Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
ภูเขาหิมะ"ฮาปา" กับฉันที่ไปไม่ถึงยอด T^T (คราวหน้าจะไปให้ถึงให้ได้) ภูเขาหิมะฮาปา
    • Posts-1
    Natthikan •  November 03 , 2019

    เกริ่น (อ่านเถอะ สำคัญนะ)

             จริงๆก็คิดๆอยู่ว่าจะเขียนดีมั้ย เพราะไปไม่ถึงยอด ไม่สำเร็จ เขียนไปจะน่าอายมั้ยนะ 555 แต่มันมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง ทั้งดีและไม่ดี และวิธีการเดินทางที่ไปยากลำบากเหลือเกิน อยากให้คนที่สนใจจะไปที่ภูเขาลูกนี้ได้เตรียมตัวให้ดีๆ ก่อนที่จะเดินทาง เลยจัดสินใจมาเขียนบทความนี้เอาไว้นะ 

    ขายของก่อนเลย 555 อ่านข้อความเราจบแล้วสงสัยหรือต้องการข้อมูลอะไรเพิ่ม ทักมาคุยกันได้ที่เพจ (กดไลค์เพจให้ด้วยจะดีมาก มาแชร์ประสบการณ์ หรือชวนไปเที่ยวด้วยก็ได้นะ) https://www.facebook.com/Wideworldphotograpgy/

    ทำไมเราถึงอยากไปที่นั่น  ก็เพราะ เราอยากพิชิตภูเขาหิมะ และอยากรู้ความสามารถของตัวเองว่าจะไปได้สูงแค่ไหน
              ผลลัพธ์คือ "เราไปได้ไม่ถึงยอด" ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม ความหนาว และการปรับตัวของร่างกายบนที่สูงในระยะเวลาจำกัด ทริปนี้ร่างกายเราเรียกว่าเข้าใกล้ "ความตาย" เลยก็ว่าได้ 5555 อย่าเพิ่งตกใจหรือมองในแย่ลบนะ เรายังมีชีวิตอยู่ เราปลอดภัยดี เรารอดกลับมาเขียนข้อความนี้เพื่อให้คนที่สนใจจะไปที่นี่ได้รู้จักที่แห่งนี้ และการเตรียมตัวให้มากกว่าที่เราเตรียมไป และเราจะกลับไปใหม่อีกครั้ง 

     

    ทำไมเราถึงไปไม่ถึงยอด มีอยู่ 3 ปัจจัยแค่นี้เลย

    1.สภาพอากาศไม่เหมาะ เราเป็นคนที่ไปเที่ยวที่ไหนฝนก็ตก ก่อนวันที่เราจะไปเห็นคนอื่นเขาไปเที่ยวแถวๆ ลี่เจียง แชงกลีล่ากัน ฟ้าสดใสมากๆ พยากรณ์อากาศก็บอกว่าฟ้าจะเปิดสดใส เห็นพระอาทิตย์ พอเราไปเท่านั้นแหละ 5555 ฝนตก ลมแรง นี่เรื่องจริงนะ และในวันที่เราจะกลับฟ้าก็เปิดอีกครั้ง โถ่วชีวิต น่าสงสารมั้ยล่ะ

    2.ความหนาว หนาวมากๆ เสื้อผ้าที่เอาไปใส่เอาไม่อยู่ มันเย็นเข้ามาถึงในกระดูกเลยอ่ะ 

    3. AMS เรื่องนี้สำคัญมากๆ คนที่ชอบที่จะไปที่สูงๆคงรู้จักกันดี เรามีอาการตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่ Base camp เลย แต่ดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง และอาการหนักขึ้นตอนที่กำลังเดินขึ้นเขา รายละเอียด(มาก)จะอยู่ในเนื้อหาการเดินทางด้านล่างนะ

    ทริปนี้เราเกือบจะได้ไปคนเดียวแล้วนะ แต่เป็นความโชคดีมากๆ ที่มีพี่ปุ๋ยเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีมากๆ เพิ่งรู้จักกันที่สนามบิน แล้วก็พากันผจญภัยในต่างแดน และกลับบ้านมาอย่างปลอดภัยดี เป็นทริปที่ดีมากๆ ถ้าขาดพี่ปุ๋ย เราคงไม่รอดแง่ๆ 555 และเราได้ค้นพบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ขอบคุณพี่ปุ๋ยที่สมัครใจร่วมเป็นร่วมตายในการเดินทางครั้งนี้นะคะ ^^

     

    • Posts-2
    Natthikan •  November 03 , 2019

    ภูเขาหิมะฮาปา หมู่บ้านที่ข้อมูลน้อยมาก หายากมาก

    ภูเขาหิมะฮาปาอยู่ตรงไหน ดูในรูปก็อยู่ตรงนี้ไง ใกล้ๆภูเขามังกรหยกอันโด่งดัง จุดเริ่มต้นของการเดินขึ้นเขาคือหมู่บ้าน ฮาปาในวงกลมแดงๆนะ หมู่บ้านนี้ข้อมูลน้อยมาก การเดินทางไปที่นี่ก็ยากเหมือนกัน เว้นแต่คุณไปกับเพื่อนหลายคนแล้วเหมารถไปที่นี่กัน หรือคุณไปช่วงหน้า High season ซึ่งจะมีรถบัสไปส่งคุณถึงที่หมู่บ้านนี้โดยตรง แต่สำหรับเราแล้วไม่ตรงเงื่อนไขทั้งสองข้อ เพราะเราไปกัน 2 คน และไปช่วงที่ไม่ใช่ High season การเดินทางเลยมีสีสันจัดจ้านมากขึ้นเยอะค่ะ 

    ค้นหาไกด์

           เราทำการบ้านอ่านรีวิวกลุ่มคนไทยที่ไปมาพอสมควร และหลังๆคนที่ไปมาจะเจอปัญหาเรื่องของการดูแลของไกด์ที่ไม่ดี โน่นนี่ พอได้อ่านแล้ว เราคิดว่าน่าจะจัดการไม่ได้แน่ๆ เพราะภาษาจีนเราก็ไม่ได้ ด้านบนไม่มีสัญญาณอีก และถ้าต้องไปปีนเขาที่มีความเสี่ยงขนาดนั้นและเป็นการปีนเขาลูกแรกด้วยยิ่งจะแย่ถ้าเจอไกด์ไม่ดี เราเลยตัดสินใจหาไกด์เอง หาข้อมูลอยู่หลายเดือน ถ้าหาเป็นภาษาไทยไม่มีทางเจอแน่ๆ หาเป็นภาษาอังกฤษเลย เจอหลายเจ้าและติดต่อไปผ่านทาง We chat มีสองเจ้าที่ติดต่อกลับมา 

          เจ้าแรก: ให้เราไปคุยหน้างาน , คิดในใจ : (คำหยาบ ให้เดาเอาเองนะ) ฮ่า ซิมหายแล้ว แล้วกรูจะไปยังไงวะ เจ้จะไม่ให้คำปรึกษากับกรูหน่อยหรอ ฮ่าๆๆๆ , จบกัน.
          เจ้าที่สอง: ลุงแกมีความพยายามมากนะ ตอบกลับตลอด แต่ว่าอาจจะช้านิดหน่อย โฆษณาโน่นนี่ เอารูปบ้านให้ดูเอารูปที่ทีมแกนำขึ้นไปให้ดู แต่ที่โดนใจมากๆเลยคือ ลูกชายลุงไงคะคุณ ลุงแม่งส่งรูปลูกชายมาให้ดูด้วย คุณค่ะ เห็นแล้วแบบว่า ตกลงเลยค่ะลุง ลุงจะให้โอนมัดจำเท่าไรคะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่จริงๆนะ ยิ่งถ้าคุณได้ไปเจอตัวจริงนะ คุณคะ เขาหล่อมากจริงๆ และนี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เราอยากกลับไปอีกครั้ง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ จริงๆนะ อยากขอ We chat มาแต่เขินอ่ะ ไม่กล้าขอ อดเลยยยอ่ะ

    ลุงชื่อ Bao Xiujun Google แปลมาให้ว่าอย่างนี้นะ เราเรียกแกว่า ลุงเปา ลุงเป็นเจ้าของ Guest house ที่ชื่อว่า On the clouds inn of Haba ลุงใจป๋ามากนะ เมียแกก็น่ารัก ลูกชายก็หล่อมาก(เน้น) ก่อนจะตกลงที่จะจ้างแก เราได้บอกปัญหาให้ว่าคนที่เคยมาเจอไกด์ไม่ดีนะ และช่วยหาไกด์ที่ดีให้เราหน่อย ลุงแกก็รับประกันว่าไกด์แกดีจริงๆ เอาวะ ไปตายเอาดาบหน้าก็แล้วกัน ไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ดี ไปเสี่ยงดวงเอาละกัน เนี่ยหน้าตาหน้าบ้านลุง 

            พอโอนเงินมัดจำให้ลุงไปแล้วก็เหลือแค่เตรียมตัวไปกัน 

    สิ่งที่ควรรู้ไว้ก่อนไปฮาปา
    1.ผู้ชายจีน99.9999999% สูบบุหรี ไกด์ก็สูบ ขึ้นไปบนเขาหิมะ ก็ควักออกมาสูบ โอ้แม่เจ้า ปอดลุงทำจากอะไรวะ
    2.คนที่นั่นพูดอังกฤษไม่ได้เลย ไม่ได้เลยนะ ตอนอยู่ข้างล่างคุยกันผ่านวุ้นแปลภาษา บนเขาใช้ภาษามือ พอดีเล่นเกมสันทนาการมาบ้าง เลยสือสารกันรู้เรื่อง ฮ่าๆๆๆๆ
    3.ถ้าไม่ใช่ช่วง High season จะไม่มีรถบัสตรงไปที่นั่นเลย แต่ก็มีวิธีการไปอยู่นะ 
    4.คนในหมู่บ้านนั้นนับถือศาสนาอิสลาม แน่นอนว่าเขาจะไม่กินหมู 
    5.AMS Altitute mountain sickness ,มันคืออาการของการขาด Oxygen ให้จำไว้อย่างนี้เลยนะ, ยาที่ช่วยได้คือ Diamox วิธีการกินคือให้สะสมโดสตั้งแต่ก่อนที่เราจะขึ้นเขา ตามคำสั่งแพทย์ หรือถ้าใครรู้ หรือมีประสบการณ์ก็กินได้ตามที่คิดว่าถูก แต่เราไม่ได้กิน อิอิ ก็อย่างที่บอก เราเข้าใจเสมอว่ามันคือการขาด Oxygen เราก็กิน Oxygen เขาไปเยอะๆ ไง ซืึ่งก็คือน้ำ 
    6.จาก หมู่บ้านไปที่ Base camp จะต้องขี่ม้าขึ้นไป ก็ให้ระวังว่าจะเหมื่อยก้นนะ 
    7.บน Base camp หนาวมากๆ ตอนนอนให้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวมาเยอะๆ แต่ระวังจะหายใจไม่ออกนะ
    8.สภาพอากาศ บอกเลยว่าเว็บไซต์พยากรณ์บอกว่าฟ้าจะเปิด แต่เราไปฟ้าปิด ลมแรงมากๆ และไปต่อไม่ไหวจริงๆ 
    พกคาถาเปิดฟ้าไปด้วยก็ดีนะ ฮ่าๆๆ หรือพกตะไคร้ไปด้วย ไปปักเอาไว้เลย
    9.ไกด์ : ไกด์ที่เราเรียกันว่า ไกด์ พวกเขาทั้งหลายก็คือ คนที่สามารถนำเราขึ้นเขาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีใบรับรองว่าเขาเป็นไกด์ อารมณ์เหมือนเวลาเราไปขึ้นเขาที่บ้านเรา ที่จะมีชาวบ้านมานำทางขึ้นเขา ซึ่งชาวบ้านนั้นก็ไม่มีใบรับรองว่าเขาเป็นไกด์ได้ เขาแค่ชำนาญทาง และเคยขึ้นเขาลูกนี้เป็นพันๆครั้ง และรู้วิธีปฏิบัติในสถานการณ์ต่างๆ ดังนั้นเวลาเราไปให้เราเชื่อร่างกายตัวเองไว้ก่อน ถ้าไม่ไหวให้บอกไม่ไหว จะขึ้นหรือจะลงก็บอกเขาไปให้ชัดเจน
    10.คุณควรทำประกันการเดินทางไว้ด้วย

    แผนการเดินทางของเราคือ 
    ประเทศไทย >> คุนหมิง>>ลี่เจียง>>ฮาปา
    ซึ่งเราจะขอเริ่มเล่าการเดินทางตั้งแต่ลี่เจียงไปหมู่บ้านฮาปาแล้วกันเนาะ ถ้าเล่าที่อื่นด้วยมันจะยาวมากกกกก
    ขากลับก็กลับทางเดิมนะจ๊ะ 

     

