25 ตุลาคม 2562 เราตื่นขึ้นมาด้วยความหวังเล็กว่า ฟ้าจะเปิด
เราตื่นกันเวลาประมาณ 7 โมง เพราะนัดกับอาหารเช้าไว้ตอน 8.30 ฮ๋าๆๆๆ เรื่องกินเรื่องใหญ่ จริงๆคือลุงแกนัดไว้ว่า 9.30 ออกเดินทางนะ , 8.30 ลงมากินข้าวกันนะ จัดไปค่ะลุง มื้อเช้าเป็นNoodle ป้าแกทำเอง จริงๆมันก็คือราเมงในแบบฉบับของประเทศจีน ถึงเรื่องกินจะเรื่องใหญ่สำหรับเรา แต่ป้าแกให้มาเยอะ กินไม่หมดจ้า ถ้าเป็นมาม่าบ้านเรานะ ไม่เหลือ...ขนาดพอเหมาะกับคนไทย และรสชาติแซ๊บกว่าเยอะ
หลังจากกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เก็บของออกเดินทางกัน พอออกไปหน้าบ้าน ก็เห็นลุงอีกคนนึงมาเก็บของ เราขอเรียกว่าลุงไกด์ละกัน แกก็เอาของของเราใส่กระสอบรวมถึงอาหารด้วย มองไปหน้าบ้านลุงเห็นม้า 2 ตัวมารอแล้วววว เย่!!! จะได้ขี่ม้าแล้ว นี่เป็นการขี่ม้าครั้งแรกของเราเลยนะ แถมครั้งนี้Advance เข้าไปอีก เพราะเป็นการขี่ม้าขึ้นเขา!!! แต่อ่าวววว ลุงไม่ให้ขึ้นอ่ะ เห้ยลุง หลอกกันป่าวเนี่ย เรากับพี่ปุ๋ยก็ทำหน้างงๆ มองหน้าลุงแบบงงๆ ลุงแกเลยชี้ไปทางโน้นนน ทางที่เรากำลังจะไป พวกเราก็เข้าใจเอาเองว่า อ๋ออ เดี๋ยวให้ไปขึ้นตรงโน้นนนนมั้ง ลุงเปาแจกหมวกกันกระแทกให้พวกเราคนละใบ แล้วก็โบกมือบ้ายบายลุงเปา แล้วก็เดินตามลุงไกด์ไปเรื่อยๆ
ถนนหนทางในหมู่บ้านลาดปูนแล้วนะ ก็ไม่ได้กันดารอะไรขนาดนั้น ไฟฟ้าเข้าถึง แถมที่บ้านลุงเปาก็มี Wifi ให้เล่นฟรีด้วย แต่เราต่อไปก็เท่านั้นแหละ Wifi บ้านลุงเล่น Facebook ไม่ด้ายยย
ระหว่างทางเรายังมีสัญาณเน็ตอยู่ ก็ถ่ายรูปแล้วโพสขอกำลังใจจากแฟนคลับหน่อย(มีซะที่ไหนล่ะ 555) ส่วนพี่ปุ๋ยก็บอกทางบ้านว่ากำลังจะขึ้นเขา บนเขาจะไม่มีสัญญาณนะ ส่วนลุงก็ทักป้าๆ ที่เดินผ่านไปมาแถวนั้น แหม่ อารมณ์เหมือนบ้านเราเลย เราเป็นคนบ้านนอก เวลาจะออกไปทุ่งนา เจอใครก็ทักทายกันตามปะสา เห็นแล้วก็อยากให้บ้านเรากับบ้านนี้เป็นบ้านเดียวกัน อิอิอิอิอิ
Cr.รูปภาพจากพี่ปุ๋ย
แล้วทางชันก็มาถึง โอ้ย เหนื่อยมาก จากหมู่บ้านเดินจนมาถึงจุดที่เป็นทางขึ้นเขาความสูงน่าจะไม่ต่างกันมาก 2700 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทำเอามนุษย์ระดับ 0 เมตรอย่างเรา เหนื่อยมากๆ เราหายใจแรง แล้วก็หัวใจเต้นแรง นี่ถ้าลุงไกด์ไม่ให้ขึ้นม้า เราคงได้นอนกลางทางแน่ๆ
ส่วนลุงไกด์แกก็เดินไวม๊ากกกก ชิลมาก ระหว่างทางมีการเอาบุหรี่ออกมาสูบด้วย ปอดลุงทำด้วยอะไร ในระหว่างที่ลุงไกด์เดินชิลแล้วก็สูบบุหรี่อยู่นั้น ตัดภาพมาเรากับพี่ปุ๋ย เดินหอบเลยจ้าาา แถมเมาบุหรี่ด้วย โอ่ยยยย จะเป็นลม ทางก็ไม่รู้จะชันไปถึงไหน ทำเป็นทางลาดบ้างไม่ได้หรอ เหนื่อยแล้วนะ
