Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
BACK PACK เรื่อยๆ ไปหายเหนื่อยที่ "ม่อนทูเล" ม่อนทูเล-ม่อนคลุย จ.ตาก
    • Posts-1
    Yotsaphon •  January 22 , 2017

    BACKPACK เรื่อยๆ ไปหายเหนื่อยที่ "ม่อนทูเล" EP.1



    สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ 2 ของผมนะครับ 
    กระทู้แรกคืออันนี้ --> https://pantip.com/topic/34447915

    ก่อนอื่นขอแจ้งให้ทราบก่อนนะครับ
    - ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อ มกราคม ปี 2016 นะครับ
    - ภาพในกระทู้นี้จะมาจากกล้องของ พวกเราทั้ง 3 คน ก็จะออกมาคนละแนว
      จะมีจากมือถือบ้าง กล้อง  DSLR บ้างครับ
    - เป็นรีวิวแบบจัดเต็มพิมพ์เยอะ เล่าเยอะ แน่นอน เพราะชอบเก็บรายละเอียดครับ [ภาพก็เยอะครับ]
    - อยากรีวิวด้วย และก็เล่าการเดินทางด้วย ขอบคุณนะครับมาเริ่มกันเลย

    ======

    ทริปนี้เกิดจากการที่ว่า ก่อนจะไปฝึกงานก็อยากเที่ยวอีกสักหน่อย
    เลยโทรชวนเพื่อนๆแบบกระทันหัน ในคืนวันที่ 31 ธันวา โดยบอกเพียงว่าจะไปขึ้นเขากัน
    และบอกว่าจะไปเลยทันทีในวันที่ 1 มกราคม ของปีใหม่เพื่อนก็ตกใจ และก็ตอบตกลงแบบงงๆ
    แถมไปลาก อีกคนมาด้วย = ทริปนี้มีทั้งหมด 3 คนครับ

    และผมก็ได้โทรจอง การเดินขึ้นเขา กับเจ้าหน้าที่ นัดกันเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็จะแนะนำว่าควรมาถึงกี่โมง มาอย่างไร
    ในส่วนนี้จะมีข้อมูลบอกในเพจ ดอยทูเล นะครับ 
    พวกผม ไม่มีเต๊นท์ ทางเจ้าหน้าที่ ที่ชื่อ "พี่แจ้" ก็บอกว่า จะจัดการจองไว้ให้ พวกผมขอบพระคุณมากๆ

    นี่วิธีการเดินทางไปนะครับ มีทั้งรถส่วนตัว และรถโดยสารประจำทาง


    ===

    *โดย แผน การเดินทาง เราตกลงกันว่า จะไปกันแบบชิวๆ เรื่อยๆ  [ไม่ได้วางแผนอะไรมากมายด้วยแหละ]
    จึงออกมาคร่าวๆประมาณนี้ครับ
       



    จริงๆมันมีวิธีที่ง่ายกว่านี้ ที่จะไปถึงตัว อำเภอแม่สอด แต่พวกผมอยากนั่งรถไฟไปเรื่อยๆ
    เพราะไม่เคยนั่งกันเลยสักคน แล้วเราก็ลุยกันเลย


    พวกเรานัดกันที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง และซื้อตั๋วเรียบร้อย
    นั่งๆนอนๆรอเวลารถไฟออกซึ่งเป็นเวลา ประมาณ สี่ทุ่ม 

    ระหว่างรถไฟวิ่งๆไป เราก็รับรู้ได้ว่า อืมนะ มันปวดหลังแล้วหละ ฮ่าๆ คนไม่เยอะมาก
    เนื่องจากมันเลยปีใหม่มาแล้วและ ขาเดินทางกลับน่าจะเยอะมากกว่า

    ตื่นเต้นนอนหลับๆตื่นๆ [จริงๆปวดหลัง] สักพักก็ถึงสถานี นครสวรรค์ ครับ เวลาประมาณตี 2 

    แต่!! การหารถเข้าแม่สอด ในตอนตี 2 มันไม่มีนี่หนะสิ เป็นเรื่องที่เซอรไพรส์พวกเรา
    เพราะไม่มีรถที่จะเข้าไป ขนส่ง เพื่อต่อรถตู้เข้าไปยังแม่สอด
    แต่จะมีสองแถวบริการคันแรก ในเวลา ตี 4  แต่อีกสามชั่วโมงกว่าจะถึง เป็นการเดินทางเรื่อยๆจริงๆ


    โล่งจริงๆ พวกเราก็เดินเล่นๆ หา 7-11 กินข้าว แล้วก็มานอนที่สถานีรถไฟ
    ก็มีคนนอนกันเยอะ เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่นอนในสถานีรถไฟ

    พอเวลาตี 4 ก็มีรถสองแถวมาจอด และบีบแตร เรียกคนขึ้น แน่นอนพวกเรารีบวิ่งเลย
    แต่ราคาจะตกคนละ 50 บาท ขึ้นมาก็เจอเพื่อนร่วมทางอย่างคุณลุงคนนี้คุยสนุกสนานมากครับ

    ถึง ขนส่ง ของ นครสวรรค์แล้ว แต่รถรอบแรก ตั้ง 6.30

    พอถึงเวลา รถออก ไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปเลยครับ เพราะว่าเจอโค้งเข้าไป
    แทบจะอ้วกเลย ครั้งแรกในชีวิต และคิดในใจว่า ดีนะที่กินข้าวมาน้อย ไม่งั้นพุ่งแน่

    พอมาถึงแม่สอด เราก็เดินเล่นๆ ชิวๆ เพราะยังมีเวลา เราขึ้นเขาในวันพรุ่งนี้
    อันดับแรกเลย คือหาที่ซุกหัวนอน !! ตามด้วยหาข้าวกิน

    เตรียม เสบียง  และเดินเล่นในตลาดแม่สอด มีงานเทศการอะไรไม่รู้ แต่ว่าของกินที่นี่อร่อยมาก

    หลังจากเสร็จแล้ว เราก็มาจัดของ พร้อมออกเดินทางขึ้นเขาในวันพรุ่งนี้ !! 