    เตรียมอะไรไปขึ้นเขาบ้าง 

    1.อุปกรณ์กันหนาวที่มีทั้งหมด (แต่เอาไม่อยู่ ฮ่าๆๆๆๆ)
    เสืื้อเบส เสื้อยืด เสื้อฟรีส เสื้อดาวน์ เสื้อกันลม กางเกงลองจอน กางเกงHeattech กางเกงTrekking ถุงมือของ Columbia ถุงเท้าTNF 2 ชั้น ผ้าพันคอ หมวกอีก 2 ใบ
    2.ไฟฉายคาดหัว
    3.ถุงนอน -2C (เอาไม่อยู่)
    4.กล้อง DSLR (ไม่ได้ใช้ ไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปเลย)
    5.กล้อง Gopro (ถ่ายวีดีโอได้นิดเดียว)
    6.Iphone X (ถ่ายรูปมานิดหน่อย เอาไปทดสอบการทำงานในอุณหภูมิติดลบ ทำงานได้ดีเลย)
    7.อาหารสำเร็จรูป (เอาไปเผื่อ จริงๆก็กินกับข้าวที่เขาทำได้)
    8.อุปกรณ์ทำความสะอาด แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ทิชชูเปียก 
    9.ขวดที่เก็บน้ำร้อนได้
    10.แว่นกันแดด
    11.รองเท้ากันน้ำ (แบบหุ้มข้อ)

    คร่าวๆ 11 อย่าง แต่บอกเลยว่ามันไม่พอ โดยเฉพาะอุปกรณ์กันหนาว เราหนาวมากๆๆๆๆๆ ตัวแทบแข็ง คราวหน้าจะจัดไปให้เยอะกว่านี้ ที่พอใส่แล้วกลายเป็นตุ๊กตายางมิชลินเลย 

     

    • Posts-3
    Natthikan •  November 03 , 2019

    การเดินทางจาก ลี่เจียง ไป หมู่บ้านฮาปา

    เราปรึกษากับลุงเปาตลอดว่าจะเดินทางไปบ้านลุงด้วยวิธีอะไรบ้าง ซึ่งเท่าที่ลุงบอก และเท่าที่เราหาข้อมูลมา ก็มีอยู่ 2 วิธีคือ

    1.นั่งรถที่จะไปหมู่บ้าน Baishutai และลงที่หมู่บ้านฮาปา ซึ่งเราcheckในเว็บไซต์ของLijiang Passenger http://ynljjt.handtrip.com/ ก็ไม่มีรถไปที่นั่นในวันนั้น วิธีนี้เลยต้องตัดทิ้งไป แต่ถ้ามีรถไปได้แนะนำว่าให้นั่งรถบัสจากที่นี่ไปเลยนะคะ

    2.นั่งรถบัสไปลงที่จุดขายตั๋วที่จะไปตรอกเสือกระโจน ลงที่หมู่บ้าน Hutiaoxia เพื่อที่จะต่อรถมินิแวนไปที่หมู่บ้าน แต่ว่าแนะนำว่าให้ติดต่อคนขับรถมินิแวนไว้ก่อนว่าเราจะไปวันนี้ๆนะ เพราะว่าเราไปแล้วเจอปัญหาว่าไม่มีมินิแวนไปที่หมู่บ้านในวันนั้น แต่โชคดีที่ลุงเปาแกช่วยติดต่อให้ ขากลับเราเลยขอ We chat ลุงขับมินิแวนไว้ 

    23 ตุลาคม 2652

    วันแรกที่เท้าของเราได้เข้าไปเหยียบแผ่นดินลี่เจียง ที่มีความสูง 2300 เมตร จากระดับน้ำทะเล เราก็มุ่งหน้าไปที่ Lijiang passenger transportation terminal (เอาชื่อนี้ไป search ใน google ได้ รับรองว่าเจอ) ก่อนที่จะเข้าโรงแรมซะอีก เพื่อที่จะไปซ์ื้อตั๋วรถไปที่ฮาปา ด้วยมีความหวังเล็กๆว่า ถึงหน้าเว็บไซต์ไม่มี หน้างานน่าจะมี แต่พอไปถามพนักงานที่ใส่สายสะพายสีแดงเหมือนนางสาวไทย ซึ่งนางพูดอังกฤษได้นิดหน่อย ก็ปรากฏว่า ไม่มีรถบัสไปที่ฮาปาจ้า นางแนะนำว่าให้เรามาใหม่พรุ่งนี้ ซึ่งแผนการเดินทางของเราคือจะเดินทางพรุ่งนี้อยู่แล้ว แค่จะมาซื้อตั๋วไว้ก่อน

    ปล. ไม่ต้องกลัวเรื่องภาษานะ ใช้แอพแปลภาษานั่นแหละคุยกัน ก็เข้าใจ

    หน้าตาของ  Lijiang passenger transportation terminal 

    จากนั้นเราก็ไปเที่ยวเล่นในลี่เจียงเมืองเก่า เดินหลบเจ้าหน้าที่กันใหญ่ เพราะว่าเราไม่ได้จ่ายตังค์ค่าเข้า 50 หยวน ตลกมากๆอ่ะ สิ่งที่อยากจะแนะนำอีกอย่างคือ พี่จีนแกไม่ค่อยจะตรงปกเท่าไร โรงแรมที่เปิดจองใน Booking.com ภาพโรงแรมสวยมากๆๆ น่าอยู่มากๆ ฮ่าๆๆ ให้เราหักความน่าอยู่ออกสัก 30% ไปเลย บางที่ก็หัก 50%ไปเลย ฮ่าๆๆๆ 

    24 ตุลาคม 2562
    เราออกจากโรงแรมตั้งแต่ 7.00 เพื่อที่จะไปซื้อตั๋วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราต้องออกเดินทางกันจริงๆแล้ว ปรากฏว่าไม่มีรถบัสไปที่ฮาปาเหมือนเดิม ทำให้เราต้องนั่งรถบัสไปต่อรถที่ตรอกเสือกระโจน ช่วยไม่ได้ จัดไป 19 หยวน สมาชิกในรถมีลุงกับป้าคนจีน ป้าคนจีนอีก 2 คน และฝรั่งคู่รัก 1 คู่ ฝรั่งผู้ชายอีก 1 คู่ และไท่กั๋ว(แปลว่าคนไทย)เรากับพี่ปุ๋ยอีก 2 คน บรรยากาศระหว่างทางน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ พี่จีนเขากำลังสร้างสะพานแขวน จากเขาอีกลูกมายังอีกลูก อลังการมากๆ ดูด้วยตาปล่าวมันแข็งแรงมากๆนะ เส้นทางด้านขวามือจะเป็นแม่น้ำแยงซีเกียง วิวสวยมากๆ แต่ถ้ารอให้ถึงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีก่อนน่าจะสวยกว่านี้นะ ขับไปได้ไม่นานลุงคนขับรถก็จอดเข้าที่จุดพักรถ ที่นี่มีของขายเยอะนะ ส่วนใหญ่เป็นผลไม้ และที่เราอุดหนุนมาก็คือ มันนึ่งกับไข่ต้มชา (น่าจะมีชื่อเรียกต่างหากนะ) มันหวานมาก ไข่ไม่ได้กินเพราะอินดี้ฮ่าๆๆๆ แล้วก็นมจามรีอัดเม็ด รสชาติเหมือนนมอัดเม็ดจิตลดาบ้านเราเลย ฮ่าๆๆ

    ที่แปลกอย่างนึงคือ ลุงแกล้างรถด้วยอ่ะ คือระหว่างที่เราไปซื้อของ แกก็สั่งล้างรถอ่ะ แปลกดี เพื่อนเราบอกว่ามันอาจจะเป็นกฏหมายของที่นี่ คือพอมาถึงที่นี่แล้วก็บังคับให้ล้างรถอ่ะ ฮ่าๆๆ ใครรู้ความจริงโปรดชี้แนะนะ 

    ระหว่างทางเราก็ติดต่อลุงเปาว่า เรานั่งรถไปที่ตรอกเสือกระโจนแล้วนะ แล้วลุงแกก็ให้เราติดต่อคนขับรถมินิแวน (ลุงแกก็ไม่คิดเนาะว่าเราโทรออกไม่ได้) จากจุดพักรถไม่ไกล เราก็ถึงจุดขายตั๋วเข้าตรอกเสือกระโจน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่มันไวมากค่ะ พอเราลงจากรถ จะมีเจ้าหน้าที่ที่พูดอังกฤษได้ดีเลย เข้ามาแนะนำคนโน่นคนนี้ให้ซื้อตั๋วด้านในแล้วไปต่อที่โน่นที่นี่ ซึ่งเคสของไท่กั๋วอย่างเรามันพิเศษมากๆ ลุงคนขับรถก็มีน้ำใจช่วยมาติดต่อให้ ซึ่งเราก็บอกว่าเราจะไปฮาปา ช่วยโทรไปหาคนขับรถมินิแวนให้หน่อยว่าเรามาต่อรถที่นี่ ลุงแกก็โทรให้ แต่ปรากฏว่าไม่มีรถจ้าาาา โอ้ยทำไงดี ลุงเลยเสนอว่าเด่วจะขับไปส่ง แต่คิด 200 หยวน แม่เจ้าแพงมากจ้า เราเลยปฏิเสธไป แต่เจ้าหน้าที่แนะนำว่า เราควรไปที่ upper gorge ก่อนซึ่งมันจะใกล้กับ Tina's guesthouse แค่ไม่กี่กิโล และใกล้ Haba เข้าไปอีกนิดนึง เป็นความคิดที่เข้าท่าดี แต่ว่าต้องซื้อตั๋วเข้าตรอกเสือกระโจนก่อนคนละ  45 หยวน โอเคร ราคานี้ค่อยรับได้หน่อย อ่ะ เรารีบวิ่งไปซื้อตั๋วใน ออฟฟิต เพราะทุกคนบนรถกำลังรอไท่กั๋วสองคนนี้อยู่ฮ่าๆๆๆ จังหวะนั้นเครียดนิดนึงนะ แต่พอมาคิดย้อนหลังก็ตลกดี หน้าตาตั๋วจะประมาณนี้นะ ตั๋วจะโดนฉีกไปเซียวนึง หมายถึงว่าเราเข้าไปที่นั่นแล้ว คือจะไม่ได้เงินคืนแล้วนะ 

    ขณะที่ล้อหมุน เราก็We chat หาลุงเปา และบอกสถานการณ์ให้แกรับรู้ แกเลยบอกว่างั้นถ้าเราถึงที่ upper gorge แล้วให้เราส่ง Location ไปให้ แล้วเด๋วลุงมินิแวนจะไปรับนะ เราก็โอเครเลยค่ะ

           ลุงขับรถขับไปอีกนิดนึงก็จอดให้เรา 1 ชม.เพื่อที่จะเข้าไปเดินในจุดชมวิวตรอกเสือกระโดน จุดนี้ความสูง 2xxx เมตร เรายังสบายมากๆที่ระดับความสูงนี้ และต้องบอกเลยว่าทีนี่ลมแรงมาก หนาวมากๆ เราใส่เสื้อกันหนาวแทบไม่ทัน ไหนๆก็เสียตังค์แล้ว ไปหน่อย เหมือนเป็นการซ้อมเดินขึ้นเขาไปในตัว พี่จีนเขาทำเส้นทางไว้ให้เราเดินแล้ว รับรองว่าไม่หลง ดูแล้วไม่น่าเหนื่อย แต่ถ้าอยากใช้บริการสะเหรียงก็จอดรอเราอยู่หน้าทางลงแล้ว ราคากี่บาทอันนี้ไม่ทราบจ้าา  มันเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจตรงกระแสน้ำที่แรงมากๆ และมีก้อนหินก้อนใหญ่ขวางอยู่กลางแม่น้ำ บวกกับตำนานที่ว่ามีคนเห็นเสือกระโดดข้ามจากฝั่งทางโน่นมาฝั่งทางนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงมั้ย ถ้าจริงเสือตัวนั้นคงจะตัวใหญ่มากๆแน่ๆ เพราะว่าความกว้างของแม่น้ำมันกว้างมากๆนะ แต่เรื่องที่น่าจะเชื่่อได้แน่ๆเลยก็คือ เส้นทางที่ใช้ขนชาไปขายที่ทิเบตในสมัยก่อน ซึ่งยังเหลือร่องรอยเอาไว้ให้เราได้ดูกัน มันน่าเหลือเชื่อมากๆที่เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางคนเดิน เดินตัวป่าวยังถือว่าแคบแล้ว ไหนจะต้องแบกชาอีกหอบใหญ่ไปอีก ไหนจะลมแรงตามช่องเขาอีก คนสมัยก่อนคงต้องแข็งแรงและเก่งมากจริงๆ ถึงจะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย เดินเล่นถ่ายรูปถ่ายวีดีโออยู่นาน ลืมเผื่อเวลาเดินขึ้น OMG!! ช่วยด้วย เดินขึ้นมันเหนื่อยมากๆนะ เดินไปหอบไป หยุดพักอยู่หลายรอบโอ้วโน่ววว ไปถึงด้านบนก็เหลือไท่กั๋วสองคนนี้แหละที่ให้รอ ตลอด เมื่อทุกคนพร้อม ก็ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายปลายทางของรถคันนี้คือ Upper gorge