และแล้วก็ถึงเวลาขี่ม้าสักที ลุงไกด์หาที่เหมาะๆให้เราปีนขึ้นม้าได้ อย่างที่บอก มันเป็นการขี่ม้าของเราครั้งแรก ตื่นเต้นมากอ่ะ ขึ้นขี่ม้าต้องทำไงวะ แล้วถ้าม้ามันดื้ออ่ะ เราจะปลอดภัยมั้ยอ่ะ ในหัวคิดไปต่างๆนาๆ ลุงไกด์บอกให้เหยียบที่ที่พักเท้าข้างนึง แล้วโหนอานม้า ดึงตัวเองขึ้นหลังม้า แล้วลุงก็ช่วยดันก้น (แกไม่ได้จับก้นนะ แกจับขา) ถ้าได้ถ่ายวีดีโอมาท่ามันจะตลกมากๆอ่ะ ฮ่าๆๆๆ ลุงไกด์บอกว่าให้เอียงตัวไปข้างหน้านะ ไม่ใช่เอนไปข้างหลัง จะทำให้ไม่ตกม้า
พอขึ้นไปบนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว ม้าคงแบบหนักอ่ะ เราล่ะสงสารม้ามาก ฮ่าๆๆ แต่ก็สงสารตัวเองมากกว่า เพราะม้าเขากล้ามเนื้อแน่น แล้วก็ปอดใหญ่ แข็งแรง พักแปปเดียวก็หายเหนื่อย แถมไม่เป็น AMS ด้วย ส่วนเราอ้วน แค่นี้จบเนาะ สัญญาว่าครั้งหน้าจะทำตัวให้เบาลงนะ
ม้าของลุงไกด์เชื่องมากนะ จูงให้ขึ้นก็ขึ้น เดินตามทางแป๊ะๆ แต่หยุดพักบ่อย ม้าตัวที่พี่ปุ๋ยนั่ง นางจะเดินนำหน้า ส่วนเราตามหลัง นางก็จะหยุดบ่อยยย หยุดกินหญ้าบ้าง อึ๊บ้าง ฉี่บ้าง ตดบ้าง ตอนอึ๊เนี่ย เราพอรับได้นะ เพราะมันเป็นก้อนแล้วก็ตกลงพื้นไง แต่ตอนนางตดคือแบบ นางจะยกหาขึ้นนิดนึง แล้วก็ตดปู๊ดดดดดดด โอ้ยยยคุณพระ โดนเราเต็มๆเลยจ้าาา ฮ่าๆๆๆๆ ตอนแรกๆไม่ทันรู้ตัวว่านางจะตด หลังๆพอนางยกหางปุ๊ป เรารีบเอาผ้าบัฟขึ้นมาปิดก่อนเลย ฮ่าๆๆ ฉันรู้ทันเธอนะ
เดินขึ้นมาเรื่อยๆ ลุงก็จอดให้พักที่ลานกว้างๆๆๆๆๆๆๆ กว้างมากๆ ตอนนั้นคือหมอกลงเยอะมากๆ ไม่เห็นวิวอะไรทั้งนั้น เราลงจากม้า พอเท้าแตะพื้นเท่านั้นแหละ อ๋ออออ ไอ่ที่บอกว่านั่งม้าแล้วจะเมื้อย ก็เข้าใจวันนี้แหละ ฮ๋าๆๆๆ คุณคะ มันแบบเมื่อยตรงหว่างขาอ่ะค่ะ มันเดินไม่เป็นท่าเลยค่ะ ต้องยืนสักพักนึงอ่ะ ถึงจะเดินได้ท่าปกติ ฮ่าๆๆๆๆ ตลกตัวเองมากๆๆอ่ะ
ที่ลานกว้างๆนี้ เต็มไปด้วยยย "จามรี" โหยยมันอยู่กันเพียบเลยย น่าจะมีคนพามากินหญ้าบนภูเขานี้ มันมีลักษณะเหมือนควายบ้านเรา แต่ว่าขนยาวมากๆ รุงรังเป็นตังเมเลย ภาพลักษณ์ภายนอก เหมือนจะดุร้าย พร้อมจะวิ่งเข้าใส่คนตลอดเวลาเหมือนบ้านเรา แต่ความจริงคือ พอเราเดินเข้าไปหามันใกล้ๆ เพื่อจะถ่ายรูปมันจะเดินหนีเรา ฮ่าๆๆๆๆ ในใจคงคิดว่า "อย่ามายุ่งกะกรูนะ" เราก็พยายามมากๆ อยากได้รูปอ่ะเนาะ แถมหมอกก็เยอะ ก็เขยิ๊บเข้าไปใกล้ มันก็เดินหนี เลยได้ภาพแบบนี้มา เสียใจนิดนึงงงง
ระหว่างที่เราถ่ายรูปกันอย่างมัวๆ เพราะหมอกเยอะมาก ฟ้าไม่เปิดเลย เราก็เหลือบเห็นจามรีน้อยกำลังวิ่งตรงมาทางเรา นางวิ่งเร็ว วิ่งได้น่ารักมากๆ แต่พอเราหันหน้าไปหานางตรงๆ นางเบรกหัวถิ่มเลยจ้าาา ฮ่าๆๆๆ น่ารักมาก เห็นได้ชัดว่า จามรีเป็นสัตว์รักสงบ ไม่อยากยุ่งกับคน ไม่ทำร้ายคน แต่ก็เป็นสัตว์ที่แอบติดตลกเหมือนกัน จามรีน้อยหัวถิ่มเลย