    ตอนก่อนจะนอนเราก็หวั่นๆกันนะครับบอกตามตรง
    เพราะว่า มีแต่ใจที่พร้อมอย่างเดียว ร่างกายไม่พร้อมเลย
    ตัดพ้อต่างๆนาๆ หรือเราจะกลับดีวะ คงไม่ไหวแน่ๆเลยหวะ
    แต่สุดท้ายก็ฮึดสู้ครับ เพราะเราคุยกันว่า อุตส่าผ่านโค้งแทบอ้วกมาได้แล้วต้องไปกันต่อดิ

    พวกเราพร้อมแล้ว...มั้งครับ ตื่นเช้านะ แต่เดินวนหารถ และสับสนกับชื่อรถที่มันคล้ายๆกัน
    จนทำให้ตกรถรอบแรก!!! โถ่วว จะตัดกำลังกันไปถึงไหน


    นี่คือ โฉมหน้ารถที่จะพาเราไปยัง อบต ท่าสองยางครับ เป็นรถรอบ 2 เวลา 7 โมง
    *ต้องนั่งรถที่เขียนว่า แม่สอด - แม่สเรียง เท่านั้นนะครับและบอกว่า ลงที่ [บ้านท่าสองยาง อบต ท่าสองยาง]
    ไม่ใช่ อำเภอท่าสองยางนะครับ มันห่างกัน 50 กว่ากิโล

    ออกเดินทางกันเล้ย

    ระหว่างทาง ก็เจอสิ่งที่ตัดกำลังพวกเราอีก ... ก็คือลม และอากาศสุดหนาววว
    เพราะเราพบว่า เสื้อที่ใส่มา มันไม่พอ ไม่พอจริงๆ ถ้าขึ้นไปบนดอยคงแย่แน่ๆ
    เอาหละสิ กำลังใจหายหดไปอีกแล้ว

    ระหว่างทาง สวยมากจริงๆ หมอกลงเต็มไปหมดเลยครับ
    และระหว่างโดยสารบนรถ ก็มีทั้งอุบัติเหตุมากมาย ระวังกันด้วยนะครับแต่พอดีไม่ได้ถ่ายรูปไว้

    พวกเรา ได้เจอกับพี่คนนึง แกเพิ่งขายมอเตอร์ไซ ก็เลยมานั่งสองแถว
    และเล่าเรื่องดอยทูเล ที่กำลังจะไป เพื่อตัดกำลังเราอีก ... แล้ว
    ว่า มันหนักนะน้อง คนไปเนี่ยต้องฟิตจริงๆ ไม่งั้นแย่ เคยมีหามลงมาแล้ว
    คนไปไม่ไหวเดินกลับก็มี อะไรทำนองนี้อะคับ พวกเราก็ มองหน้ากัน.. โดนตัดกำลังอีกแล้วฮ่าๆ


    [คือพี่คนขวานั่นเองครับ] แต่แกเตือนเพราะหวังดีครับ แกถามสุขภาพพวกเรา
    ออกกำลังกายบ่อยแค่ไหน เสื้อแบบนี้หนาไม่พอนะ ในตลาดมีขาย ไม่แพง
    แต่ชอบประโยคนึงที่แกพูด และผมคิดว่ามันจริงเลยก็คือ
    " อยู่ที่นี่อะ เวลามันเดินช้านะ" พี่จะบอกให้ เพราะอากาศดีมีความสุข

    แล้วแกก็เล่าชีวิตของแก ก่อนย้ายมาอยู่ที่นี่ ... ยาวไป
    จนรถวนมาเข้าหมู่บ้านที่แกอยู่ ซึ่งหมอกลงหนามากกกก สุดยอดจริงๆ

    สุดท้ายแกลงตรงนี้ แล้วก็ร่ำราแกบอกว่า ไม่ไหวอย่าฝืน ขอให้โชคดี
    ยังไงมาแวะบ้านพี่ได้ยินดีต้อนรับ ทิ้งท้ายแบบนี้อีกนะพี่ ฮ่าๆ
    รู้สึกว่าคนที่นี่ใจดีนะ หรือมันคือสีสันของการเดินทาง 


    นั่งมาสักพัก ก็จะเจอด่านตรวจ ให้เตรียมบัตรประชาชน เขาอาจจะถามเรานิดหน่อย

    ว่าไปไหน ทำอะไร และมี บริการห้องน้ำ - กาแฟ ฟรีนะครับ เจ้าหน้าที่ใจดีมากๆ

    พร้อมก็ลุยต่อครับ คนเริ่มแน่นแล้ว บางคนก็ต้องโหนไป เพราะนานๆรถมาทีครับ

    ถึงตรงนี้ ก็ใกล้จะถึงแล้วครับ บ้านท่าสองยาง อบตท่าสองยางจุดหมายของเรา

    และแล้ว...เราก็มาถึงครับ บ้านท่าสองยาง อบต ท่าสองยาง
    ใช้เวลา ประมาณ 3 ชั่วโมง รถขับเร็ว และไม่ค่อยได้แวะครับ