    ลุงก็ขับไปได้ไม่นานก็ถึง เราลงจากรถ แล้วก็เจอเข้ากับร้านอาหารร้านนึง ลุงขับรถแกก็พาฝรั่งผุ้ชายสองคนไปแนะนำเส้นทางที่จะเดินไปดูอะไรสักอย่างต่อ ซึ่งเราก็เดินตามไปแล้วก็ถามลุงว่าที่นี่คือ Upper gorge ใช่มั้ย ฝรั่งเขาพูดจีนได้นิดหน่อย เลยช่วยถามให้ สรุปว่าที่นี่ไม่ใช่ Upper gorge แต่เป็น Middle gorge เอ้า งั้นแสดงว่าเราต้องไปต่อสินะ แล้วลุงแกก็เดินลงไปส่งฝรั่งสองคนนั้น แล้วแกก็กลับขึ้นมา 

    พอแกมาถึงแกก็บอกให้เราไปสั่งข้าวมากิน แกทำท่าตักอาหารเข้าปาก แล้วก็ชี้เข้าไปในร้านอาหาร เอาวะ กินก็กิน ข้าวเช้าไม่ได้กินมาแล้วนี่ก็เลยเที่ยงมาแล้วด้วย ซึ่งพอเราเดินเข้าไปเราไม่รู้ว่าจะต้องสั่งยังไง เลยถามหาเมนู แต่ลุงก็ชี้เข้าไปข้างในห้องครัว เราเลยเดินเข้าไป ไปเจอแม่ครัว แม่ครัวก็ชี้ๆว่าเอานี้มั้ย เอาผักอันนี้หรือป่าว เอาเนื้ออะไร สรุปวิธีการคืออยากกินอะไรก็ชี้เอาเลย เด๋วเจ้แกผัดให้ เราชี้เสร็จ เราก็ออกมารอ แค่นี้ง่ายจะตาย แต่แค่ไม่รู้ว่าออกมามันจะเป็นยังไงเท่านั้นเอง รอลุ้นเอา ฮ่าๆๆๆๆ 

    ตอนนี้แหละที่เราดูเหมือนว่าจะโดนหลอก พอเราออกมาจากห้องครัวหลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้วลุงคนขับรถบัสแกก็รออยู่แล้ว แล้วก็มีลุงอีกคนนั่งอยู่ด้วย แกบอกว่าเด๋วจะมีคนมารับที่นี่นะ รับไปหมู่บ้านฮาปา ซึ่งข้อมูลก็ตรงกับที่ลุงเปาบอก แล้วระหว่างที่คุยกันอยู่ก็มีผุ้ชายคนจีนอีก 3 คนเข้ามาบอกว่าเดี๋ยวช่วยคุย แต่ก็พูดอังกฤษไม่ได้ ฮ๋าๆๆ ไม่ค่อยได้ช่วยเท่าไร บทสนทนาของไท่กั๋วสองคนนี้ กับผู้ชาย 5 คนเสียงดังมากจนต้องหันมามองกันทั้งร้าน สรุปคือลุงรถบัสจะเอา 50 หยวนเป็นค่าขับรถจากจุดขายตั๋วมาถึงที่นี่ และลุงอีกคนนึงที่บอกว่าจะมีรถมารับบอกว่าค่ารถจากที่นี่ไปหมู่บ้านคนละ 40 หยวน ซึ่งเราให้แกคุยกับลุงเปาผ่านทาง We chat ด้วย แล้วลุงเปาก็บอกเราว่าอย่างนั้น กว่าเราจะเข้าใจว่า ลุงรถบัสต้องการ 50 หยวน ก็คุยกันเสียงดังพักใหญ่ จนอาหารมาแล้วก็ยังคุยไม่เสร็จ 

            จริงๆแล้วเราไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องจ่าย 50 หยวน แต่ตอนนั้นก็จ่ายไปแล้ว ทั้งๆที่สมาชิกในรถบัสคนอื่นๆก็ไม่เห็นจะต้องจ่ายเลย แล้วนี่ก็เป็นการจ่ายเงินให้โดยตรงกับลุงรถบัส ซึ่งรถบัสนี้เรานั่งจากสถานีรถบัสในลี่เจียง ก็จ่ายเงินที่สถานนีรถบัสไปแล้ว ซื้อตั๋วเข้าตรอกเสือกระโจนก็จ่ายเงินกับเจ้าหน้าที่แล้ว ไม่เข้าใจเท่าไร ยิ่งมาทบทวนทีหลังยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่เลย ฮ่าๆ แต่ก็ช่างมัน เราจ่ายไปแล้ว เราปลอดภัยดี แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยว่าทำไมคนอื่นที่เคยเขามาไม่เห็นมาเล่าเรื่องนี้ให้เรารู้ล่วงหน้าก่อนเลย โถ่ววว คนอื่นเขาเดินทางกันสวยๆ ไท่กั๋วสองคนนี้สภาพคือแบบเร่ร่อนมากกกกก  ก็ขอให้การเดินทางผิดๆถูกๆของเราในครั้งนี้เป็นบทเรียนให้กับคนที่อยากไป(เอง)ในครั้งถัดไปนะคะ อย่าให้ถูกหลอกได้อีก 

            หลังจากกินข้าวเสร็จก็ต้องรอ เพราะรถจะมารับตอน 3.30 (บ่ายสามครึ่ง) ซึ่งเหลือเวลาอีกตั้ง 1.30 ชม. ทำอะไรดีล่ะ ก็ถ่ายรูปไง แล้วก็ได้พูดคุยกับผุ้หญิงชื่อ (พี่) ปุ๋ย ที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน แต่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน ผจญภัยด้วยกัน เข้ากันได้ดีเลย(เรารู้สึกอย่างนั้นนะ) ประวัติการเดินทางของผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดานะ โชกโชนมาก เราโชคดีมากๆที่ได้ร่วมเดินทางกับพี่ปุ๋ย และบางครั้งก็พี่ปุ๋ยนี่แหละที่เป็นตากล้องให้ ต้องยอมรับว่ากล้องโทรศัพท์พัฒนาไปไกลมากๆ จริงๆ อย่างรูปนี้ก็ถ่ายโดยกล้องโทรศัพท์ ป้าๆ คนจีนที่นั่งรถมากับเราเห็นเราไปยืนแบบนี้แกก็ตกใจ ร้อง "หู้!!!" กันใหญ่เลย แกกลัวเราตก ฮ่าๆๆๆๆๆ แต่แกก็อยากถ่ายบ้างนะ เอาบ้าง ไปยืนแบบเราบ้าง แต่ไม่ได้ยืนริมมากๆเหมือนเรา ฮ่าๆๆ จริงๆคนจีนเป็นคนตลก 

    เรานั่งสูดอากาศตรงนี้ได้พักใหญ่ เราหนาว เราเลยเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร ปรากฏว่าร้านเขาปิดแล้ว รอแค่เราเอากระเป๋าที่ฝากไว้ออกจากร้านแค่นั้นเอง บรรยากาศตอนนั้นวังเวงมากๆ เหลือเราสองคน สมาชิกคนอื่นกลับไปลี่เจียงกันหมดแล้ว ยิ่งวังเวงยิ่งหนาว แล้วฝนก็ลงเม็ดนิดๆ

    ในที่สุดรถก็มาสักที เห้อ...เป็นรถมินิแวน นั่งแบบสบายๆได้ 7 คน แต่ครั้งนี้เขารับมาแล้ว 6 คน มารับเราอีก 2 คนซึ่งจะต้องไปให้ได้ ก็เป็น 8 คน ไม่รู้ว่าผิดกฏหมายหรือป่าว แต่ก็รอดมาได้สบายๆ ก่อนออกเดินทางพี่ปุ๋ยปวดฉี่มากๆ เลยรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ พอพี่ปุ๋ยเดินกลับมา นางพูดมาประโยคนึ่ง ประโยคสั้นๆนี้ทำเราใจสั่นเลย นางบอกว่า "พี่มาถึงประเทศจีนแล้วแหละ" เห้ยยยย ห้องน้ำที่นางไปมามันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ไม่นะ!!!! เรากำลังปวดฉี่เลย แต่ฮึบไว้ก่อน เราทนได้

    ล้อหมุนสักที เราดีใจมาก เส้นทางก็ด้านขวาเป็นเหวไงจ๊ะ บางช่วงมีกองหิน-กองดินที่ถล่มลงมาก่อนหน้านี้ด้วย บางช่วงถนนก็แตก โอ้ยน่ากลัวเชียว แต่ก็เราไม่ได้โชคร้ายขนาดที่ว่ามีดินถล่มมาทับนะ รอดมาได้แบบชิลๆเลย เส้นทางเรียบ ลัดเลาะ ไปตามภูเขา วิวสวยมากๆ แล้วจู่ๆ รถก็จอด จอดเติมน้ำมัน แหม่เป็นปั๊มน้ำมันที่วิวสวยที่สุดเลย อยู่ท่ามกลางหุบเขา แต่รู้ไหมว่า เรากั้นฉี่ไม่ไหวล่ะ เอาวะ อย่างน้อยห้องน้ำก็แบ่งชายหญิง พอเข้าไปเท่านั้นแหละ อย่างที่เขาล่ำลือกันเลยว่าห้องน้ำที่ประเทศนี้มันสุดมากๆ พอดีว่าในรถที่นั่งมามีสาวจีนนั่งมาด้วย นางก็จะเข้าห้องน้ำเหมือนกัน เราเลยให้นางเข้าก่อน คือไม่อยากเข้าไปพร้อมกัน แล้วนั่งมองหน้ากันไรงี้อ่ะ พอนางออกมาแล้วเราเข้าไป คุณค่ะแหม่ โล่งมากค่ะ มันมีรางน้ำอยู่รางนึงค่ะ แล้วก็มีที่กั้นอยู่อันนึงค่ะ แล้วก็ให้เราจัดการธุระกันโล่งโจ้งอย่างนั้นเลยค่ะ ลมมันเย็นมากค่ะ ฮ่าๆๆๆ คือทุกคนที่เข้ามาจะมาทำธุระที่รางนี้ ไม่ว่าจะหนักหรือเบาก็ตามก็จะลงที่รางนี้ค่ะ กลิ่นไม่ต้องพูดถึงน่ะ แค่นึกภาพกลิ่นก็มาเลยค่ะ ถ้าใครอยากได้ภาพด้านในทักเรามานะ เราถ่ายเก็บไว้อยู่ ไม่มีวันที่จะทิ้งงงงง!!!!

    หลังจากที่เราฉี่เรียบแล้ว เราก็เดินออกไปบอกพี่ปุ๋ยว่า "ุนุ้ยก็มาถึงประเทศจีนแล้วค่ะ" ฮ่าๆๆๆๆ แต่ที่พีคไปกว่านั้นคือ ตอนที่พี่ปุ๋ยไปเข้าห้องน้ำ นางเข้าห้องน้ำชาย นางเข้าผิดจร้าาาา ซึ่งป้ายมันเป็นภาษาจีน ไท่กั๋วอย่างเรารึจะอ่านออก นางบอกว่าดีนะที่ไม่มีใครเข้ามา ฮ่าๆๆๆๆ ธรรมดาที่ไหนล่ะผู้หญิงคนนี้ ฮาได้ทุกที่จริงๆ

    ในที่สุดก็มาถึงบ้านลุงซักที ฝนตกปอยๆ ไม่หนักแต่เปียก ลุงรีบออกมารับเรา แล้วก็พาเราไปที่ห้องพัก ห้องใหญ่โตเชียว ในห้องมี 4 เตียง ลุงบอกว่ายกห้องนี้ให้เราเลย มันดีมากสำหรับเราที่ชอบเอาของทุกอย่างออกมาแล้วก็จัดเข้าไปใหม่ทุกวัน ฮ๋าๆๆๆ แต่ก่อนที่จะพักผ่อน ลุงบอกว่าให้เอาของที่เราเตรียมมาออกมาให้แกดู พวกเสื้อกันหนาว อุปกรณ์กันหนาว ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อกันลม กันฝน หมวกต่างๆ แกตรวจหมดอ่ะ แล้วแกก็จะบอกว่าพอหรือไม่พอ พี่ปุ๋ยขาดแว่นตากันแดด กับSnow cover แกมีให้เช่าในราคา 80หยวน ส่วนเราขาดถุงมือ Snow cover และแว่นตากันแดด ของเราจัดไป 100 หยวน ส่วนตัวคิดว่าคุ้มนะ เพราะถ้าไปซื้อเองก็หลายพันบาทอยู่เหมือนกัน 

    ห้องพักแกน่านอนมากๆ ที่นอนนุ่มแถมมีแผ่น Heater ด้วย สะอาด ห้องน้ำก็มีน้ำร้อนให้ เสียดายเวลาเดินในห้องจะเสียงดังไปหน่อย เพราะเป็นบ้านไม้ เราดีใจมากที่บ้านลุงตรงปก เพราะตั้งแต่มาที่ประเทศจีนไม่มีอะไรตรงปกเลย

    พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปกินข้าวเย็นที่ห้องครัวแกกัน ในห้องครัวแกอุ่นมาก เพราะมีเตาผิงไฟ ทำเอาเราอยากย้ายที่นอนมานอนในครัวเลยอ่ะ ป้าเปา เมียลุงเปา แกใจดีมากๆ อาหารป้าแกก็ทำเอง อาหารก็อร่อยตามสไตล์จีนๆ คือมันๆ นัวๆ หน่อย มื้อนี้กินต้มปลากัน ถ้าเปรี้ยวอีกหน่อยก็จะเป็นต้มยำปลาบ้านเรา ส่วนวัตถุดิบเราถามลุงว่าเอามาจากไหน ลุงบอกลุงไปจับปลามาจากภูเขา ฮ่ะๆๆๆ อะไรนะ กินปลาภูเขาเลยนะเรา มื้อนี้เรากินร่วมกันกับลุงเปา แล้วก็ป้าเปา แล้วก็แขกอีกคน ดูเป็น Guesthouse มากๆอ่ะ เหมือนมาพักบ้านญาติเลย