ลุงไกด์บอกให้เราเดินขึ้นไปอีกหน่อย ระหว่างที่เดิน เราก็คุยกับพี่ปุ๋ยเรื่องการขี่ม้า กล้วม้าจะดื้อ ทำเราตกบ้าง กลัวม้าเหนื่อยบ้าง สงสารม้าบ้าง บลา บลา บลา พี่ปุ๋ยบอกว่า "พี่คุยกับพี่พลอยแล้ว พี่พลอยบอกว่าไม่เป็นไร พี่พลอยพามาเที่ยวบ้านเขา เดี๋ยวพี่พลอยจะพาเราเที่ยวเอง " เราก็เห้ยพี่พลอยไหนวะ เรามากันสองคน พี่ไปคุยกะใครตอนไหนวะ พี่ปุ๋ยนางเลยเฉลยว่า ม้าของพี่ชื่อพี่พลอย เราคุยกันแล้ว เดี๋ยวพี่พลอยจะพาเราเที่ยววว พอได้ยินอย่างนั้น เราถึงขั้นเอ๋ยปากเลยว่า "ไม่ธรรมดาจริงๆ ผู้หญิงคนนี้" "พี่พลอยอ่ะหรอ"พี่ปุ๋ยถามแบบได้จังหวะตบมุกมากๆ แน่นอนเราก็ต้องตอบว่า "ก็พี่ไง" ฮ่าๆๆๆๆๆ โอ้ยยย ช่างมีจิตนาการล้ำเลิศมากค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ เราคงต้องคุยกับม้าเราบ้างล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
เดินไปได้ซักพักลุงก็ให้ขึ้นหลังม้าอีกครั้ง พี่พลอยนางก็ไม่ค่อยอยากจะเดินเท่าไร ลุงไกด์จัดการให้พี่พลอยเดินเองเลย ไม่จูงแล้ว มาจูงม้าเราแทน ฮ่าๆๆๆๆ พี่ปุ๋ยทำหน้าตกใจมากอ่ะ เป็นไงล่ะ ได้คุยกับพี่พลอยสองต่อสองเลยทีนี้ ฮ๋าๆๆๆ
ทางต่อจากนี้เป็นทางที่ชันมากดิ่งขึ้นเขาเลย เส้นทางเป็นหลุมลึกมาก บางหลุมมีน้ำขังด้วย เป็นทางสำหรับม้าเดินว่ากันง่ายๆ ม้าเดินได้ คนเดินลำบากหน่อย พี่พลอยเดินบ้าง หยุดบ้าง ม้าเราก็หยุดตาม แล้วพี่ปุ๋ยก็มีการหันมาถามว่า ม้าเราชื่ออะไร คิดในใจ เห้ยยยมาแล้ว ถึงตาเราแล้วหรอ เอาจริงดิ ต้องคิดชื่อให้ม้าด้วยหรอเนี่ยย คิดไม่ทันเลยตอนนั้น ม้าพี่ปุ๋ยชื่อพลอย มาแนวหนังย้อนยุคไปสมัยเลิกทาส ดีนะ เราก็ดูละครมาบ้าง เลยตอบออกไปว่า "ท่านขุน" ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เลิศป่ะล่ะ
เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอกระท่อมหลังน้อยหลังหนึ่่ง ลุงไกด์ก็ให้พักอีกครั้ง ครั้งนี้ดูเป็นการพักกลางวันเพื่อกินข้าว ลุงให้เราเข้าไปในกระท่อมนั้น พอเดินเข้าไปก็เห็นเครื่องครัวต่างๆอยู่ทางขวามือ ทางซ้ายเป็นที่นั่ง แล้วก็มีกองไฟที่มอดแล้วอยู่ตรงกลาง ลุงแกก็จัดเตรียมของกินให้เราสองคน แล้วมีลุงอีกคนนึงที่เจอกันระหว่างทางก็เข้ามานั่งด้วย มาก่อไฟให้ ดูเหมือนว่าแกจะเป็นไกด์เหมือนกัน พูดคุยกันเหมือนสนิทกันมากๆ