    ถึงก็เวลาประมาณเกือบ 10.00 แล้ว แต่เจ้าหน้าที่ ชื่อ พี่แจ้ บอกว่าให้กินข้าวกันก่อน
    ต้องลุยกันอีกยาวไกล และตรงที่นั่งพัก ก็มีดีเจ ตัวน้อยๆเปิดเพลงให้ฟังด้วยแหละ ฮ่าๆ

    แถมยังบอกอีกว่า เต๊นท์พี่จองเอาไว้ให้มาแล้วนะ เอาของขึ้นรถได้เลย
    ก็คุยกันว่า เดินกันยังไง ไปคลุยก่อน หรือจะไปทูเลก่อน 
    เราเลือก ขึ้นทูเล - และมาคลุยหลวง - จบที่ม่อนคลุยครับ สูตรปกติครับ

    ต้องบอกว่า พี่แจ้ ใจดีกับพวกเรามากๆครับ 
    หลังจากนั้น พวกเราก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง
    ไปยังจุดเริ่มต้น และ จ้างลูกหาบ 1 คน ครับชื่อ พี่บี
    ต้องบอกว่าพี่บี สุดยอดมากครับ จะค่อยๆเล่าเรื่องพี่แกนะครับ

    ลูกหาบพร้อม ใจพร้อม กาย.. พอได้ หลังจากนั้นเราก็ลุย!!!!

    พี่บี นำหน้าเราไปเร็วมากๆ เพราะแกเดินประจำแหละ พวกเราก็ตามไปติดๆเดินไปถ่ายไป

    ขึ้นมาสูงนิดนึงละ แดดก็แรง เสื้อกันหนาวที่ใส่ ต้องถอดออกละครับ

    ผ่านมาแค่... เนินเล็กๆ สภาพพวกเราก็เป็นอย่างงี้แหละครับ

    และนี่คือ โฉมหน้าพี่บี สุดหล่อของพวกเราครับ พี่บีเป็นคนที่พูดภาษาไทยได้คล่องเลยทีเดียว
    พวกเราเลยชวนแกคุย ไปเรื่อย เพราะต้องอยู่ในป่าด้วยกันถึงสามวัน

    พี่บี เล่าว่า ก่อนจะเปิดเป็นดอยทูเลให้เดินเนี่ย เขาเคยทำงานก่อสร้างอยู่กรุงเทพด้วย
    แต่สุดท้ายก็กลับมาบ้าน หาอะไรเล็กๆทำจน ดอยทูเล เปิด ชาวบ้านแถวนี้
    ก็ได้มีอาชีพและมีรายได้ขึ้นมา ด้วยการเป็นลูกหาบ พานักท่องเที่ยวเดิน
    ถามแกว่า เหนื่อยไหมหนักไหม แกบอก ชินแล้ว ไม่เดิน ก็ไม่มีกิน
    คุยกันพอให้หายเหนื่อยครับ ยังมีเวลาทำความรู้จักกันอีกเยอะ

    หลังจากนั้น พวกเราก็ลุยกันต่อครับ

    เจอป้ายชี้ทางบอก ไป ดอยทูเล ด้วย ลุย!!

    รวมถึงป้าย เบอร์ติดต่อฉุกเฉิน [ที่ตรงนี้จะมีสัญญาอ่อนๆพอโทรได้]

    ต้องขอบอกว่าทางเดินนั้นชันมากๆครับ ชันชนิดที่แบบตกใจไม่คิดว่าต้องมาเจอทางแบบนี้

    นั่นคือทางที่เราเพิ่งขึ้นมาครับ

    เดินมา ซักพักใหญ่ๆ เราก็จะเจอกับจุดพัก ที่มีน้ำจากลำธาร ไว้ใช้ ต้มกาแฟหรืออื่นๆได้
    พี่บี ก่อไฟ ต้มกาแฟ แต่ยังไม่มีใครหิว ก็เลยไม่ได้หุงข้าวครับ

    เหน็ดเหนื่อย ขอพักซักหน่อย อย่างที่บอกร่างกายอ่อนแอแต่ใจพร้อมฮ่าๆ

    เดี๋ยวมาต่อนะครับ ร่วมเดินทางไปพร้อมกัน

    • Posts-2
    Yotsaphon •  January 23 , 2017

    BACKPACK เรื่อยๆ ไปหายเหนื่อยที่ "ม่อนทูเล" EP.2

    มาต่อละครับ

    หลังจากพักดื่มน้ำและกาแฟ ให้พอหายเหนื่อย
    พวกเราก็ออกลุยกันต่อครับ

    คราวนี้ เข้าป่าทึบกันบ้าง ทางเดินยังคงชันเรื่อยๆ 

    ไม่แปลกใจ ทำไมถึงบอกกันว่า ร่างกายต้องฟิตพร้อมจริงๆ
    ซึ่งผมเอง ต่อให้ เลยรั้งท้ายตลอดเลยครับ ฮ่าๆ [จริงๆช้าสุด]

    แต่แล้ว... ก็จนได้ครับ ตะคริวกิน แม่เจ้า กลางป่า ร้องจ๊ากกกกก ฮ่าๆ
    เป็นประสบการณ์ครั้งแรก ที่ไม่เคยเจอมาก่อนจริงๆ
    คิดว่าจะเดินเท่ห์ๆ แบบ ซันนี่และอนันดา ในเรื่อง ซัมบาลา
    แต่สุดท้ายก็จบลง แบบดังภาพนี่แหละครับ ฮ่าๆ