    ขอบคุณรูปจากพี่ปุ๋ยนะคะ ^_/\_^

    หลังจากกินข้าวเรียบร้อยแล้ว เราพูดคุยกันนิดหน่อยเกี่ยวกับประเทศไทย ตอนแรกลุงคิดว่าพวกเราเป็นคนเกาหลี ฮ่าๆๆๆๆๆ หน้าเหมือนเกาหลีมั้ยล่ะจ๊ะ แต่พอบอกว่าเป็นไท่กั๋วเท่านั้นแหละ รีบเปลี่ยนฟังก์ชันในแอฟให้เป็นภาษาไทยเลย ฮ่าๆๆ ตลกดี ลุงบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วก็ทำตัวชิลๆนะ ลุงป๋ามากๆอ่ะ สายเปย์เลยคนนี้ น่ารักมาก ลุงแกไม่เคยเห็นทะเล อยากไปเที่ยวทะเลที่ประเทศไทย ได้ทีพวกเราก็ขายของบ้าง อวยว่าประเทศไทยสวยอย่างงั้นอย่างงี้ ถ้าลุงไปจะชวนลุงไปนอนบ้านพี่ปุ๋ยที่ติดทะเลด้วย 

    คุยกันได้พักใหญ่เราก็ต้องไปเข้านอนล่ะ นอนเอาแรง พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางต่ออีกไกล 

    ปล. ที่หมู่บ้านฮาปา ความสูงที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ 2700 เรายังชิลๆอยู่ที่ความสูงนี้ ไม่เหนื่อย กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายอบอุ่นดี 

    ปล.2 สรุปการเดินทางไปหมู่บ้านฮาปา ที่ควรจะเป็นในช่วงที่ไม่มีรถบัสไปถึงโดยตรง คือ ให้นั่งรถบัสไปที่ตรอกเสือกระโจน แล้วต่อรถมินิแวนที่หมู่บ้าน Hutiaoxia โดยต้องนัดล่วงหน้าก่อน เราขอเบอร์ We chat ไว้แล้วถ้าใครสนใจทักเรามาผ่านเพจได้นะจ๊ะ  

    • Posts-4
    Natthikan •  November 03 , 2019

    Base camp

    25 ตุลาคม 2562 เราตื่นขึ้นมาด้วยความหวังเล็กว่า ฟ้าจะเปิด 

    เราตื่นกันเวลาประมาณ 7 โมง เพราะนัดกับอาหารเช้าไว้ตอน 8.30 ฮ๋าๆๆๆ เรื่องกินเรื่องใหญ่ จริงๆคือลุงแกนัดไว้ว่า 9.30  ออกเดินทางนะ , 8.30 ลงมากินข้าวกันนะ จัดไปค่ะลุง มื้อเช้าเป็นNoodle ป้าแกทำเอง จริงๆมันก็คือราเมงในแบบฉบับของประเทศจีน ถึงเรื่องกินจะเรื่องใหญ่สำหรับเรา แต่ป้าแกให้มาเยอะ กินไม่หมดจ้า ถ้าเป็นมาม่าบ้านเรานะ ไม่เหลือ...ขนาดพอเหมาะกับคนไทย และรสชาติแซ๊บกว่าเยอะ

    หลังจากกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เก็บของออกเดินทางกัน พอออกไปหน้าบ้าน ก็เห็นลุงอีกคนนึงมาเก็บของ เราขอเรียกว่าลุงไกด์ละกัน แกก็เอาของของเราใส่กระสอบรวมถึงอาหารด้วย มองไปหน้าบ้านลุงเห็นม้า 2 ตัวมารอแล้วววว เย่!!! จะได้ขี่ม้าแล้ว นี่เป็นการขี่ม้าครั้งแรกของเราเลยนะ แถมครั้งนี้Advance เข้าไปอีก เพราะเป็นการขี่ม้าขึ้นเขา!!! แต่อ่าวววว ลุงไม่ให้ขึ้นอ่ะ เห้ยลุง หลอกกันป่าวเนี่ย เรากับพี่ปุ๋ยก็ทำหน้างงๆ มองหน้าลุงแบบงงๆ ลุงแกเลยชี้ไปทางโน้นนน ทางที่เรากำลังจะไป พวกเราก็เข้าใจเอาเองว่า อ๋ออ เดี๋ยวให้ไปขึ้นตรงโน้นนนนมั้ง ลุงเปาแจกหมวกกันกระแทกให้พวกเราคนละใบ แล้วก็โบกมือบ้ายบายลุงเปา แล้วก็เดินตามลุงไกด์ไปเรื่อยๆ 

    ถนนหนทางในหมู่บ้านลาดปูนแล้วนะ ก็ไม่ได้กันดารอะไรขนาดนั้น ไฟฟ้าเข้าถึง แถมที่บ้านลุงเปาก็มี Wifi ให้เล่นฟรีด้วย แต่เราต่อไปก็เท่านั้นแหละ Wifi บ้านลุงเล่น Facebook ไม่ด้ายยย 

    ระหว่างทางเรายังมีสัญาณเน็ตอยู่ ก็ถ่ายรูปแล้วโพสขอกำลังใจจากแฟนคลับหน่อย(มีซะที่ไหนล่ะ 555) ส่วนพี่ปุ๋ยก็บอกทางบ้านว่ากำลังจะขึ้นเขา บนเขาจะไม่มีสัญญาณนะ ส่วนลุงก็ทักป้าๆ ที่เดินผ่านไปมาแถวนั้น แหม่ อารมณ์เหมือนบ้านเราเลย เราเป็นคนบ้านนอก เวลาจะออกไปทุ่งนา เจอใครก็ทักทายกันตามปะสา เห็นแล้วก็อยากให้บ้านเรากับบ้านนี้เป็นบ้านเดียวกัน อิอิอิอิอิ 

    Cr.รูปภาพจากพี่ปุ๋ย

    แล้วทางชันก็มาถึง โอ้ย เหนื่อยมาก จากหมู่บ้านเดินจนมาถึงจุดที่เป็นทางขึ้นเขาความสูงน่าจะไม่ต่างกันมาก 2700 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทำเอามนุษย์ระดับ 0 เมตรอย่างเรา เหนื่อยมากๆ เราหายใจแรง แล้วก็หัวใจเต้นแรง นี่ถ้าลุงไกด์ไม่ให้ขึ้นม้า เราคงได้นอนกลางทางแน่ๆ 

    ส่วนลุงไกด์แกก็เดินไวม๊ากกกก ชิลมาก ระหว่างทางมีการเอาบุหรี่ออกมาสูบด้วย ปอดลุงทำด้วยอะไร ในระหว่างที่ลุงไกด์เดินชิลแล้วก็สูบบุหรี่อยู่นั้น ตัดภาพมาเรากับพี่ปุ๋ย เดินหอบเลยจ้าาา แถมเมาบุหรี่ด้วย โอ่ยยยย จะเป็นลม ทางก็ไม่รู้จะชันไปถึงไหน ทำเป็นทางลาดบ้างไม่ได้หรอ เหนื่อยแล้วนะ 

    และแล้วก็ถึงเวลาขี่ม้าสักที ลุงไกด์หาที่เหมาะๆให้เราปีนขึ้นม้าได้ อย่างที่บอก มันเป็นการขี่ม้าของเราครั้งแรก ตื่นเต้นมากอ่ะ ขึ้นขี่ม้าต้องทำไงวะ แล้วถ้าม้ามันดื้ออ่ะ เราจะปลอดภัยมั้ยอ่ะ ในหัวคิดไปต่างๆนาๆ ลุงไกด์บอกให้เหยียบที่ที่พักเท้าข้างนึง แล้วโหนอานม้า ดึงตัวเองขึ้นหลังม้า แล้วลุงก็ช่วยดันก้น (แกไม่ได้จับก้นนะ แกจับขา) ถ้าได้ถ่ายวีดีโอมาท่ามันจะตลกมากๆอ่ะ ฮ่าๆๆๆ ลุงไกด์บอกว่าให้เอียงตัวไปข้างหน้านะ ไม่ใช่เอนไปข้างหลัง จะทำให้ไม่ตกม้า 

    พอขึ้นไปบนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว ม้าคงแบบหนักอ่ะ เราล่ะสงสารม้ามาก ฮ่าๆๆ แต่ก็สงสารตัวเองมากกว่า เพราะม้าเขากล้ามเนื้อแน่น แล้วก็ปอดใหญ่ แข็งแรง พักแปปเดียวก็หายเหนื่อย แถมไม่เป็น AMS ด้วย ส่วนเราอ้วน แค่นี้จบเนาะ สัญญาว่าครั้งหน้าจะทำตัวให้เบาลงนะ

    ม้าของลุงไกด์เชื่องมากนะ จูงให้ขึ้นก็ขึ้น เดินตามทางแป๊ะๆ แต่หยุดพักบ่อย ม้าตัวที่พี่ปุ๋ยนั่ง นางจะเดินนำหน้า ส่วนเราตามหลัง นางก็จะหยุดบ่อยยย หยุดกินหญ้าบ้าง อึ๊บ้าง ฉี่บ้าง ตดบ้าง ตอนอึ๊เนี่ย เราพอรับได้นะ เพราะมันเป็นก้อนแล้วก็ตกลงพื้นไง แต่ตอนนางตดคือแบบ นางจะยกหาขึ้นนิดนึง แล้วก็ตดปู๊ดดดดดดด โอ้ยยยคุณพระ โดนเราเต็มๆเลยจ้าาา ฮ่าๆๆๆๆ ตอนแรกๆไม่ทันรู้ตัวว่านางจะตด หลังๆพอนางยกหางปุ๊ป เรารีบเอาผ้าบัฟขึ้นมาปิดก่อนเลย ฮ่าๆๆ ฉันรู้ทันเธอนะ 

    เดินขึ้นมาเรื่อยๆ ลุงก็จอดให้พักที่ลานกว้างๆๆๆๆๆๆๆ กว้างมากๆ ตอนนั้นคือหมอกลงเยอะมากๆ ไม่เห็นวิวอะไรทั้งนั้น เราลงจากม้า พอเท้าแตะพื้นเท่านั้นแหละ อ๋ออออ ไอ่ที่บอกว่านั่งม้าแล้วจะเมื้อย ก็เข้าใจวันนี้แหละ ฮ๋าๆๆๆ คุณคะ มันแบบเมื่อยตรงหว่างขาอ่ะค่ะ มันเดินไม่เป็นท่าเลยค่ะ ต้องยืนสักพักนึงอ่ะ ถึงจะเดินได้ท่าปกติ ฮ่าๆๆๆๆ ตลกตัวเองมากๆๆอ่ะ 

    ที่ลานกว้างๆนี้ เต็มไปด้วยยย "จามรี" โหยยมันอยู่กันเพียบเลยย น่าจะมีคนพามากินหญ้าบนภูเขานี้ มันมีลักษณะเหมือนควายบ้านเรา แต่ว่าขนยาวมากๆ รุงรังเป็นตังเมเลย ภาพลักษณ์ภายนอก เหมือนจะดุร้าย พร้อมจะวิ่งเข้าใส่คนตลอดเวลาเหมือนบ้านเรา แต่ความจริงคือ พอเราเดินเข้าไปหามันใกล้ๆ เพื่อจะถ่ายรูปมันจะเดินหนีเรา ฮ่าๆๆๆๆ ในใจคงคิดว่า "อย่ามายุ่งกะกรูนะ" เราก็พยายามมากๆ อยากได้รูปอ่ะเนาะ แถมหมอกก็เยอะ ก็เขยิ๊บเข้าไปใกล้ มันก็เดินหนี เลยได้ภาพแบบนี้มา เสียใจนิดนึงงงง

    ระหว่างที่เราถ่ายรูปกันอย่างมัวๆ เพราะหมอกเยอะมาก ฟ้าไม่เปิดเลย เราก็เหลือบเห็นจามรีน้อยกำลังวิ่งตรงมาทางเรา นางวิ่งเร็ว วิ่งได้น่ารักมากๆ แต่พอเราหันหน้าไปหานางตรงๆ นางเบรกหัวถิ่มเลยจ้าาา ฮ่าๆๆๆ น่ารักมาก เห็นได้ชัดว่า จามรีเป็นสัตว์รักสงบ ไม่อยากยุ่งกับคน ไม่ทำร้ายคน แต่ก็เป็นสัตว์ที่แอบติดตลกเหมือนกัน จามรีน้อยหัวถิ่มเลย