เราก็นั่งรอ ระหว่างรอเราก็กินน้ำ กินน้ำเยอะๆจะช่วยเติม O2 ให้กับร่างกาย แล้วจู่ๆ ก็มีคนเข้ามาในกระท่อมนี้อีก เข้ามาเรื่อยๆเลย เรากับพี่ปุ๋ยก็ขยับเข้ามาด้านในเรื่อยๆๆ คนที่เข้ามาใหม่ เป็นผู้ชายชาวจีนทั้งหมดเลย สักพักลุงไกด์ก็กลับมาพร้อมกับฟืน ตอนนี้นับประชากรชาวจีนที่อยู่ในห้องได้ทั้งหมดก็ 9 คนถ้วน เป็นผุ้ชายทั้งหมด แล้วก็มีต่างด้าวอยู่ 2 คนคือเรากับพี่ปุ๋ย พวกนางเข้ามาปุ๊ปก็สูบบุหรีปั๊ปเลย มวนต่อมวนเลย ถ้าจะให้มองว่าน่ากลัวก็น่ากลัวนะ เพราะเขาเป็นผู้ชายทั้งหมดเลย และเราไม่รู้ภาษาของเขาด้วย แต่ว่าหลังจากที่ได้ทักทายแล้ว ก็ค้นพบว่า พวกเขาเป็นคนตลก
คนเสื้อส้มอ่ะ พูดไม่หยุดเลย พูดๆๆๆๆ อยู่นั่นแหละ แล้วก็เพื่อนๆในห้องก็ออกความคิดเห็นกันอย่างเมามัน ถึงที่นี่ไม่มีสัญญาณแล้ว จะใช้แอฟแปลภาษาก็ไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะถามว่าเราเป็นคนเกาหลีหรือป่าว เดาจากคำว่า ฮั๊งกั๋ว ที่แปลว่าคนเกาหลี พี่ปุ๋ยเลยตอบไปว่า ไท่กั๋ว เขาก็อ้ออออกันยกใหญ่ คนเสื้อส้มก็พูดขึ้นมาว่า สวัสดีคร๊าบบบ ขอบคุณคร๊าบบบบบ ฮ๋าๆๆๆๆ ตลกดีอ่ะ แล้วเพื่อนเขาอีกคนก็เอารูปสถานที่ประเทศไทยให้เราดูกัน มีวัดอรุณฯ วัดพระแก้วฯ เหมือนให้เล่นเกมทายชื่อสถานที่จากรูปภาพอ่ะ ฮ่าๆๆๆ แล้วก็คงนินทาเรากันอ่ะ เพราะได้ยินคำว่าไท่กั๋ว นอกนั้นฟังไม่ออกเลยจริงๆ ฮ๋าๆ
ด้วยความที่กินน้ำเยอะมาก เราก็ปวดฉี่ อยากไปห้องน้ำ ดีนะที่แคปหน้าจอคำว่าห้องน้ำที่แปลเป็นภาษาจีนไว้ หนึ่งในนั้นเขาก็ชี้ออกมาทางด้านหลังกระท่อม เราก็ออกมาพร้อมพี่ปุ๋ย พอเดินออกมา ไหนวะห้องน้ำอ่ะ ไม่เห็นมีเลย พี่ปุ๋ยแกเลยแปลต่อให้ว่า ตรงไหนก็ได้ ตามชอบเลย แถวนี้แหละ ฮ่าๆๆๆ เอาวะแบบนี้เราก็เคยทำที่ไทย เราเลยเดินออกไปไกลหน่อย แต่ว่าลักษณะพื้นที่คือเป็นต้นสน ต้นไม้ไม่ใหญ่เลย บังเราไม่มิดว่าง่ายๆ แล้วหญ้าที่พื้นก็ไม่สูงเหมือนป่าบ้านเรา ทีนี้เราก็เขินไง โชคดีที่หมอกลงหนามากๆ เลยตัดสินใจจัดการปลดปล่อยในทำเลที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว อยากจะบอกว่ามันเย็นมากค่ะ ฮ่าๆๆๆ อากาศก็เย็น หมอกก็เย็น มีลมด้วยอ่อนๆ เย็นแค่ไหนคิดดูสิ ฉี่ที่ออกมามีควันออกมาด้วยเลยอ่ะ
กลับมาจากห้องน้ำที่ไม่มีจริง ก็มีชาร้อนๆรอเราแล้ว พร้อมกันขนมกลางวัน มันคือแป้งทอดฉ่ำๆน้ำมันนิดนึง มีรสชาติหวาน แต่ว่าคนเสื้อส้มกับเพื่อนๆเขากินแผ่นแป้งกัน โดยต้องเอาไปปิ้งกับไฟก่อน นางก็แบ่งให้กิน แหม่มีน้ำใจมากๆอ่ะ รสชาติจะจืดๆมันๆแห้งๆ นิดนึง ก็กินได้ให้ร่างกายมีพลังงาน ฮ่าๆๆ
เมื่อท้องอิ่มก็ออกเดินทางอีกครั้ง ท้องเราอิ่ม แต่พี่พลอยกับท่านขุนยังไม่ได้กินอะไรเลย ลุงไกด์เลยขอเวลาให้อาหารพี่ท่านก่อน แกให้เราเดินขึ้นเขาร่วงหน้าไปก่อน ตอนนี้เราอยู่ที่ความสูง 3517 m แล้ว การขึ้นเขาของเราเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากๆ เรายังไม่รู้สึกปวดหัวนะ แต่แค่เหนื่อยมากๆเวลาเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ แต่ก็เดิน เดินช้าๆ ค่อยๆเดิน วิวสองข้างทางสวยมากๆ ผู้ชายคนจีนที่อยู่ในห้องก็ออกมาเดินกับเราด้วย เหมือนเขาก็เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่ทำไมเขาเดินกันชิลมากๆ อ่ะ แทบจะวิ่งขึ้นเลยก็ว่าได้ ตัดภาพมาที่เราคือเหนื่อยมากๆอ่ะ เราเดินหลังสุดเลย หนุ่มจีนที่ขึ้นไปก่อนเลยหันมาถ่ายรูปเรา แล้วก็รอให้เราไปดูรูป นางถ่ายรูปสวยมากๆๆๆๆๆๆอ่ะ ฟ้าเปิดนิดนึง แต่นางทำรูปออกมาสวยมากๆๆๆๆๆๆ เสียดายที่ไม่ได้ขอ We chaไว้ หมดกันรูปสวยๆของเราก็ไม่ได้เอามาอวดเลย
แต่ต้องยอมรับว่าวิวสวยมากจริงๆ ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว หญ้าที่พื้นก็กลายเป็นสีเหลือง สวยมากๆๆๆๆ ถ้าฟ้าเปิดสักหน่อยนะ จะสวยกว่านี้ แต่เราเป็นเจ้าแม่ฟ้าปิด ไปไหนฟ้าก็ปิด ฮ่าๆๆ คราวหลังจะไม่พลาด เราจะเอาตะไคร้ไปปักด้วย ฮ่าๆๆๆ
Cr.รูปภาพสวยๆจากพี่ปุ๋ยค่ะ ^^
สวยจริง สวยจัง สวยมากๆ เนาะ เดินไปชมวิวไป พักถ่ายรูปให้หายเหนื่อย สักพักลุงไกด์ก็ตามมาทัน พอลุงมาถึงก็ไม่รอช้า ให้เราขึ้นขี่ม้า แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ ต่อจากนี้ไม่มีการพักแล้ว มุ่งหน้าตรงไปยัง Base camp เลย ถึงตอนนี้เรายังชิลๆอยู่นะ ก็เพราะว่าอยู่บนหลังท่านขุนไง ไม่งั้นนะหอบรับประทานแล้ว ฮ๋าๆๆ ยิ่งขึ้นสูงเท่าไร ฝนก็ยิ่งตกหนัก แถมไม่พอ อากาศด้านบนหนาวมาก เราหนาวมาก สั่นไปทั้งตัวเลย แล้วหลังจากที่เดินทางมาทั้งวัน เราก็มาถึง Base camp กันแล้วววว
BASE CAMP
Base camp ไม่เหมือนที่เราคิดไว้อ่ะ ก่อนมาคิดว่า Base camp จะต้องมาแย่งกันกับกรุ๊ปอื่นหรือกับเอเยนต์เจ้าอื่น แต่ปรากฏว่า เขาแยกของใครของมัน เจ้าที่พากรุ๊ปคนจีนที่ถ่ายรูปให้เราจะอยู่ใกล้กับทางขึ้น-ลงเลย แต่Camp ของเราจะอยู่ห่างออกไปอีก ไม่ไกลมาก ประมาณ 100 เมตร อยู่แบบห่างไกลจากกรุ๊ปอื่น เหงาเลยอ่ะ
ทันทีที่เราไปถึง เราลงจากท่านขุนได้ เราก็รีบวิ่งเข้าไปใน Camp เลยเพราะว่าหนาวววววมาก ดีที่เสื้อคลุมกันฝนได้ เราเลยไม่เปียก แต่พอถอดเสื้อออกเท่านั้นแหละ อื้อหืออออ หนาวเข้ากระดูกเลย ต้องรีบเราเสื้อดาวน์มาใส่อีกชั้น
ด้านใน Camp แบ่งเป็น 2 ห้อง ห้องแรกเป็นห้องที่เราเดินเข้าไปแล้วจะเจอเลย ภายในห้องจะมีเครื่องครัวหม้อไห ขวดน้ำ วางอยู่ตรงข้ามกับประตู และมีเตาผิงอยู่ทางด้านซ้ายมือ รอบๆเตาผิงเป็นที่นั่ง สมาชิกในห้องมีลุงๆ 3 คน นั่งอยู่ก่อนแล้ว พอเข้าไปทักทายจริงๆ ก็มีคนจีน 2 คนที่เป็นไกด์ และมีลุงเกาหลีอีก 1 คน ลุงเกาหลีแกมาค้างอยู่ที่ Black lake เมื่อคืนก่อน แล้วก็เดินมาที่ Base camp ในวันนี้ พรุ่งนี้ตามแผนแล้วก็ต้องขึ้นยอดเขาฮาปาพร้อมกับพวกเรา