    พอแก้ไข อาการตะคิวแล้ว ผมก็ ติ๋มเลยครับ เดินระวังทุกย่างก้าว จนเราโผล่ออกมา
    และพบว่า เราขึ้นมาสูงมาก และมันสวยมาก จนลืมอาการเจ็บไปเลยครับ

    แล้วเราก็นั่งพักกันครับ จึงได้นั่งคุยกับพี่บีต่อ เขาเล่าว่าเนี่ย เคยพาผู้หญิงสองคนมาเดิน
    สุดยอดมากๆ เดินเร็วและไปพร้อมๆแกเลย อึดสุดๆ ตัดภาพมาที่พวกผมสามคน
    หอบแฮ่กๆ ฮ่าๆ แต่สิ่งที่พี่บีพูดต่อมา ทำให้พวกผมรู้สึกผิดจริงๆครับ
    แกบอกว่า หิวข้าวมากเลย หิวตั้งแต่ตอนที่พักริมลำธารแต่ก็ไม่กล้าบอกว่าหิว
    ผมก็เลยบอกว่า จะกินเลยมั้ยพี่ ทำไมพี่ไม่บอกพวกเรา พี่แบกของก็หนักน่าจะบอก
    พี่บี ก็บอกว่าไม่เป็นไร ไว้กินพร้อมกันทีเดียว จากนั้นพวกผมก็ฮึดเลยรีบเดินให้ถึงไวๆ
    [ซึ่งอาหารเนี่ย ลูกหาบจะกินพร้อมเราครับ เขาไม่กล้ากินถ้าเราไม่กิน
    และเป็นหน้าที่เราต้องแบ่งเขาด้วย ลูกหาบบางคนไม่พักอะไรมา
    บางคนจะพกแค่ขนมปังมาแค่ลองท้องครับ]

    เราใกล้ถึง ยอดดอยแล้วครับ ผมขอตั้งชื่อทางเดินต่อไปว่า
    โค้งสุดท้าย อันตรายสุดๆ ซึ่งมันจะเป็นทางที่ ชันที่สุดตั้งแต่เดินมา
    รวมถึงอันตรายมากๆ ถ้าไม่มีเชือกช่วย นี่แย่เลย
    ยังดีที่มีการ ทำเชือกเอาไว้ให้ครับ พวกเราก็รีบเดินเลยพี่บีหิวข้าว

    และแล้ว ก็ถึง ป้าย แรก ที่บ่งบอกว่าเราถึงดอยทูเลแล้ว [แต่ยังไม่ใช่ที่สุดนะครับ]
    มันแค่บอกว่า ใกล้ถึงที่พักเราแล้ว แค่นั้นเอง ฮ่าๆ

    โดยพี่บีเล่าว่า พวกเราคือ สถิติใหม่ โดยการเดินเกือบ 8 ชั่วโมง
    ซึ่ง สาวๆสองคนที่เคยมา ถึงเร็วกว่าพวกผมอีก ฟังแล้วมันเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
    แต่ก็เอาหน่ะ อย่างน้อยก็มาถึงแล้วหละ
    แถมยังมีสถิติ เดินช้าที่สุดอีกด้วย จะภูมิใจดีไหมเนี่ย ฮ่าๆ

    เดี๋ยวมาร่วมเดินทางกันต่อนะครับ

    • Posts-3
    Yotsaphon •  January 23 , 2017

    BACKPACK เรื่อยๆ ไปหายเหนื่อยที่ "ม่อนทูเล" EP.3

    พอขึ้นมาแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปลานกางเต๊นท์ทันทีครับ หิวข้าวแล้วววว
    โดยจุดแรกนั้น พบว่า ขยะเยอมากกกกกก พวกเราเห็นพี่บีจุดไฟเผา
    เข้าใจว่าเนื่องจากเพิ่งผ่านเทศกาลปีใหม่นักท่องเที่ยวคงต้องขึ้นมาเยอะแน่ๆ
    ยังไงก็ขอฝากช่วยกันรักษาความสะอาดนะครับ

    มีห้องน้ำด้วยนะครับจุดนี้

    ก็ช่วยกันคนละไม้ละมือแต่ว่า ไม่นอนตรงนี้ดีกว่า ขอไปจุดที่ 2
    โดยต้องเดินผ่านลำธาร โขดหินไปนิดหน่อย แล้วก็จะเจอลานกางเต๊นท์ที่2 ครับ
    จริงๆเราสามารถ ขึ้นไปกางข้างบนจุด ถ่ายภาพ หรือจุดพีคของดอยนี้ได้เลย
    แต่ว่าตอนกลางคืนลมจะแรงมาก หนาวมาก รวมถึง ไกลห้องน้ำด้วยครับ
    ต้องเดินลงมาเข้า ซึ่งจุดกางเต๊นท์ของเรา เดินไปห้องน้ำได้ไม่ไกลครับ
    พวกเราไม่รีรอชักช้าครับ รีบกางเต๊นท์อย่างไว
    เพราะว่าแสดงพระอาทิตย์ใกล้จะหมดลงแล้ว ... เดี๋ยวจะมองไม่เห็น

    พอกางเสร็จ จัดของเรียบร้อย พวกเราก็ขึ้น ปีน ป่าย คลาน
    อะไรก็แล้วแต่จะเรียก เพื่อไปยังจุดชมวิว ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
    ก็ได้กันมาคนละภาพสองภาพ ด้วยความเหนื่อยเมื่อยล้าสุดๆของวันนี้