    ลุงไกด์บอกให้เราเดินขึ้นไปอีกหน่อย ระหว่างที่เดิน เราก็คุยกับพี่ปุ๋ยเรื่องการขี่ม้า กล้วม้าจะดื้อ ทำเราตกบ้าง กลัวม้าเหนื่อยบ้าง สงสารม้าบ้าง บลา บลา บลา พี่ปุ๋ยบอกว่า "พี่คุยกับพี่พลอยแล้ว พี่พลอยบอกว่าไม่เป็นไร พี่พลอยพามาเที่ยวบ้านเขา เดี๋ยวพี่พลอยจะพาเราเที่ยวเอง " เราก็เห้ยพี่พลอยไหนวะ เรามากันสองคน พี่ไปคุยกะใครตอนไหนวะ พี่ปุ๋ยนางเลยเฉลยว่า ม้าของพี่ชื่อพี่พลอย เราคุยกันแล้ว เดี๋ยวพี่พลอยจะพาเราเที่ยววว พอได้ยินอย่างนั้น เราถึงขั้นเอ๋ยปากเลยว่า "ไม่ธรรมดาจริงๆ ผู้หญิงคนนี้" "พี่พลอยอ่ะหรอ"พี่ปุ๋ยถามแบบได้จังหวะตบมุกมากๆ แน่นอนเราก็ต้องตอบว่า "ก็พี่ไง" ฮ่าๆๆๆๆๆ โอ้ยยย ช่างมีจิตนาการล้ำเลิศมากค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ เราคงต้องคุยกับม้าเราบ้างล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

    เดินไปได้ซักพักลุงก็ให้ขึ้นหลังม้าอีกครั้ง พี่พลอยนางก็ไม่ค่อยอยากจะเดินเท่าไร ลุงไกด์จัดการให้พี่พลอยเดินเองเลย ไม่จูงแล้ว มาจูงม้าเราแทน ฮ่าๆๆๆๆ พี่ปุ๋ยทำหน้าตกใจมากอ่ะ เป็นไงล่ะ ได้คุยกับพี่พลอยสองต่อสองเลยทีนี้ ฮ๋าๆๆๆ

    ทางต่อจากนี้เป็นทางที่ชันมากดิ่งขึ้นเขาเลย เส้นทางเป็นหลุมลึกมาก บางหลุมมีน้ำขังด้วย เป็นทางสำหรับม้าเดินว่ากันง่ายๆ ม้าเดินได้ คนเดินลำบากหน่อย พี่พลอยเดินบ้าง หยุดบ้าง ม้าเราก็หยุดตาม แล้วพี่ปุ๋ยก็มีการหันมาถามว่า ม้าเราชื่ออะไร คิดในใจ เห้ยยยมาแล้ว ถึงตาเราแล้วหรอ เอาจริงดิ ต้องคิดชื่อให้ม้าด้วยหรอเนี่ยย คิดไม่ทันเลยตอนนั้น ม้าพี่ปุ๋ยชื่อพลอย มาแนวหนังย้อนยุคไปสมัยเลิกทาส ดีนะ เราก็ดูละครมาบ้าง เลยตอบออกไปว่า "ท่านขุน" ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เลิศป่ะล่ะ  

    เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอกระท่อมหลังน้อยหลังหนึ่่ง ลุงไกด์ก็ให้พักอีกครั้ง ครั้งนี้ดูเป็นการพักกลางวันเพื่อกินข้าว ลุงให้เราเข้าไปในกระท่อมนั้น พอเดินเข้าไปก็เห็นเครื่องครัวต่างๆอยู่ทางขวามือ ทางซ้ายเป็นที่นั่ง แล้วก็มีกองไฟที่มอดแล้วอยู่ตรงกลาง ลุงแกก็จัดเตรียมของกินให้เราสองคน แล้วมีลุงอีกคนนึงที่เจอกันระหว่างทางก็เข้ามานั่งด้วย มาก่อไฟให้ ดูเหมือนว่าแกจะเป็นไกด์เหมือนกัน พูดคุยกันเหมือนสนิทกันมากๆ

    เราก็นั่งรอ ระหว่างรอเราก็กินน้ำ กินน้ำเยอะๆจะช่วยเติม O2 ให้กับร่างกาย แล้วจู่ๆ ก็มีคนเข้ามาในกระท่อมนี้อีก เข้ามาเรื่อยๆเลย เรากับพี่ปุ๋ยก็ขยับเข้ามาด้านในเรื่อยๆๆ  คนที่เข้ามาใหม่ เป็นผู้ชายชาวจีนทั้งหมดเลย สักพักลุงไกด์ก็กลับมาพร้อมกับฟืน ตอนนี้นับประชากรชาวจีนที่อยู่ในห้องได้ทั้งหมดก็ 9 คนถ้วน เป็นผุ้ชายทั้งหมด แล้วก็มีต่างด้าวอยู่ 2 คนคือเรากับพี่ปุ๋ย พวกนางเข้ามาปุ๊ปก็สูบบุหรีปั๊ปเลย มวนต่อมวนเลย ถ้าจะให้มองว่าน่ากลัวก็น่ากลัวนะ เพราะเขาเป็นผู้ชายทั้งหมดเลย และเราไม่รู้ภาษาของเขาด้วย แต่ว่าหลังจากที่ได้ทักทายแล้ว ก็ค้นพบว่า พวกเขาเป็นคนตลก 

    คนเสื้อส้มอ่ะ พูดไม่หยุดเลย พูดๆๆๆๆ อยู่นั่นแหละ แล้วก็เพื่อนๆในห้องก็ออกความคิดเห็นกันอย่างเมามัน ถึงที่นี่ไม่มีสัญญาณแล้ว จะใช้แอฟแปลภาษาก็ไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะถามว่าเราเป็นคนเกาหลีหรือป่าว เดาจากคำว่า ฮั๊งกั๋ว ที่แปลว่าคนเกาหลี พี่ปุ๋ยเลยตอบไปว่า ไท่กั๋ว เขาก็อ้ออออกันยกใหญ่ คนเสื้อส้มก็พูดขึ้นมาว่า สวัสดีคร๊าบบบ ขอบคุณคร๊าบบบบบ ฮ๋าๆๆๆๆ ตลกดีอ่ะ แล้วเพื่อนเขาอีกคนก็เอารูปสถานที่ประเทศไทยให้เราดูกัน มีวัดอรุณฯ วัดพระแก้วฯ เหมือนให้เล่นเกมทายชื่อสถานที่จากรูปภาพอ่ะ ฮ่าๆๆๆ แล้วก็คงนินทาเรากันอ่ะ เพราะได้ยินคำว่าไท่กั๋ว นอกนั้นฟังไม่ออกเลยจริงๆ ฮ๋าๆ 

    ด้วยความที่กินน้ำเยอะมาก เราก็ปวดฉี่ อยากไปห้องน้ำ ดีนะที่แคปหน้าจอคำว่าห้องน้ำที่แปลเป็นภาษาจีนไว้ หนึ่งในนั้นเขาก็ชี้ออกมาทางด้านหลังกระท่อม เราก็ออกมาพร้อมพี่ปุ๋ย พอเดินออกมา ไหนวะห้องน้ำอ่ะ ไม่เห็นมีเลย พี่ปุ๋ยแกเลยแปลต่อให้ว่า ตรงไหนก็ได้ ตามชอบเลย แถวนี้แหละ ฮ่าๆๆๆ เอาวะแบบนี้เราก็เคยทำที่ไทย เราเลยเดินออกไปไกลหน่อย แต่ว่าลักษณะพื้นที่คือเป็นต้นสน ต้นไม้ไม่ใหญ่เลย บังเราไม่มิดว่าง่ายๆ แล้วหญ้าที่พื้นก็ไม่สูงเหมือนป่าบ้านเรา ทีนี้เราก็เขินไง โชคดีที่หมอกลงหนามากๆ เลยตัดสินใจจัดการปลดปล่อยในทำเลที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว อยากจะบอกว่ามันเย็นมากค่ะ ฮ่าๆๆๆ อากาศก็เย็น หมอกก็เย็น มีลมด้วยอ่อนๆ เย็นแค่ไหนคิดดูสิ ฉี่ที่ออกมามีควันออกมาด้วยเลยอ่ะ 

    กลับมาจากห้องน้ำที่ไม่มีจริง ก็มีชาร้อนๆรอเราแล้ว พร้อมกันขนมกลางวัน มันคือแป้งทอดฉ่ำๆน้ำมันนิดนึง มีรสชาติหวาน แต่ว่าคนเสื้อส้มกับเพื่อนๆเขากินแผ่นแป้งกัน โดยต้องเอาไปปิ้งกับไฟก่อน นางก็แบ่งให้กิน แหม่มีน้ำใจมากๆอ่ะ รสชาติจะจืดๆมันๆแห้งๆ นิดนึง ก็กินได้ให้ร่างกายมีพลังงาน ฮ่าๆๆ

    เมื่อท้องอิ่มก็ออกเดินทางอีกครั้ง ท้องเราอิ่ม แต่พี่พลอยกับท่านขุนยังไม่ได้กินอะไรเลย ลุงไกด์เลยขอเวลาให้อาหารพี่ท่านก่อน แกให้เราเดินขึ้นเขาร่วงหน้าไปก่อน ตอนนี้เราอยู่ที่ความสูง 3517 m แล้ว การขึ้นเขาของเราเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากๆ เรายังไม่รู้สึกปวดหัวนะ แต่แค่เหนื่อยมากๆเวลาเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ แต่ก็เดิน เดินช้าๆ ค่อยๆเดิน วิวสองข้างทางสวยมากๆ ผู้ชายคนจีนที่อยู่ในห้องก็ออกมาเดินกับเราด้วย เหมือนเขาก็เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่ทำไมเขาเดินกันชิลมากๆ อ่ะ แทบจะวิ่งขึ้นเลยก็ว่าได้ ตัดภาพมาที่เราคือเหนื่อยมากๆอ่ะ เราเดินหลังสุดเลย หนุ่มจีนที่ขึ้นไปก่อนเลยหันมาถ่ายรูปเรา แล้วก็รอให้เราไปดูรูป นางถ่ายรูปสวยมากๆๆๆๆๆๆอ่ะ ฟ้าเปิดนิดนึง แต่นางทำรูปออกมาสวยมากๆๆๆๆๆๆ เสียดายที่ไม่ได้ขอ We chaไว้ หมดกันรูปสวยๆของเราก็ไม่ได้เอามาอวดเลย 

    แต่ต้องยอมรับว่าวิวสวยมากจริงๆ ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว หญ้าที่พื้นก็กลายเป็นสีเหลือง สวยมากๆๆๆๆ ถ้าฟ้าเปิดสักหน่อยนะ จะสวยกว่านี้ แต่เราเป็นเจ้าแม่ฟ้าปิด ไปไหนฟ้าก็ปิด ฮ่าๆๆ คราวหลังจะไม่พลาด เราจะเอาตะไคร้ไปปักด้วย ฮ่าๆๆๆ

    Cr.รูปภาพสวยๆจากพี่ปุ๋ยค่ะ ^^

    สวยจริง สวยจัง สวยมากๆ เนาะ เดินไปชมวิวไป พักถ่ายรูปให้หายเหนื่อย สักพักลุงไกด์ก็ตามมาทัน พอลุงมาถึงก็ไม่รอช้า ให้เราขึ้นขี่ม้า แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ ต่อจากนี้ไม่มีการพักแล้ว มุ่งหน้าตรงไปยัง Base camp เลย ถึงตอนนี้เรายังชิลๆอยู่นะ ก็เพราะว่าอยู่บนหลังท่านขุนไง ไม่งั้นนะหอบรับประทานแล้ว ฮ๋าๆๆ ยิ่งขึ้นสูงเท่าไร ฝนก็ยิ่งตกหนัก แถมไม่พอ อากาศด้านบนหนาวมาก เราหนาวมาก สั่นไปทั้งตัวเลย แล้วหลังจากที่เดินทางมาทั้งวัน เราก็มาถึง Base camp กันแล้วววว 

    BASE CAMP 

    Base camp ไม่เหมือนที่เราคิดไว้อ่ะ ก่อนมาคิดว่า Base camp จะต้องมาแย่งกันกับกรุ๊ปอื่นหรือกับเอเยนต์เจ้าอื่น แต่ปรากฏว่า เขาแยกของใครของมัน เจ้าที่พากรุ๊ปคนจีนที่ถ่ายรูปให้เราจะอยู่ใกล้กับทางขึ้น-ลงเลย แต่Camp ของเราจะอยู่ห่างออกไปอีก ไม่ไกลมาก ประมาณ 100 เมตร อยู่แบบห่างไกลจากกรุ๊ปอื่น เหงาเลยอ่ะ 

    ทันทีที่เราไปถึง เราลงจากท่านขุนได้ เราก็รีบวิ่งเข้าไปใน Camp เลยเพราะว่าหนาวววววมาก ดีที่เสื้อคลุมกันฝนได้ เราเลยไม่เปียก แต่พอถอดเสื้อออกเท่านั้นแหละ อื้อหืออออ หนาวเข้ากระดูกเลย ต้องรีบเราเสื้อดาวน์มาใส่อีกชั้น