ลุงแกพูดอังกฤษได้นิดหน่อย คือพอคุยกันรู้เรื่องอ่ะ เราก็งูๆปลาๆ เหมือนกัน แกบอกว่าแกเป็นไกด์ภูเขาเหมือนกันนะ แต่แกนำเดินขึ้นเขาในประเทศเนปาล เจ๋งมากอ่ะลุง ลุงบอกว่าถ้าเราไปเนปาลก็ไปพักบ้านแกได้ ฮ่าๆๆๆ แต่เราลืมขอ Contact แกเอาไว้อ่ะสิ เสียดายจัง แต่ว่าโชคดีมากๆ ที่เจอแกบนนี้เพราะแกโหลดแอพแปลภาษาแบบออฟไลน์ไว้ ทำให้เราได้พูดคุยกับไกด์คนจีนได้ง่ายขึ้น
ลุงไกด์คนจีนอีก 2 คนที่อยู่ใน Camp ก่อนที่เราจะไปถึง เราขอเรียกลุงคนแรกว่า ลุงกับข้าวเพราะนางเป็นคนทำกับข้าวให้ทุกคนใน Camp กิน กับอีกคนคือไกด์เมาเห็ด ฮ่าๆๆๆ เพราะตั้งแต่เจอหน้ากันนางก็ไม่หยุดหัวเราะเลย นางพูดๆๆ แล้วก็หัวเราะ ฮ่าๆๆๆ ฮามากๆอ่ะ ยกตัวอย่างเรื่องที่นางขำมากๆ เรื่องนึงคือ พี่ปุ๋ยแบมือแล้วก็เอามือไปใกล้ๆเตาผิงไฟ ไกด์เมาเห็ดก็หัวเราะใหญ่เลย เสียงดังมาก เราก็อะไรวะ ขำอะไรอีกวะเนี่ย นางหัวเราะแล้วก็มาจับนิ้วพี่ปุ๋ย แล้วก็หัวเราะอีก ฮ่าๆๆๆ อะไรของเขาวะ แล้วก็ไปจับนิ้วตัวเอง แล้วก็บอกให้ลุงไกด์ กับลุงกับข้าวดู แล้วก็หัวเราะเสียงดังใหญ่เลย เหมือนกับว่าไม่เคยเห็นคนนิ้วเล็ก ฮ่าๆๆๆๆ นางคุยว่านิ้วมือพี่ปุ๋ยเล็ก ส่วนนิ้วของนางใหญ่ แล้วก็ขำใหญ่เลย ฮ๋าๆๆๆ โอ้ยยยถ้าคุยภาษาเดียวกัน ก็คงจะขำกันมากกว่านี้ เราได้แต่ขำนางที่นางหัวเราะอยู่ตลอดเวลาเลย ฮ่าๆๆ
ส่วนอีกห้องนึงเป็นห้องกินข้าว จากประตูต้องเลี้ยวขวาไป มีโต๊ะตัวใหญ่วางอยู่ตรงกลางห้อง แล้วก็ด้านในสุดของห้องเป็นที่นอนของไกด์ ช่างเป็นห้องนอนที่อบอุ่นมาก อยากมานอนด้วยเลยอ่ะ
Base camp อยู่ที่ความสูง 4130 ม. อาการของเราตอนนี้คือ ปวดหัวนิดๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหนื่อยไปหมดเลย ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นเร็ว รัวเหมือนตีกลองแต๊กตอนเดินสวนสนามเลย แล้วก็อยากหลับมากๆ เรากินยาพารา อาการก็ดีขึ้นนะ เวลาจะทำอะไรก็ต้องค่อยๆทำ และกินน้ำเยอะๆ เยอะจนปวดฉี่อีกแล้ว เราเลยใช้มุกเดิมคือเอาคำศัพท์ที่แปลว่าห้องน้ำไปให้ไกด์เมาเห็ดดู แล้วนางก็รีบพาเรามาที่ด้านหลัง Camp เราเห็นเป็นกระท่อมน้อยๆ ที่มีประตูปิดอยู่ เราดีใจมากกกกก ที่เราไม่ต้องไปฉี่ตรงไหนก็ได้ อย่างน้อยๆก็รัวรอบขอบชิด เพราะบรรยากาศถ้าไม่มีห้องน้ำนะ มันจะหนาววววมากกกกก เย็นมากกกกกกกน่ะสิ ฮ่าๆๆๆ พอเปิดประตูเข้าไปก็เป็นส้วมหลุมธรรมดาเนี่ยแหละ อย่าให้บรรยายสภาพด้านในเลยนะ เราอยากจะลืมมันไปจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ
เรากลัวว่าเราจะขาดออกซิเจนโดยไม่รู้ตัว ก่อนมาเราเลยซื้อ Oximeter มาด้วย แต่พอจะใช้ปรากฏว่า วัดเพี้ยนจ้าา ค่าของเราขึ้นต่ำมากคือต่ำจนคิดว่าเห้ย เราจะตายป่าววะเนี่ย แล้วมันก็ค่อยๆขึ้นๆ พอเราให้พี่ปุ๋ยกับลุงๆ ลองบ้าง ค่าของพวกเขาโอเครอ่ะ อยู่ในระดับที่ดีเลย เราเลยทำท่าทางบอกลุงไกด์ โดยชี้มาที่ตัวเอง แล้วก็เอานิ้วชี้ปาดคอ แล้วก็แลบลิ้น เพื่อจะบอกว่า เราตายแล้ววววว ลุงไกด์แกก็หัวเราะใหญ่เลย ยิ่งไกด์เมาเห็ดยิ่งหัวเราะเสียงดังกว่าใครเลย ฮ่าๆๆๆๆ
หกโมงเย็น ถึงเวลาที่จะต้องกินข้าวเย็นแล้ว เราเอาปลาทูน่ากระป๋องมากินด้วย ส่วนพี่ปุ๋ยเอาน้ำพริกนรกมา หูยยยพอได้กินน้ำพริกนะรู้สึกมีแรงขึ้นมาเลย แล้วพี่ปุ๋ยก็แบ่งให้ลุงๆ ลองบ้าง เราก็กลัวว่านางจะเผ็ด เพราะอาหารที่นางทำมาไม่เผ็ดเลย เมื่อวานที่กินอาหารที่ป้าทำก็ไม่เผ็ด เลยเข้าใจว่าคนจีนไม่กินเผ็ด แต่ที่ไหนได้ลุงๆแกกินได้หน้าตาเฉย แถมเทใส่ข้าวเยอะมากด้วย
กับข้าวที่ืลุงกับข้าวทำให้กินมื้อนี้คือ ต้มปลา ต้มปลาอีกแล้ววว เราไม่ได้ถามว่าเป็นปลาอะไร เดาว่าน่าจะเป็นปลาจากภูเขาอีกเหมือนเดิม รสชาติเหมือนที่ป้าทำเมื่อวาน ปลาเนื้อเด้ง นุ่ม ไม่คาว กินเข้าไปปุ๊ป ละลายในปากเลย แต่ลุงเกาหลีแกถาม คำตอบที่ได้มาน่าตกใจมาก เพราะว่ามันคือ "ปลาคาร์ฟ" คุณพระ!!! ปลาคาร์ฟที่เมืองไทยเขาเลี้ยงเป็นปลาสวยงามนะเฟ้ยยยย เรากับพี่ปุ๋ยมองหน้ากันเลย ฮ๋าๆๆๆ เรื่องนี้มันต้องประกาศให้โลกได้รู้ มันเริ่ดมากอ่ะ มาประเทศจีนได้กินต้มปลาคาร์ฟด้วย สุดๆไปเลย กลับไปไทยลองเอามาต้มยำสักตัวดีมั้ยนะ ฮ๋าๆๆๆๆ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ลุงๆ แกก็สอนให้ใส่ Crampon ที่เอาไว้เสริมรองเท้าของเราให้เดินบนหิมะได้โดยไม่ลื่น จริงๆแล้วก็จะเป็นคนใส่ให้พวกเราตอนที่อยู่บนเขา เพราะวิธีการมันเชือกมันซับซ้อนเกินที่จะให้เรามัดเองได้ ถ้าให้เรามัดเองนะ คงหลุดกลางทาง แล้วก็ตกเขาตายกันพอดี ฮ่าๆๆๆๆ พอใส่เสร็จแกก็ให้ลองยืน ลองเดิน วิธีการเดินคือ ให้เดินให้เท้าเราตรงกับหัวไหล่ ซึ่งจะต้องถ่างขาออกจากการเดินปกตินิดหน่อย (จริงๆกว่าจะเข้าใจแบบนี้ได้ก็อธิบายกันนาน เพราะคุยคนละภาษาไง ฮ่าๆๆๆ)
Cr.รูปภาพจากพี่ปุ๋ยค่ะ
สอนเสร็จก็ได้เวลาเข้านอน แต่ก่อนนอน ลุงแกนัดว่าตื่น 3.00 นะ เริ่มเดิน 3.30 สายกว่าเจ้าอื่นๆ แต่ก็เอาเถอะตามนั้นแหละ แต่ก็แอบคิดในใจว่าจะถึงยอดเมื่อไรเน้อออ ตอนนี้ฝนยังไม่หยุดตกเลย ลุงเกาหลีแกบอกว่า ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วฝนไม่หยุดตก แกก็จะไม่ขึ้นไปที่ยอด เรากับพี่ปุ๋ยคิดหนักเลย เพราะแกเป็นไกด์ภูเขาที่เนปาล (แกบอกว่างั้นนะ) แกคงมีประสบการณ์การเดินขึ้นเขาหิมะเยอะ คงจะประเมินแล้วว่ามันอันตราย เรากับพี่ปุ๋ยยังเป็นเด็กฝึกหัดเดิน คงต้องเชื่อแกแหละ ในใจคิดว่ามาถึงแล้วอ่ะ อีกนิดเดียวเอง ขอให้ได้ไปเถอะนะ แต่ก็นะ ตอนนี้มันแค่ทุ่มกว่าๆเองมั้ง ให้เวลาธรรมชาติเขาหน่อยดิ ฟ้าอาจจะเปิดตอนเช้าก็ได้