    หลังจากถ่ายรูปพอเป็นพิธี และบวกกับแสงที่มี พวกเราก็ลงมาทำกับข้าวกินกันครับ
    ระหว่างที่เราไปถ่ายรูป พี่บี ก็ได้ไปหาฟืน เพื่อมาก่อกองไฟให้กับพวกเรา
    และนี่คือเวลาอาหารค่ำของคืนแรก ที่สุดโหด[สำหรับทีมผมนะ ฮ่าๆ]

    ระหว่างรับประทานอาหาร ก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อยกับพี่บีครับ
    ซึ่ง ตอนแรกพี่บีนั้น นั่งแยกวงกับเรา ไปแอบนั่งกินข้าวเปล่ากับปลาประป๋องของเรา
    พวกผมก็เลยเรียกมาร่วมวง แล้วกินข้าวด้วยกัน แบ่งปันอาหาร น่องไก่ชิ้นโต
    และพวกอาหารสำเร็จรูปแบบฉีกซอง พี่บี แกก็ดีใจมาก คือดูจากสีหน้าเอานะครับ
    แล้วแกก็บอกว่า ปกติไม่เคยมีใครเรียกมานั่งกินด้วยกันเลย นั่งแยกตลอดเพื่อความส่วนตัวของนักท่องเที่ยว
    แต่พวกผมสายชิวๆ และพี่บีช่วยไว้เยอะมาก ก็เลย เห็นแกเหมือนพี่คนนึง นั่งกินข้าวด้วยกัน
    เฮฮา จนลืมความเหนื่อยไปเลยครับ 


    เช้าแล้วครับ [คือเช้าเลยมีแดด] เพื่อนผมอีกสองคนตื่นไปก่อนแล้ว
    ตัวผมเองนั้นตื่นสาย TT แต่ ยังขอลุย
    ต้องบอกก่อนว่า จุดชมวิวที่มีป้าย ดอยทูเล นั้น ต้องเดินขึ้นไปอีก
    ซึ่งทางมัน ชันมากกกกกกกกกกก ถึงมากที่สุดครับ
    แต่ทำไงได้ เพื่อวิวที่สวย ต้องยอม ผมรีบเดินตามไปสมทบกับเพื่อนที่ตื่นก่อนทันที

    ขึ้นมาก็เจอสองหนุ่มถ่ายรูปเพลินๆเลย ฮ่าๆ ผมเลยแจม จากตรงนี้ขอใส่รูปวิวด้านบนนะครับ


    ความสวยงามในประเทศไทย ไม่ไปไม่รู้จริงๆครับ นี่ตอนเช้านะครับ
    พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น แต่ก็ยังเห็นดวงดาวอยู่เลย สวยงามมากจริงๆ

    แดดแสงอาทิตย์เริ่มส่องละครับมีความร้อนเบาๆ ฮ่าๆ

    ในที่สุดก็มีรูปคู่เพื่อนๆครับ ตื่นสาย เกือบไปละเรา เกือบมาไม่ถึง ดอยทูเล เพราะสลบคาเต๊นท์

    ถ่ายรูปกันพอสมควร พวกเราก็ ต้องเดินลงไปละครับ
    มีจุดสวยๆอีกจุดนึง และเราต้องกินข้าวเช้ากัน เพื่อที่จะเดินทางต่อด้วย

    อย่างที่บอกครับทางมันชันจริงๆ แต่วิวระหว่างเดินลง ก็ไม่เบานะครับ

    พอลงมาถึงจุดที่ยอดฮิตอีกที่นึง ก็จะมีเต๊นท์พี่ๆ กลุ่มนึงนอนกันอยู่ครับ เขาบอกหนาวมากๆ
    เพราะขนาดพวกผม นอนต่ำกว่าพี่เขา ยังหนาวเอาเป็นเอาตาย ไม่อยากนึกสภาพข้างบนนี้

    มาถึงจุดนี้ ผมนึกถึงคำที่ พี่คนนั้นบอกบนรถสองแถวเลยว่า
    อยู่ที่นี่อ่ะ เวลามันเดินช้านะ  มันจริงครับ หัวโล่งปลอดโปร่งมากๆๆ

    ตรงจุดนี้จะมีกองหินใหญ่ๆ และเสียบธงเอาไว้ ซึ่งพี่ลูกหาบแถวนั้นบอกว่า
    มีนักท่องเที่ยวนี่แหละมาทำไว้ให้ ผมขอบคุณมากๆครับ ขอยืมถ่ายรูปหน่อยนะครับ

    ยืนกันแบบว่า เหมือนมาพิชิตอะไรสักอย่าง  ฮ่าๆ

    หลังจากถ่ายรูปซึมซับบรรยากาศเต็มที่ พวกเราก็ต้องไปลุยกันต่อครับ
    แต่ก่อนจะไปนั้น ก็ต้องมาเก็บเต๊นท์และทานข้าว ซึ่งพี่บี ก่อไฟรอแล้ว
    มื้อนี้กินหรูหน่อยครับ อาหารญี่ปุ่น ใส่ไข่อีกต่างหาก

    หลังจาก เก็บของทุกอย่างพร้อมเรา เราก็ลุยกันต่อครับ
    จริงๆแล้ว ตรงนี้คุณจะเดินกลับทางเดิมก็ได้
    แต่พวกเราไปต่อที่ม่อนคลุยครับ เหนื่อยล้า แต่มันยังสนุกก็เลยลุยกันต่อ

    ทางในช่วงแรกๆ จะเป็นป่าซะมากครับ อากาศบอกเลย เริ่มร้อนแล้วครับ

    มีป้ายบอกทาง ที่เราจะไปด้วยครับ นั่นคือม่อนคลุย

    ทางที่เดินจะสลับกันไปเรื่อยๆครับ มีขึ้นและลง แต่ลงซะส่วนใหญ่
    ขึ้นเมื่อไหร่ ก็หอบกันเป็นแถบครับ ฮ่าๆ