    ด้านใน Camp แบ่งเป็น 2 ห้อง ห้องแรกเป็นห้องที่เราเดินเข้าไปแล้วจะเจอเลย ภายในห้องจะมีเครื่องครัวหม้อไห ขวดน้ำ วางอยู่ตรงข้ามกับประตู และมีเตาผิงอยู่ทางด้านซ้ายมือ รอบๆเตาผิงเป็นที่นั่ง สมาชิกในห้องมีลุงๆ 3 คน นั่งอยู่ก่อนแล้ว พอเข้าไปทักทายจริงๆ ก็มีคนจีน 2 คนที่เป็นไกด์ และมีลุงเกาหลีอีก 1 คน ลุงเกาหลีแกมาค้างอยู่ที่ Black lake เมื่อคืนก่อน แล้วก็เดินมาที่ Base camp ในวันนี้ พรุ่งนี้ตามแผนแล้วก็ต้องขึ้นยอดเขาฮาปาพร้อมกับพวกเรา ลุงแกพูดอังกฤษได้นิดหน่อย คือพอคุยกันรู้เรื่องอ่ะ เราก็งูๆปลาๆ เหมือนกัน แกบอกว่าแกเป็นไกด์ภูเขาเหมือนกันนะ แต่แกนำเดินขึ้นเขาในประเทศเนปาล เจ๋งมากอ่ะลุง ลุงบอกว่าถ้าเราไปเนปาลก็ไปพักบ้านแกได้ ฮ่าๆๆๆ แต่เราลืมขอ Contact แกเอาไว้อ่ะสิ เสียดายจัง แต่ว่าโชคดีมากๆ ที่เจอแกบนนี้เพราะแกโหลดแอพแปลภาษาแบบออฟไลน์ไว้ ทำให้เราได้พูดคุยกับไกด์คนจีนได้ง่ายขึ้น 

    ลุงไกด์คนจีนอีก 2 คนที่อยู่ใน Camp ก่อนที่เราจะไปถึง เราขอเรียกลุงคนแรกว่า ลุงกับข้าวเพราะนางเป็นคนทำกับข้าวให้ทุกคนใน Camp กิน  กับอีกคนคือไกด์เมาเห็ด ฮ่าๆๆๆ เพราะตั้งแต่เจอหน้ากันนางก็ไม่หยุดหัวเราะเลย นางพูดๆๆ แล้วก็หัวเราะ ฮ่าๆๆๆ ฮามากๆอ่ะ ยกตัวอย่างเรื่องที่นางขำมากๆ เรื่องนึงคือ พี่ปุ๋ยแบมือแล้วก็เอามือไปใกล้ๆเตาผิงไฟ ไกด์เมาเห็ดก็หัวเราะใหญ่เลย เสียงดังมาก เราก็อะไรวะ ขำอะไรอีกวะเนี่ย นางหัวเราะแล้วก็มาจับนิ้วพี่ปุ๋ย แล้วก็หัวเราะอีก ฮ่าๆๆๆ อะไรของเขาวะ แล้วก็ไปจับนิ้วตัวเอง แล้วก็บอกให้ลุงไกด์ กับลุงกับข้าวดู แล้วก็หัวเราะเสียงดังใหญ่เลย เหมือนกับว่าไม่เคยเห็นคนนิ้วเล็ก ฮ่าๆๆๆๆ นางคุยว่านิ้วมือพี่ปุ๋ยเล็ก ส่วนนิ้วของนางใหญ่ แล้วก็ขำใหญ่เลย ฮ๋าๆๆๆ โอ้ยยยถ้าคุยภาษาเดียวกัน ก็คงจะขำกันมากกว่านี้ เราได้แต่ขำนางที่นางหัวเราะอยู่ตลอดเวลาเลย ฮ่าๆๆ

    ส่วนอีกห้องนึงเป็นห้องกินข้าว จากประตูต้องเลี้ยวขวาไป มีโต๊ะตัวใหญ่วางอยู่ตรงกลางห้อง แล้วก็ด้านในสุดของห้องเป็นที่นอนของไกด์ ช่างเป็นห้องนอนที่อบอุ่นมาก อยากมานอนด้วยเลยอ่ะ 

    Base camp อยู่ที่ความสูง 4130 ม. อาการของเราตอนนี้คือ ปวดหัวนิดๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหนื่อยไปหมดเลย ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นเร็ว รัวเหมือนตีกลองแต๊กตอนเดินสวนสนามเลย แล้วก็อยากหลับมากๆ เรากินยาพารา อาการก็ดีขึ้นนะ เวลาจะทำอะไรก็ต้องค่อยๆทำ และกินน้ำเยอะๆ เยอะจนปวดฉี่อีกแล้ว เราเลยใช้มุกเดิมคือเอาคำศัพท์ที่แปลว่าห้องน้ำไปให้ไกด์เมาเห็ดดู แล้วนางก็รีบพาเรามาที่ด้านหลัง Camp เราเห็นเป็นกระท่อมน้อยๆ ที่มีประตูปิดอยู่ เราดีใจมากกกกก ที่เราไม่ต้องไปฉี่ตรงไหนก็ได้ อย่างน้อยๆก็รัวรอบขอบชิด เพราะบรรยากาศถ้าไม่มีห้องน้ำนะ มันจะหนาววววมากกกกก เย็นมากกกกกกกน่ะสิ ฮ่าๆๆๆ พอเปิดประตูเข้าไปก็เป็นส้วมหลุมธรรมดาเนี่ยแหละ อย่าให้บรรยายสภาพด้านในเลยนะ เราอยากจะลืมมันไปจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ

    เรากลัวว่าเราจะขาดออกซิเจนโดยไม่รู้ตัว ก่อนมาเราเลยซื้อ Oximeter มาด้วย แต่พอจะใช้ปรากฏว่า วัดเพี้ยนจ้าา ค่าของเราขึ้นต่ำมากคือต่ำจนคิดว่าเห้ย เราจะตายป่าววะเนี่ย แล้วมันก็ค่อยๆขึ้นๆ พอเราให้พี่ปุ๋ยกับลุงๆ ลองบ้าง ค่าของพวกเขาโอเครอ่ะ อยู่ในระดับที่ดีเลย เราเลยทำท่าทางบอกลุงไกด์ โดยชี้มาที่ตัวเอง แล้วก็เอานิ้วชี้ปาดคอ แล้วก็แลบลิ้น เพื่อจะบอกว่า เราตายแล้ววววว ลุงไกด์แกก็หัวเราะใหญ่เลย ยิ่งไกด์เมาเห็ดยิ่งหัวเราะเสียงดังกว่าใครเลย ฮ่าๆๆๆๆ 

    หกโมงเย็น ถึงเวลาที่จะต้องกินข้าวเย็นแล้ว เราเอาปลาทูน่ากระป๋องมากินด้วย ส่วนพี่ปุ๋ยเอาน้ำพริกนรกมา หูยยยพอได้กินน้ำพริกนะรู้สึกมีแรงขึ้นมาเลย แล้วพี่ปุ๋ยก็แบ่งให้ลุงๆ ลองบ้าง เราก็กลัวว่านางจะเผ็ด เพราะอาหารที่นางทำมาไม่เผ็ดเลย เมื่อวานที่กินอาหารที่ป้าทำก็ไม่เผ็ด เลยเข้าใจว่าคนจีนไม่กินเผ็ด แต่ที่ไหนได้ลุงๆแกกินได้หน้าตาเฉย แถมเทใส่ข้าวเยอะมากด้วย 

    กับข้าวที่ืลุงกับข้าวทำให้กินมื้อนี้คือ ต้มปลา ต้มปลาอีกแล้ววว เราไม่ได้ถามว่าเป็นปลาอะไร เดาว่าน่าจะเป็นปลาจากภูเขาอีกเหมือนเดิม รสชาติเหมือนที่ป้าทำเมื่อวาน ปลาเนื้อเด้ง นุ่ม ไม่คาว กินเข้าไปปุ๊ป ละลายในปากเลย แต่ลุงเกาหลีแกถาม คำตอบที่ได้มาน่าตกใจมาก เพราะว่ามันคือ "ปลาคาร์ฟ" คุณพระ!!! ปลาคาร์ฟที่เมืองไทยเขาเลี้ยงเป็นปลาสวยงามนะเฟ้ยยยย เรากับพี่ปุ๋ยมองหน้ากันเลย ฮ๋าๆๆๆ เรื่องนี้มันต้องประกาศให้โลกได้รู้ มันเริ่ดมากอ่ะ มาประเทศจีนได้กินต้มปลาคาร์ฟด้วย สุดๆไปเลย กลับไปไทยลองเอามาต้มยำสักตัวดีมั้ยนะ ฮ๋าๆๆๆๆ  

    หลังจากกินข้าวเสร็จ ลุงๆ แกก็สอนให้ใส่ Crampon ที่เอาไว้เสริมรองเท้าของเราให้เดินบนหิมะได้โดยไม่ลื่น จริงๆแล้วก็จะเป็นคนใส่ให้พวกเราตอนที่อยู่บนเขา เพราะวิธีการมันเชือกมันซับซ้อนเกินที่จะให้เรามัดเองได้ ถ้าให้เรามัดเองนะ คงหลุดกลางทาง แล้วก็ตกเขาตายกันพอดี ฮ่าๆๆๆๆ พอใส่เสร็จแกก็ให้ลองยืน ลองเดิน วิธีการเดินคือ ให้เดินให้เท้าเราตรงกับหัวไหล่ ซึ่งจะต้องถ่างขาออกจากการเดินปกตินิดหน่อย (จริงๆกว่าจะเข้าใจแบบนี้ได้ก็อธิบายกันนาน เพราะคุยคนละภาษาไง ฮ่าๆๆๆ) 

    Cr.รูปภาพจากพี่ปุ๋ยค่ะ 

    สอนเสร็จก็ได้เวลาเข้านอน แต่ก่อนนอน ลุงแกนัดว่าตื่น 3.00 นะ เริ่มเดิน 3.30 สายกว่าเจ้าอื่นๆ แต่ก็เอาเถอะตามนั้นแหละ แต่ก็แอบคิดในใจว่าจะถึงยอดเมื่อไรเน้อออ ตอนนี้ฝนยังไม่หยุดตกเลย ลุงเกาหลีแกบอกว่า ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วฝนไม่หยุดตก แกก็จะไม่ขึ้นไปที่ยอด เรากับพี่ปุ๋ยคิดหนักเลย เพราะแกเป็นไกด์ภูเขาที่เนปาล (แกบอกว่างั้นนะ) แกคงมีประสบการณ์การเดินขึ้นเขาหิมะเยอะ คงจะประเมินแล้วว่ามันอันตราย เรากับพี่ปุ๋ยยังเป็นเด็กฝึกหัดเดิน คงต้องเชื่อแกแหละ ในใจคิดว่ามาถึงแล้วอ่ะ อีกนิดเดียวเอง ขอให้ได้ไปเถอะนะ แต่ก็นะ ตอนนี้มันแค่ทุ่มกว่าๆเองมั้ง ให้เวลาธรรมชาติเขาหน่อยดิ ฟ้าอาจจะเปิดตอนเช้าก็ได้

    ส่วนที่นอนของเราอยู่ในห้องถัดไปจากห้องครัว พอเข้าไปข้างในจะเจอเตียง 2 ชั้น 4 เตียง บนเตียงมีฟูกแบนๆวางอยู่ พร้อมกับถุงนอน ห้องนี้จะเป็นที่นอนของเรา พี่ปุ๋ย แล้วก็ลุงเกาหลี สามคนเลือกนอนชั้นล่างกันหมดเลย เพราะขี้เกียจปีนไง ฮ่าๆๆๆ  เราเอาถุงนอนของเตียงอื่นมาซ้อนกัน 2 ชั้นบวกของเราที่เตรียมไปเองอีกชั้น คิดว่าน่าจะอุ่นแล้วนะ ฮ่าๆๆ แล้วก็ใส่เสื้อเบส x1 เสื้อยืดx2 เสื้อฟรีส x1 เสื้อดาวน์x1 หมวก x2 ถุงมือ x1 กางเกงเบสx1 กางเกง Heattech ของ Uniqlo x1 กางเกง Trekking ธรรมดาๆ x1 ถุงเท้าแบบหนา x2 ถุงเท้าสำหรับใส่นอนx1 หมดกระเป๋าแล้วจ้า แล้วเราก็เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในถุงนอนที่เตรียมไว้ แรกๆ จากที่อยู่ด้านนอกนานๆ อาการหนาวมันยังค้างอยู่ ร่างกายยังไม่ได้ปรับอุณหภูมิขึ้น เรานอนแบบหนาวสั่นไปทั้งตัวเลย แล้วหัวใจก็เต้นแรงเพราะอากาศน้อยอีก รัวเป็นกลองแต๊กตอนสวนสนามเลย นอนไม่หลับเลย อาการแบบนี้ AMS แน่นอนเลย เราเลยลุกขึ้นมานั่ง ตั้งสติ ช่วยไม่ได้ วิธีเดียวที่จะช่วยตัวเองได้คือ กินน้ำ โชคดีที่ก่อนมานอนเติมน้ำมาด้วย น้ำร้อนมากๆด้วย เราจิิบน้ำ แล้วก็ล้มตัวนอนอีกครั้ง อาการหนาวดีขึ้นร่างกายคงปรับอุณหภูมิได้ระดับนึงแล้ว สั่นน้อยลง ทำให้เราได้งีบบ้าง ฟังเสียงรัวของหัวใจแล้วก็เผลอหลับไป หลับแบบหลับๆตื่นๆนะ เพราะต้องตื่นมากินน้ำ ถ้าไม่ได้น้ำเราแย่แน่ๆเลย