ส่วนที่นอนของเราอยู่ในห้องถัดไปจากห้องครัว พอเข้าไปข้างในจะเจอเตียง 2 ชั้น 4 เตียง บนเตียงมีฟูกแบนๆวางอยู่ พร้อมกับถุงนอน ห้องนี้จะเป็นที่นอนของเรา พี่ปุ๋ย แล้วก็ลุงเกาหลี สามคนเลือกนอนชั้นล่างกันหมดเลย เพราะขี้เกียจปีนไง ฮ่าๆๆๆ เราเอาถุงนอนของเตียงอื่นมาซ้อนกัน 2 ชั้นบวกของเราที่เตรียมไปเองอีกชั้น คิดว่าน่าจะอุ่นแล้วนะ ฮ่าๆๆ แล้วก็ใส่เสื้อเบส x1 เสื้อยืดx2 เสื้อฟรีส x1 เสื้อดาวน์x1 หมวก x2 ถุงมือ x1 กางเกงเบสx1 กางเกง Heattech ของ Uniqlo x1 กางเกง Trekking ธรรมดาๆ x1 ถุงเท้าแบบหนา x2 ถุงเท้าสำหรับใส่นอนx1 หมดกระเป๋าแล้วจ้า แล้วเราก็เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในถุงนอนที่เตรียมไว้ แรกๆ จากที่อยู่ด้านนอกนานๆ อาการหนาวมันยังค้างอยู่ ร่างกายยังไม่ได้ปรับอุณหภูมิขึ้น เรานอนแบบหนาวสั่นไปทั้งตัวเลย แล้วหัวใจก็เต้นแรงเพราะอากาศน้อยอีก รัวเป็นกลองแต๊กตอนสวนสนามเลย นอนไม่หลับเลย อาการแบบนี้ AMS แน่นอนเลย เราเลยลุกขึ้นมานั่ง ตั้งสติ ช่วยไม่ได้ วิธีเดียวที่จะช่วยตัวเองได้คือ กินน้ำ โชคดีที่ก่อนมานอนเติมน้ำมาด้วย น้ำร้อนมากๆด้วย เราจิิบน้ำ แล้วก็ล้มตัวนอนอีกครั้ง อาการหนาวดีขึ้นร่างกายคงปรับอุณหภูมิได้ระดับนึงแล้ว สั่นน้อยลง ทำให้เราได้งีบบ้าง ฟังเสียงรัวของหัวใจแล้วก็เผลอหลับไป หลับแบบหลับๆตื่นๆนะ เพราะต้องตื่นมากินน้ำ ถ้าไม่ได้น้ำเราแย่แน่ๆเลย
สิ่งนึงที่ทำให้เราตื่นบ่อยก็คือ ลม คืนนี้ลมแรงมาก(กอ ไก่ ล้านตัว) พัดมาจากทุกติดทาง ด้วยลักษณะ Camp ที่สร้างจากไม้กับหิน แล้วหลังคาก็เป็นสังกะสี แล้วก็มีฝ้าเป็นผ้าใบ พอเจอลมพัดมานะ เหมือนมีคนหลายๆคนมาเขย่าCamp แล้ววิ่งหนีไปอ่ะ เป็นแบบนี้ทั้งคืน Camp สั่นทั้งคืน สั่นจนกลอนประตูที่เป็นไม้ที่เสียบไว้ระหว่างประตูกับวงกลบหลุดออกจากกัน แล้วประตูมันก็เปิด แล้วลมก็พัดเข้ามาหาเราเต็มๆเลย เราเลยต้องลุกขึ้นไปปิดประตูถึง 2 ครั้ง เราคิดว่า Camp แม่งต้องพังแน่ๆ ลมมันจะพัดCampหนีแน่ๆ แต่ถ้ามันพัดมา เราคงจะมีเวลาให้หลบอยู่มั้งเพราะเรานอนเตียงชั้นล่าง น่าจะพอไหวแหละ (วางแผนไว้แล้ว ฮ่าๆๆๆ) แต่คนที่คิดวางแผนจริงจังกว่าเราก็คือ พี่ปุ๋ย ฮ่าๆๆๆ นางบอกว่านางคิดว่าตอนเช้าที่เปิดประตูออกไปจะเจอหิมะกองอยู่หน้าประตู หิมะมันถล่มมาใส่ Camp เราแน่ๆ เราคือแบบ เห้ยยยย ไม่ธรรมดาจริงๆผู้หญิงคนนี้ จินตนาการของนางเกินที่เราจะคาดเดาได้จริงๆ ล้ำกว่าเราไม่หลายขุมมาก ฮ่าๆๆ แต่สิ่งที่คิดเหมือนกันก็คือ คราวหน้าจะไม่มาล่ะ
ภาพจากวีดีโอจ้า