล้วไปยืนกางแขนรับอากาศ รับพลังจากธรรมชาติ 55555 หายเหนื่อยจริงๆ หายเหนื่อยแล้วหน้าก็จะบานเหมือนในรูปจ้าาาา
แต่พอเรารับพลังจากธรรมชาติได้สักพัก เมฆฝนก็มาค่ะ ขาววววไปหมดเลยค่ะ เรานี่แบบว่าอยากจะกระโดดลงไปนอนบนปุยเมฆเหมือนในการ์ตูน แต่ถ้ากระโดดลงไปคงตายนะคะ เพราะข้างหน้าเป็นเหวค่ะ
ที่ยอดเขาตรงนี้ไม่มีทากแล้วนะคะสบายใจได้ ถ้าจะมีก็เพราะมันเกาะเรามาค่ะ ดังนั้นเราต้องกำจัดมันค่ะ ด้วยการเอาน้ำยาเส้นฉีดใส่มันเลยค่ะ ซักพักมันก็จะตาย
พวกเราไปถึงกันตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง เรายังไม่ไปพักนะคะ เรายืนรอให้เมฆเปิดเพื่อที่จะได้เห็นภาพทะเลอันดามันค่ะ แต่ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ ถึงแม้ว่าจะเปิดน้อยมากก็ตาม
ภาระกิจเรายังไม่จบตอนนี้ เรายังจะต้องกินข้าวค่ะ กินข้าวบนยอดเขา ท่ามกลางเมฆฝน จะสายฝนที่ตกลงมา ถึงแม้ว่าจะทุลักทุเล แต่โคตรสนุกเลยค่ะ และทุกอย่างบนเขาอร่อยมาก เพราะพี่หลั่ง พี่ศักดิ์ แล้วก็พี่ตุ่น ทำอาหารให้พวกเรากินค่ะ มันอร่อยมาก จริงๆ โดยเฉพาะ น้ำพริกระกำ
ว่าด้วยเรื่องของเมนูบนเขาค่ะ
1.ไก่ต้มน้ำปลา อร่อยมาก กลมกล่อม ได้กลิ่นหอมของฝืนค่ะ ไก่ต้มน้ำปลาที่ซื้อจากตลาดนี่เทียบไม่ได้นะคะ
2.ปลาทอด อันนี้พี่แกเอาปลาแห้งขึ้นมาทอดด้านบนเลยค่ะ
3.น้ำพริกระกำ อันนี้พี่หลั่งแกเอามาจากบ้าน ขอบอกว่าอร่อยมาก เราชอบมาก เราไม่เคยกินมาก่อน รสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ เผ็ดนิดๆ อร่อยมากค่ะ
4.เมนูนี้ถือว่าเป็น ไฮไลท์ของมื้อนี้เลยค่ะ มันก็คือ ไข่ตุ๋นในกระบอกไม้ไผ่ คือพี่แกบอกว่าทำเหมือนไข่ตุ๋นบ้านเรานี่แหละ เอามาใส่ในกระบอกไม้ไผ่แทน แล้วก็ใส่หอมเจียวด้วย อร่อยค่ะ มีกลิ่นหอมของกระบอกไม้ไผ่ แล้วก็กลิ่นฝืน ให้บรรยากาศแบบอยู่ป่าจริงๆ
5.อีกอย่างที่ก็ไม่แพ้ไข่ตุ๋น ก็คือข้าวกระบอกไม้ไผ่ เป็นข้าวที่หุงในกระบอกไม้ไผ่ค่ะ ข้าวหอมมากค่ะ หุงข้าวแบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ^^ ตื่นเต้นค่ะ
ระหว่างที่รอพ่อครัวทำกับข้าว เราก็เจอกับเจ้าตัวนี้ค่ะ ไม่รู้ว่าไปกินใครมา บวมเป่งเลย มันน่าจะกินเลือดสัตว์มาอ่ะค่ะ แล้วก็ตอนที่พวกเราเดินผ่านมาน่าจะติดมากับใครสักคน แต่สมาชิกทุกคนยืนยันว่าไม่ได้โดนกัด 555 เท่านี้ก็สบายใจ ขนาดใหญ่กว่าเหรียญสิบอีก เป็นสัตว์ที่ตะกละตะกลามจริงๆ
มากินข้าวกันดีกว่าค่ะ ก่อนกินเราก็ต้องถ่ายรูปกันหน่อย^^ กินข้าวท่ามกลางสายฝน บรรยากาศดีค่ะ และที่ Exclusive ไปกว่านั้นคือวันนี้มีแค่ Group เราที่ขึ้นมาค่ะ คือที่นี่ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครมานะคะ เอาเป็นว่าเราขอแนะนำให้มานะคะ ชุมพรไม่ได้มีดีแค่ทะเลค่ะ
ส่วนเรื่องของการนอนในทริปนี้พิเศษหน่อยค่ะ เราไม่ได้เอาเต้นท์มา เราเอาเปลมานอน ไม่รู้ว่าคิดอะไรถึงได้เอาเปลมา หลังจากกินข้าวเสร็จ เราทำความสะอาดตัวเองก่อนที่จะขึ้นไปนอน มืดแล้วมันก็จะดูหลอนๆแบบนี้นะคะ(แถมเอาไฟฉายไปส่องคางอีกยิ่งน่ากลัวเนาะ 5555) แต่อยากแชร์ค่ะ เพราะว่ามันคือประสบการณ์ใหม่ค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะอันตราย เราจะตกเปลมั้ย เราจะหนาวมั้ย จะมีอะไรมาเกาะเรามั้ย จะมีงูมาหาเรามั้ยนะ สรุปหลับสบายเลยค่ะ ตื่นอีกทีก็ตอนที่พี่ลิวกับพี่เอปลุกให้มาดูดาวตอนตีสี่