    สิ่งนึงที่ทำให้เราตื่นบ่อยก็คือ ลม คืนนี้ลมแรงมาก(กอ ไก่ ล้านตัว) พัดมาจากทุกติดทาง ด้วยลักษณะ Camp ที่สร้างจากไม้กับหิน แล้วหลังคาก็เป็นสังกะสี แล้วก็มีฝ้าเป็นผ้าใบ พอเจอลมพัดมานะ เหมือนมีคนหลายๆคนมาเขย่าCamp แล้ววิ่งหนีไปอ่ะ เป็นแบบนี้ทั้งคืน Camp สั่นทั้งคืน สั่นจนกลอนประตูที่เป็นไม้ที่เสียบไว้ระหว่างประตูกับวงกลบหลุดออกจากกัน แล้วประตูมันก็เปิด แล้วลมก็พัดเข้ามาหาเราเต็มๆเลย เราเลยต้องลุกขึ้นไปปิดประตูถึง 2 ครั้ง เราคิดว่า Camp แม่งต้องพังแน่ๆ ลมมันจะพัดCampหนีแน่ๆ แต่ถ้ามันพัดมา เราคงจะมีเวลาให้หลบอยู่มั้งเพราะเรานอนเตียงชั้นล่าง น่าจะพอไหวแหละ (วางแผนไว้แล้ว ฮ่าๆๆๆ) แต่คนที่คิดวางแผนจริงจังกว่าเราก็คือ พี่ปุ๋ย ฮ่าๆๆๆ นางบอกว่านางคิดว่าตอนเช้าที่เปิดประตูออกไปจะเจอหิมะกองอยู่หน้าประตู หิมะมันถล่มมาใส่ Camp เราแน่ๆ เราคือแบบ เห้ยยยย ไม่ธรรมดาจริงๆผู้หญิงคนนี้ จินตนาการของนางเกินที่เราจะคาดเดาได้จริงๆ ล้ำกว่าเราไม่หลายขุมมาก ฮ่าๆๆ แต่สิ่งที่คิดเหมือนกันก็คือ คราวหน้าจะไม่มาล่ะ 

    ภาพจากวีดีโอจ้า

     

    • Posts-5
    Natthikan •  November 12 , 2019

    ยอดเขา Haba

    25/10/ 2019 ไปหรือไม่ไปดีอ่ะ 

    เราตื่นตั้งแต่ตี3 อย่าเรียกว่าตื่นเลย เรียกว่านอนไม่หลับมากกว่า เราลุกขึ้นมาปิดนาฬิกา แล้วก็นั่งอย่างนั้นพักใหญ่ พี่ปุ๋ยเลยพูดขึ้นมาว่า "ลมแรงมากอ่ะ" สถานการณ์ตอนนี้ตรึงเครียดมากอ่ะ ด้วยความกลัว กลัวลมแรง กลัวAMS เราเลยถามพี่ปุ๋ยว่านอนหลับมั้ย แกบอกว่า ตั้งแต่เที่ยงคืนมาแกก็ไม่หลับอีกเลย เราคิดในใจเลย อื้มมมม สบายใจล่ะ คิดว่าเราเป็นคนเดียวซะอีก ฮ่าๆๆๆๆ  เราเดินออกไปดูข้างนอก ฟ้าค่อยข้างเปิดนะ แถมฝนก็หยุดแล้ว มีแค่ลมที่ยังแรงอยู่ สักพักลุงเกาหลีตื่น แกบอกว่าแกนอนหลับดี (ใส่สิ ลุงกรนด้วยนะลุง) แต่แกไม่ขึ้นยอดนะ ลมแรงเกินไป เรากับพี่ปุ่ยคิดหนักอีกรอบ อะไรวะลุง ฟ้าก็เปิดแล้ว ฝนก็หยุดตกแล้วไง ลุงห่วงนอนนี่หว่า วู้!!! 

    ใจเราไปถึงยอดแล้วนะ แก๊งค์อื่นๆเขาก็ออกเดินทางกันแล้ว เอาไงดีวะ ถ้าลุงเกาหลีไปด้วยมันจะตัดสินใจง่ายกว่านี้ เราไปกินข้าว ที่ลุงๆไกด์แกเตรียมไว้ เป็นข้าวต้มใส่ลูกเดือย รสชาติไม่มี เหมือนกินความว่างเปล่า ฮ่าๆๆ ระหว่างกิน เราสองคนก็ปรึกษากัน พวกเราว่าอย่างน้อยๆเราก็มาแล้ว ขึ้นไปหน่อยมั้ย ไม่ไหวก็ลงมา ไปไม่ได้ก็ลง ดีกว่าเนาะ ดีกว่าเราไม่พยายามเลย เป็นการตัดสินใจแบบเสี้ยววินาทีมากๆ เอาวะไปก็ไป มันเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงมากๆนะ คิดในใจว่าถ้าเราตายเนี่ย ประกันที่ทำไว้ แม่จะได้รับมั้ยนะ แม่จะรู้ได้ไงว่าเราตายแล้ว ถ้าเราตายแล้วจมอยู่ในน้ำแข็งจะมีคนมาหาศพเราป่าววะ ฮ่าๆๆๆๆๆ มานั่งนึกทีหลังมันก็กลายเป็นเรื่องตลกนะ คิดไปได้ไงวะ แต่สถานการณ์ตอนนั้นมันเครียดจริงๆ เราเพิ่งรู้ก็วันนี้แหละว่า คนโชคไม่ช่วยอย่างเรา เทพเจ้าฟ้าปิดอย่างเรา การเดินทางแบบนี้มันอันตรายมากๆ ร่ายกายต้องพร้อม แผนต้องดี อุปกรณ์ต้องพร้อมด้วย 

    หลังจากตัดสินใจได้ว่าไป การเตรียมอุปกรณ์ที่วุ่นวายก็เกิดขึ้น 555 โคตรตลกเลย อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่เราต้องใส่ ซึ่งก็คือ snow cover เห้ยยใส่ยังไงวะ ใส่ไม่เป็น ลุงไกด์กับลุงกับข้าว แล้วก็ไกด์เมาเห็ดก็เข้ามาใส่ให้ถึงห้องเลย นางแกะไอ้ตีนตุ๊กแกออก แล้วก็ปรับสายให้พอดีกับขาความยาวของขาเรา แล้วก็มาคล้องกับรองเท้าเรา นางทำแบบตั้งใจมากๆ ในขณะที่เราก็วุ่นวาย อยู่กับการใส่ถุงมือของเราเหมือนกัน เพราะเราอยากใส่ถุงทรายเข้าไปด้วย ไม่พอแค่นั้น หมวกแข็ง ก็ต้องใส่ แต่ปัญหาก็ได้เกิดขึ้นเมื่อเราใส่หมวกผ้า 2 ชั้น และหมวกของเสื้อดาวนะอีก 1 ชั้น หมวกของเสื้อกันลมอีก 1 ชั้น มันทำให้หมวกแข็งคล้องมาไม่ถึงคาง ตอนนั้นโคตรตลกเลย ลุงไกด์นางก็พยายามดันให้ถึง แต่เราส่งเสียงว่าหื้อๆๆๆๆ เพื่อบอกแกว่าไม่ได้ๆๆๆ ลุงก็พยายามใส่อยู่นั่นแหละ อิหยังวะ 555 แล้วไกด์เมาเห็ดก็มาช่วย นางเอาหมวกเราไป แล้วเราก็ไม่ได้สนใจเพราะเรากำลังกังวลอย่างอื่นอยู่ ซักพักกลับมา เห้ย ได้เฉยเลย งง เอาวะได้ก็ได้ ไม่รู้ว่าทำไง แต่เรื่องนี้มีเฉลย ตอนเราถอดออก ยอมรับว่านางฉลาดมาก 5555

    ลุงทำกับข้าว เดินมาหยิบขวดน้ำเราแล้วก็ชี้ไปที่ขวด แล้วก็ชี้ไปที่ตัวเอง เราก็พยักหน้า มันเป็นการสื่อสารที่เข้าใจได้เฉยเลยว่า เดี๋ยวแกจะไปเติมนำให้นะ แล้วก็เอาของพี่ปุ๋ยไปด้วย น้ำที่แกใส่มาให้เป็นน้ำร้อนแบบเต็มขวดไปเลย แถมขวดน้ำเราเป็นแบบเก็บความร้อนได้ขั้นเทพ เรามีประสบการณ์เรื่องนี้ที่เนปาล ตอนที่เราต้องการจะกินน้ำ เราเปิดขวดน้ำแล้วก็กินเลย ทีนี้น้ำร้อนมันก็ลวกปาก ฮ่าๆๆ ตลกตัวเอง ครั้งนี้เราจะไม่พลาดอีก เราจะค่อยๆกิน ค่อยๆจิบ

    เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็ไปโลด สมาชิกที่ไปขึ้นเขาในวันนี้มีเรา พี่ปุ๋ย ลุงไกด์ และก็ลุงกับข้าว ไกด์เมาเห็ดเป็นไกด์ของลุงเกาหลี เมื่อลุงเกาหลีไม่ไป นางเลยไม่ต้องไป พออกกสตาร์ทลุงไกด์เดินนำเร็วมากๆๆๆๆๆ พี่ปุ๋ยด็เดินตามแกเร็วมาก ตามไปติดๆเลย เราเดินได้นิดนึง เราก็เหนื่อย เราเลยเดินช้าๆละกัน โดยมีลุงกับข้าวเดินประกบหลัง พอเดินไปได้ซักพัก พี่ปุ๋ยก็หยุดเดินแล้วก็หันมาบอกเราว่า แน่หน้าอก หายใจไม่เต็มปอด เหมือนจะหลับเลย เราเลยบอกให้พี่ปุ๋ยกินน้ำเยอะๆ นางนั่งพัก แล้วเราก็หยิบน้ำของนางมาให้แกกิน เราบอกว่านางกินข้าวน้อย ทำให้ร่างกายดึงพลังงานมาใช้หมด ทำให้อยากหลับ เหมือนจะว๊าบอ่ะ พอนางเปิดขวดน้ำแล้วก็กินเท่านั้นและ นางสำรักออกมาเลย เราตกใจมากอ่ะ พี่ปุ๋ยอาการแย่แน่ๆเลย แล้วนางก็พูดออกมาว่า น้ำลวกปาก 5555 สถานการณ์ตอนนั้นมันก็ขำแบบแห้งๆไปอ่ะ แต่พอกลับมาคุยกันหลังจากลงมาแล้วมันตลกมาก น้ำร้อนลวกปาก ปากยังไม่หายเลยพอง ฮ๋าๆๆๆๆๆ 


          จากนั้นเราก็เริ่มเดินอีกครั้ง เรามีอาการเหนื่อยหอบ หายใจแรงมากๆ หัวใจเต้นเร็ว แต่ไม่ค่อยได้ยินเท่าไร เสื้อดาวน์มันเสียดสีกับหูเสียงดังกลบเสียงหัวใจ 555 จริงๆนะ เราเดินไป พักไป เดินตามหลังพี่ปุ๋ย ระหว่างที่เดิน ลมแรงมาก แรงแบบว่ายืนไม่อยู่อ่ะ พอลมพักมาเราก็งอตัวลง แล้วก็อยู่แบบนั้นนิ่งๆ พี่ปุ๋ยหันมาบอกว่าพี่จะหลับแล้ว ทีนี้พักนานหน่อย เราเอาขนมให้นางกิน เพื่อเติมพลัง แต่ก็กินได้นิดเดียว เราก็เอาน้ำมากิน น้ำเราก็ร้อนเหมือนกัน แต่รู้จากพี่ปุ๋ยแล้วไง เราจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก เราเลยค่อยๆกิน 5555 แล้วเราก็คุยกันว่าเอาไง ไปต่อมั้ย พี่แกก็อยากไปต่อนะ เพราะว่าไหนๆก็มาแล้ว เอ้าลุกแล้วก็ไปต่อ เดินไปเรื่อยๆ พื้นจากที่เป็นดินทรายกลายเป็นหิน อารมณ์เหมือนเดินอยู่บนหินก้อนใหญ่มากๆๆๆๆๆ ลุงกับข้าวเริ่มมากอดแขนเราเดิน บนพื้นมีน้ำไหลเป็นสายเล็กๆ ซึ่งเกิดจากหิมะละลายจากด้านบนแล้วไหลลงมาเรื่อย เราเดินเหยียบน้ำ เราก็ลื่น ลุงกับข้าวเลยหยุดแล้วก็ใส่cramponให้

    จู่ๆ พี่ปุ๋ยก็นั่งลงกับพื้นแล้วบอกว่าไม่ไปแล้วดีกว่า พี่ไม่อยากเสี่ยง แล้วแกก็บอกลุงไกด์ด้วยการชี้ที่ตัวเอง แล้วก็ชี้ลงไปข้างล่าง แต่เราบอกว่า เราขอไปต่อนะ อย่างน้อยๆก็ขอแค่อาทิตย์ขึ้นแล้วค่อยลง แล้วเราก็บอกลุงว่าเราจะไปต่อ นางก็ใส่ camponให้เรา แล้วลุงกับข้าวก็ใส่ของตัวเอง พี่ปุ๋ยเริ่มสนใจไอเดียนี้ เลยบอกกับลุงไกด์ใหม่ว่านางจะไปด้วย ลุงเลยใส่ campon ให้พี่ปุ๋ยแล้วก็ใส่ของตัวเอง แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ 