    จนเดินมาได้สักพัก เราก็มาถึงจุดพักแวะริมธารน้ำอีกแล้ว
    ซึ่งตอนนี้ผมรู้ละ ว่ายังไงก็ต้องกินข้าว ไม่งั้นพี่บีแย่
    แถมพวกเราก็จะแย่ด้วยแหละ เพราะก็เริ่มหิวแล้ว

    ล้างหน้าล้างตากันหน่อย อาหารกลางวัน วันนี้ก็คือ โจ๊กซอง นั่นเอง

    แต่พี่บีเขามีอาหารของเขาคือข้าวแข็งๆ อารมณ์คล้ายๆข้าวเหนียวแต่มีรสชาติครับ
    มันก็เหมือนเรา แลกเปลี่ยนกันครับ เราให้พี่บีลองกินโจ๊กซอง และเราลองกินข้าวพี่บี
    ซึ่งรสชาติมันอร่อยดีครับ แต่มันแข็งไปหน่อย ฮ่าๆ ส่วนพี่บีบอกว่า
    โจ๊กของเราอร่อยมาก เขาไม่เคยกินมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องราวสนุกสนาน
    ที่เราได้คุยแลกเปลี่ยนกัน เอาให้พอหายเหนื่อย และพร้อมเดินทางกันต่อครับ

    หลังจากเดินๆในป่าอยู่พักใหญ่ เราก็โผล่มาเจอแสงตะวันบ้างครับ
    ซึ่งจุดหมายก่อนถึงม่อนคลุย ก็คือ "ม่อนคลุยหลวง" นั่นเองครับอีกไม่ไกล

    คือทางแถวนี้พี่บี แกเดินเร็วและชิวมาก ทั้งๆที่มัน ชันมากเช่นกัน
    เวลาลง นี่ขาสั่นไปหมดเลยครับ ที่เรายืนอยู่คือม่อนคลุยหลวง
    ถ้าหากจะนอนที่นี่ก็ได้ครับ (ส่วนตัวผมว่าสวยกว่าเยอะ) แต่ว่า
    ไม่มีน้ำกินใช้ และห้องน้ำ ถ้าจะใช้น้ำต้องเดินย้อนไปลำธารที่เราพักทานข้าว
    ซึ่งไกลพอสมควร ฮ่าๆ

    มันสูงมากกกจริงๆ อากาศบนนี้ก็ดีมากๆครับ คืออยากให้ลองสัมผัส
    มองสุดลูกหูลูกตา ไม่มีตึกมาบดบัง มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ
    ในใจผมคิดว่า ซึมซับช่วงเวลานี้ให้คุ้มที่สุด เพราะไม่รู้จะได้มาอีกเมื่อไหร่

    เดินมาสักพักก็จะถึงที่ๆเรียกว่า ม่อนคลุยหลวงครับ ซึ่งจะเป็นทุ่งหญ้าสีทอง
    ลมเริ่มแรงขึ้น แดดเริ่มหาย เพราะมันเป็นเวลาบ่าย 2 กว่าๆได้แล้วหละครับ

    ระหว่างทางเดินก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆครับ ส่วนพี่บี นำไปไกล นั่งชิวสบายๆละครับ
    พวกเราก็เดินเรื่อยๆ ทางก็อันตรายขึ้นเรื่อยๆครับ เพราะทางชันมากๆเลย

    พอลงมาจากทางชันใหญ่ๆ ก็มานั่งพัก กินน้ำพูดคุยกันก่อนครับ
    ซึ่ง ต้องบอกเลยว่า ตรงนี้ยังไม่ใช่ที่สุด ยังไม่โหดสุดของทางเดินครับ
    แต่ก่อนจะไปบู๊ต่อ ขอพักสักแปบ ในใจคิดว่า อยากหยุดเวลาไว้จังเลย สวยงามจริงๆครับ

    เดี๋ยวมาต่อนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ
    หากดีไม่ดียังไง ติชมได้นะครับ

    • Posts-4
    Yotsaphon •  January 24 , 2017

    BACKPACK เรื่อยๆ ไปหายเหนื่อยที่ "ม่อนทูเล" EP.4 จบ

    มาต่อละครับ ขอบคุณที่ติดตามนะครับ

    หลังจากพักเสร็จ เราก็เดินกันต่อ ต้องรีบเดินครับ
    ไม่งั้นมันอาจจะมืดได้ พอถึงตรงนี้ พี่แจ้บอกว่า ให้เราโทรหา
    ว่าอยากได้อะไรไหม เพราะตอนเขามารับจะซื้อมาฝาก
    พวกผมก็ขอน้ำอัดลมคนละขวด ไปครับโค้กซ่าๆ น่าจะอร่อยสุดในช่วงนั้น

    ระหว่างเดินก็มีลื่นล้มบ้าง ระวังด้วยนะครับ ผมกับเพื่อนโดนกันไปคนละทีสองที
    เพราะว่าระหว่างทาง มันไม่มีอะไรให้เราจับครับ ทางชันมาก ในภาพต่อไปนี้ยังน้อยครับ

    และแล้วเราก็ถึง จุดโหดสุด ในความคิดผมนะครับ
    เพราะว่าตรงนี้ ชันมากๆ เดินลงบ้าง นั่งสไลด์ลงบ้าง กลิ้งบ้าง
    จนเละเทอะกันไปหมด แต่จริงๆแล้วสนุกครับ แต่ว่าอันตรายมากเหมือนกัน

    มีป้าย เป็นกำลังใจเล็กๆน้อยว่า ... เกือบถึงแล้วนะ

    พอเดินมารู้สึกได้เลยว่ามันเริ่มต่ำลงๆ เรื่อยๆ เริ่มมีรอยรถมอเตอร์ไซ พี่บีบอกว่า
    เป็นรถสำหรับขนของ คล้ายๆรถพ่วงข้างๆไรงี้อะครับ มีควาย ด้วยครับ 
    และสุดท้ายพวกเราก็หลุดออกมาได้ เหนื่อยล้าเมื่อยขาสุดๆ ตะโกนเฮลั่น ว่ากันไปฮ่าๆ
    เจอพี่แจ้ และน้ำอัดลมมากมาย ฮ่าๆ จัดเต็มสิครับรออะไร รีบวิ่งไปหาพี่แจ้เลย

    หลังจากกินดื่มเสร็จแล้ว ก็ขึ้นรถกะบะ เพื่อไปยัง ม่อนคลุยครับ 
    จากตรงนี้-ม่อนคลุย ประมาณ 3km โดยปกติ จะมีรถมารับแบบนี้
    ถ้านักท่องเที่ยวคนไหนอยากจะเดินก็สามารถเดินได้ แต่พวกเราเหรอ..โดดขึ้นรถอย่างไวฮ่าๆ
    สภาพแต่ละคน ไม่ไหวแล้วจริงๆ

    ลาแล้วนะม่อนทูเล ... พี่แจ้เล่าว่า พวกเราทำลายสถิติอีกแล้วคือ
    เดินช้าที่สุด ฮ่าๆ คือพี่เขากะว่า เราคงลงมาถึงจุดที่รถรอประมาณไม่เกินบ่ายสาม
    แต่พวกเราลงมา 4 โมงกว่าๆ ซึ่งทำลายสถิติโดยสิ้นเชิงครับ


    ยอดดอยสีทองๆนั่นคือดอยทูเล ที่เราเดินลงมานั่นเองครับ
    ขอบอกเลยว่า ตอนแรกที่มาคิดว่าค่ารถรับส่ง 1800 บาทแพงมาก
    แต่ตอนนี้รู้แล้ว ว่าคุ้ม ฮ่าๆ ทางที่รถขับมา ฝุ่นเยอะมากๆรวมถึง
    หลุมเป็นร้อย ทางยากลำบากจริงๆ ก็เลยคุยกันว่า คุ้มแล้วหละค่ารถ ฮ่าๆ

    สักพักก็จะถึงถนนดีๆที่เขาทำใหม่ครับ ก็เริ่มลื่นไหลขึ้น
    มาถึงแล้วครับ ม่อนคลุย
    คร่าวๆที่ม่อนคลุย จะมี อาหารขายครับ น้ำเครื่องดื่ม สุรา ขนม เพียบเลย
    แต่ราคา ก็จะบวกเพิ่มนิดหน่อยครับ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

    นั่งถ่ายรูปเล่นกันพอสมควร ก่อนพระอาทิตย์จะตกดินและมืดกว่านี้
    เพราะที่ม่อนคลุยไม่มีไฟฟ้าครับ มีแต่ไฟร้านค้า ที่เขาต่อพ่วงเอา
    ที่แย่ไปกว่านั้นคือ วันที่พวกเราไป มันเพิ่งผ่านช่วงเทศกาลมา
    น้ำในแทงค์หมด และน้ำไม่ไหล ไม่มีน้ำใช้ครับ .... ซวยจริงๆ
    เหลือน้ำอยู่ครึ่งถัง แต่ก็อาบเท่าที่อาบได้ครับ ไม่ไหวจริงๆ
    ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว ฮ่าๆ

    หลังจากทำภาระกิจส่วนตัวเรียบร้อย ก็ได้เวลารับประทานอาหารเย็น
    กางเต๊นท์เรียบร้อย ก่อกองไฟเลย อันนี้ เป็นการรีแลคของจริงครับ
    ชิวมากๆ อากาศหนาวๆ มีไฟอุ่นๆ จิบเบียร์เบาๆ พี่แจ้ ดูแลเราอย่างดีมากๆครับ
    จัดหาทุกอย่างพร้อมหมด พี่บี ก็เหมือนเดิม หุงข้าวรอ น่ารักมากครับ
    แน่นอนว่า พวกเราตั้งวงกินกันแบบที่ทำบนยอดดอยทูเล
    คือมันเป็นความสุขอย่างนึงนะครับ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันสนุกมากครับ

    เป็นมื้อที่อร่อยมากๆครับ อาหารมีเท่าไหร่ใส่มาให้หมด ทั้งซองสำเร็จรูป
    หรือมาม่า ปลากระป๋อง จัดหนักจัดเต็ม  พี่บี แกจะชอบ ตักน้อย ไม่กล้าหยิบ
    พวกผมนี่บอกเลยว่า ไม่ต้องห่วงพี่ พี่ช่วยพวกผมไว้เยอะมากๆ กินเลยพี่ใช้แรงเยอะกว่าพวกเราอีก

    บรรยากาศดีโคตรๆ เหมือนเป็นภูเขาส่วนตัว เพราะมีแต่พวกเรากลุ่มเดียวเท่านั้น
    หลังจากกินเสร็จพวกผมก็นั่งคุย จิบเบียร์ กับพี่แจ้ ก็สนุกสนานมากจนดึกดื่นเลยครับ
    จากนั้นก็แยกย้ายกันไปนอน รอดูพระอาทิตย์ตอนเช้า
    บอกเลยว่า เป็นคืนที่นอนหลับสบายมากๆครับ มันหนาวสุดๆแต่ก็สบาย

    พอเวลาประมาณตี 5 พวกเราก็ลุกอัตโนมัติ เหมือนชิน ฮ่าๆ

    พอมีแสงสว่าง ก็เริ่มเห็นหมอกละครับ พี่แจ้บอกว่า หมอกอันนี้ยังน้อย
    ปกติแล้ว เราจะไม่ได้เห็นภูเขาเลยครับ หมอกจะบังมิดหมด

    หลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินมาก่อไฟ พร้อมจะทำอาหารเช้ากินกันต่อ
    ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก โจ๊กซองและกาแฟ ฮ่าๆ

    พอกินเสร็จ ก่อนกลับไปอบต ท่าสองยาง พวกเราก็เดินเล่นและพบว่า
    ที่นี่ ขยะเยอะมาก เนื่องจากเพิ่งผ่านจากช่วงท่องเที่ยวปีใหม่มาหมาดๆ
    ยังไงขอฝาก ทุกท่านด้วยนะครับ ถ้าไปเที่ยว ทิ้งให้เป็นระเบียบดีกว่าครับ
    จะได้ช่วยรักษาธรรมชาติให้ยังคงสวยงามอยู่เสมอ

    พวกเราเองก็ไม่ได้เก็บเยอะแต่อย่างใด ก็เอาพอที่กำลังพวกเราไหวครับ
    ช่วยกันคนละไม้ละมือ หยิบแล้วไปเผาทิ้ง ในกองไฟที่พี่บีก่อไว้ครับ

    สุดท้ายก่อนกลับ พวกเราก็เลยขอถ่ายรูปกับพี่บี ไว้เป็นที่ระลึกหน่อยฮ่าๆ
    เนื่องจากว่า พี่เขา ช่วยพวกเราไว้เยอะมาก ใช้แรงกายก็เยอะ
    ขอบคุณพี่บี มากๆครับ มีโอกาสจะไปเจออีกแน่นอน

    หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถกลับ อบต ท่าสองยางครับ แต่ก่อนจะไปถึง
    เราต้องแวะส่งพี่บีด้วย พร้อมแล้วก็ ลุยย

    ทางก็ไม่ใช่ธรรมดาๆเลยครับฮ่าๆ หลุมเยอะขนาดที่ว่าไม่สามารถเชลฟี่ให้ชัดได้ฮ่าๆ

    ระหว่างทางพี่แจ้ก็แวะให้พวกเราถ่ายรูปด้วยครับ มันมีจุดสวยๆอยู่

    พอออกมาถนนใหญ่ ก็จะเจอทางดีๆครับ มาส่งพี่บีกลับบ้านแล้ววว
    ซึ่งเราต้องจ่ายเงินให้พี่บีตรงนี้ครับ พวกผมเอง ตอนนั้นเหลือเงินไม่เยอะเท่าไหร่
    แต่ก็ให้พิเศษเพิ่มเติมให้กับ พี่บี ไปอีกนิดหน่อยครับ แถมให้โจ๊กซองกับพี่บีด้วย

    โชคดีนะครับพี่บี

    หลังจากเรากลับมาถึง อบต ท่าสองย่าง พวกเราก็สั่งข้าวกิน
    อาบน้ำแบบจัดเต็ม คือเขาจะให้เรา ทำไปก่อนเลยส่วนเรื่องชำระเงินเนี่ยทีหลังสุดเลยครับ
    พอเสร็จทุกอย่าง ก็ไปชำระเงิน ทุกอย่างให้เรียบร้อย และก็นั่งรอรถสองแถวมารับครับ

    ร่ำลาพี่แจ้เรียบร้อย ก็เดินทางกลับครับ โดยเรามาลงที่ ขนส่งแม่สอด
    และก็นั่งรถยาวมาลงที่ หมอชิตเลยครับยาวนานเหมือนกันฮ่าๆ
     

    รวมทั้งสิ้นการเดินทาง เราเดินเท้าในป่าทั้งหมด 14 กิโลครับ และทางชันมากๆถึงมากที่สุด
    ที่นี่สนุกมากครับ ยังไงก็ระมัดระวัง เตรียมฟิตร่างกายให้พร้อม ก่อนมากันด้วยนะครับ 

    _________________________

    สรุปปิดท้ายการเดินทางครั้งนี้ครับ
    จากตอนแรกที่คิดว่าไม่ไหวแน่ๆ ร่างกายไม่ฟิตไม่พร้อมเลย แต่อยากมาอยากลุยก็เลยลุยๆกันไปแบบ ช้าๆ แต่ว่าถึงชัวร์อย่างที่เห็นนันหละครับ เข้าใจความหมายของคำว่า จุดหมายไม่สำคัญเท่าเรื่องราวระหว่างทาง แบบจริงๆก็วันนี้แหละครับ
    เพราะระหว่างทางมันมีเรื่องราวเกินขึ้นมากมาย เยอะกว่านี้อีกครับ ทั้งสนุกตื่นเต้นและเสี่ยง ฮ่าๆ ถือว่าเป็นประสบการณ์ดีๆในชีวิตอีกครั้งครับคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจลุยกันต่อ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไปเที่ยวอีกหลายๆที่ เพราะผมเริ่มติดใจการ BACK PACK ซะแล้วสิครับ

    สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านที่อ่านและติดตามมาจนจบครับ
    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างไม่มากก็น้อย
    ยาวเกินไปก็ขออภัยนะครับแต่ตั้งใจเขียนจริงๆ