    ลุงกับข้าว พยุงแขนเราให้ขึนไปเรื่อยๆ นางพยายามพาเราเดิน แล้วก็หยุดให้เราพัก ซึ่งจังหวะดีมากๆ 555 ยิ่งสูงพื้นก็กลายเป็นพื้นหิมะ และยิ่งสูงลมยิ่งแรง แรงมาก และไม่สามารถคาดเดาทิศทางได้เลย พอลมพัดมา ไม่ได้พัดมาแค่ลมนะ พัดเอาหิมะมาด้วย พัดโดนหน้าเราเต็มๆ เจ็บมากๆ ลุงเห็นเราเอามือมาบัง ลุงก็มายืนบังลมให้ แหม่ ถ้าลุงหนุ่มกว่านี้นะ จีบลุงไปล่ะ แมนมากกกก แม้ว่าแกจะทำตามหน้าที่ก็เถอะ 5555 เดินขึ้นไปได้ไม่ไกล เราถามลุงว่าอาทิตย์ขึ้นทางไหน เราก็ทำมือวาดเป็นกลมๆ แล้วก็ชี้ขึ้น แล้วก็ชี้บนฟ้าโดยเคลื่อนไปรอบๆ ทำ 2 รอบแกถึงจะเข้าใจ แล้วแกก็ชี้ไปทางทิศตะวันออก อ่ะ พอรู้แล้ว เราก็บอกลุงว่า ถ้าอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราเดินลงนะ ก็ทำมือวาดกลมๆใหม่ แล้วก็ชี้ขึ้น แล้วก็ชี้ที่ตัวเอง แล้วก็ชี้ลงเขา เออแกก็เข้าใจแฮะ ฮ่าๆๆๆ 

    พี่ปุ๋ยนางเดินนำหน้า นางบอกว่านางก็บอกลุงไกด์เหมือนกัน นางบอกว่านางทำท่าเดียวกันกับเรา แต่ลุงไม่เข้าใจ นางเลยเอาด้ามขวานวาดรูปวงกลมแล้วก็มีเฉยๆ รังศี ให้ลุงดู ลุงก็ไม่เข้าใจ จนเราเดินไปถึง ลุงสองคนก็คุยกัน ทีนี้เข้าใจตรงกันล่ะ พี่ปุ๋ยบ่นทีหลังว่า เห้ยพี่ก็ว่าพี่วาดรูปดีแล้วนะ ทำไมลุงไม่เข้าใจศิลปะของพี่เลย ฮ่าๆๆๆๆ 

    ด้วยแรงลมที่แรงมากๆ แล้วเราก็เหนื่อยมากๆ พวกเราเลยตกลงกันว่าไม่ไปต่อแล้ว จะรออยู่ตรงนี้เลย ลุงเลยหาที่ที่มีก้อนหินบังลมให้ แต่ก็น่ะ ลมมันมาจากทิศทางไหนก็ได้ เดาไม่ได้ จับทิศไม่ได้ หลบยังไงก็ไม่พ้น เราเลยนั่งตากลมกันรตรงนั้นเลย หนาวววววววมากๆๆๆๆๆๆ เสื้อที่ใส่มาไม่มีประโยชน์เลย นั่งไปซักพัก เรามีอาการปวดหัว ใจเต้นเร็ว แต่ไม่หอบ แล้วก็จะหลับ เราเลยอยู่นิ่งๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะถ่ายรูปแล้ว เราพยายามเอาน้ำมากิน แต่ต้องถอดถุงมือออกซึ่งมันเย็นมากๆๆๆๆๆ มือชาไปหมด พระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นก็โดนเมฆฝนบังหมดเลย ใกล้ได้เวลาลง เราก็ตัดใจหยิบ GoPro มาอัดวีดีโอ ได้แค่นั้นจริงๆ ได้เห็นแสงอาทิตย์สีทองเล็ดลอดออกมาจากเมฆฝน แค่นี้ก็เป็นบุญตายิ่งนัก น้ำตาจะไหล จังหวะนี้ขอเอาชีวิตรอดก่อนก็แล้วกัน คิดในใจ นี่กรูมาถ่ายสารคดี Reality การเอาชีวิตรอดบนภูเขาหิมะหรือป่าววะเนี่ย นี่มันสารคดีของ National Geographic ชัดๆ โอ้ยยย หนาวมากกกกก หนาวสั่น กระดูสันหลังยังสั่นตามด้วยเลย โอเวอร์เกินไปมั้ย แต่มันหนาวมากจริงๆนะ

    หลังจากได้ภาพวีดีโอสารคดีแล้ว ฮ่าๆ พวกเราก็เดินลง เพื่อกลับไปที่ Camp เดินมาได้นิดนึงก็ต้องหยุด เพราะลมแรงมากๆๆๆๆๆๆๆ หิมะพัดใส่หน้าเราเจ็บมากๆ ลุงกับข้าวแกเลยมาบังให้ หลังๆ พัดแรงขึ้นและนานขึ้น ลุงแม่งกอดเราเว้ยเห้ย กดหัวเราเข้าไปกอดด้วย ถ้าให้นึงภาพ คงเหมือนเรากำลังเสียใจและลุงกำลังปลอบ 5555 แหม่ลุง ลุงไม่น่าเกิดเร็วเลย 55555 พูดถึงเรื่องกอดๆ ลุงไกด์นี่ก็ฮา พี่ปุ๋ยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ลมพัดมาแรงๆ ลุงก็รีบมาบังให้ปั๊ปเลย ลมพัดมาปุ๊ป ลุงก็บังให้ปั๊ปเลย ฮ่าๆๆ อย่างแมนอ่ะ พี่ปุ๋ยประทับใจมาก แล้วตอนที่ลมแรงๆๆๆๆ ลุงไกด์ก็กอดพี่ปุ๋ยเหมือนกัน กอดไม่พอนะ มีตบหลังด้วย 5555555 สเต็บแกคือ ลมพัดมาปุ๊ป เอาตัวมาบังให้ปั๊ป แล้วก็กอด แล้วก็ตบหลัง แฮ!!!! สเต็บลุงดีจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ

    เราเดินลงมาเรื่อยๆ ฟ้าเริ่มสว่าง และลุงให้เราถอด crampon ออก เพราะพื้นกลายเป็นดินแล้ว และแล้วความจริงก็ปรากฏ ว่าไอ่ที่เราเดินขึ้นมาอย่างยากลำบากทั้งหมด มันแค่นิดเดียวเอง เรามองเห็นBase camp ตั้งอยู่ไม่ไกลเลย 5555 โอ้ยยยยยยย55555 จะฮาไปไหน มันแค่นี้เอง เราเกือบตาย 5555 เราเลยหยุดถ่ายรูปตรงจุดที่ถอด crampon ได้รูปสวยๆมาก็ไม่มาก เพราะเราหนาวววว ไม่อยากเอามือมาถ่ายรูปเลย 

    Cr.รูปภาพจากพี่ปุ๋ย

    ลุงไกด์แกก็ใจดี อาสาถ่ายรูปให้ แกตั้งใจมาก แนะนำให้เราถ่ายรูปคู่กับก้อนหินแหลมๆ ถ่ายมุมโน้น มุมนี้ มีจัดท่าให้ด้วย ลุงแกให้เราไปยืนเรียงกัน 3 คน มีเรา ลุงกับข้าวอยู่ตรงกลาง แล้วก็ปิดท้ายด้วยพี่ปุ๋ย ยืนเรียงกันแล้วก็จับไหลของคนก่อนหน้า ลุงตั้งใจมากๆ ถ่ายมุมโน้น มุมนี้ มีให้เราเปลี่ยนท่าด้วย เอาเข้าไปลุง แต่พอมาเปิดรูปดู เอ้าลุงงงงลุงถ่ายเป็นวีดีโออ่ะ ลุงแกก็ไม่รู้ตัว ถ่ายอยู่นั่นแหละ ตั้งใจมาก มุมสูงมุมต่ำ เป็นหลักฐานชั้นดีเลยว่าลุงให้เราทำอะไรบ้าง โคตรตลกเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

    หลังจากได้รูปคู่กับหมอกขาวๆแล้ว เราก็เดินกลับมาที่ Base camp กัน มาถึงก็จัดข้าวเช้ามาเลย กับข้าวมื้อนี้เป็น ต้มจามรี ฮ่าๆๆๆๆ ในที่สุดก็ได้กินจามรีที่น่ารักจนได้ รสชาติเหมือนต้มปลาคาร์ฟเมื่อคืน แต่กลิ่นแรงกว่าเนื้อวัวมากๆ เรากับพี่ปุ๋ยกินได้สองสามคำ แล้วก็ไปต่อไม่ไหว เลยต้องกินมาม่าคัพแทน มาม่าคัพของประเทศนี้คัพใหญ่มากๆ เราขนาดอ้วนๆอย่างเรายังกินไม่หมดเลย

    Cr.รูปภาพจากพี่ปุ๋ย

    หลังจากเสร็จจากมื้อเช้า พวกเราก็ไปเตรียมตัวเดินทางกลับไปที่หมู่บ้าน เรากับพี่ปุ๋ย ก็ขี่พี่พลอยกับท่านขุนเหมือนเดิม ลงทางเดิม ขาลงพี่พลอยกับท่านขุนไม่เหนื่อยเท่าไร สังเกตจากการหายใจ แต่คนที่ลำบากเลยก็คือเรากับพี่ปุ๋ย คือเวลาขึ้นเนี่ย จับอานม้าข้างหน้าเนาะ แล้วก็เอียงตัวมาข้างหน้า แต่ขาลงเนี่ย มือนึงจับอานข้างหน้า เมือนึงจับอานข้างหลัง แล้วก็ต้องอยู่ท่านี้ตลอด แล้วท่านขุนนางจะชอบกระโดดลง ตรงไหนที่ช่วงความสูงสูงมากๆ ท่านขุนก็จะกระโดดลงจ้าาาา ก้นกระแทกกับอานม้า ถึงแม้ว่าจะมีผ้าหนาๆปูไว้แล้วก็เถอะ พอถึงจุดพักแล้วเราต้องลงจากม้า เรากับพี่ปุ๋ยคือเดินไม่ได้เลย ต้องค่อยๆๆๆ ขยับ ท่าทางๆมันก็จะตลกๆหน่อยนะ เมื่อยมาก เมื่อยแขนมากๆ 

    วันนี้ที่ลานจามรีฟ้าเปิดนิดนึง วิวสวยมากๆๆๆ มีสายรุ้งด้วย แต่จามรีหายไปไหนหมดไม่รู้ ฮ่าๆๆๆ สงสัยวันนี้หยุด 

    พวกเรามาถึงที่หมู่บ้านบ่ายแก่ๆ เลย แต่ไม่มีแดด อากาศไม่ร้อนด้วย พอเรามาถึงบ้านลุงเปา ก็กินข้าวกลางวันเป็นไข่เจียวใส่มะเขือเทศ รสชาติเหมือนไข่เจียวบ้านเราแหละ แต่น้ำมันเยอะกว่า ฮ่าๆๆ ลุงเปาแกก็ถามใหญ่เลยว่าไปถึงไหม ถ้าไปถึงแกคงแจกใบประกาศให้ แต่นี่แหม่ ไปไม่ถึงจริงๆลุง ลุงไกด์บอกว่า ถ้าลมไม่แรง พวกเราก็น่าจะไปถึงนะ ฮ่าๆๆๆๆ ปีหน้าให้กลับมาใหม่ ช่วงเดือนมิถุนายน ดอกไม้กำลังบาน ฟ้าจะเปิดมากกว่านี้ พอได้ยินอย่างนี้ พวกเราก็ตาสว่างขึ้นมาทันทีเลย ในหัวสมองนี่แบบคิดแผนการเดินทางไว้แล้วด้วยฮ่าๆๆๆ จากตอนที่อยู่บนเขาคิดว่าจะไม่มาอีก ตอนนี้สบายตัวแล้วคิดแผนการปีหน้าไว้รอแล้วอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆ แค่ครั้งหน้าสัญญากับตัวเองว่าจะทำตัวให้แข็งแรงกว่านี้ ครั้งนี้ไม่ตายก็บุญหัวแล้ว

    หลังจากเสร็จข้าวกลางวันเราก็กลับเข้าห้อง คิดถึงห้องอุ่นๆ กับเตียงอุ่นๆมาก เราขึ้นไปนอนทั้งอย่างนั้นเลย ส่วนพี่ปุ๋ยก็ไปอาบน้ำโน่นนี่ เราหลับทั้งอย่างนั้นเลย ตื่นอีกทีก็ 4 โมงเย็น เป็นการพักผ่อนที่หัวใจเงียบสงบมากๆ ต่างจากตอนที่อยู่ข้างบน ประกันก็ไม่ต้องเคลมแล้ว ฮ่าๆๆๆ สบายกายสบายใจสุดๆไปเลย แต่เรายังเหมือนมีอาการ After shock นิดหน่อย คือมีอาการปวดหัว แล้วก็ทำอะไรก็เหนื่อยง่าย อย่างขึ้นบันไดเราก็เหนื่อยมากแล้ว เราเลยยังคงกินน้ำเยอะๆอยู่ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย แล้วก็แอบปรึกษาหมอ #หมอๆตะลุยโลก แต่กว่าหมอจะตอบเราก็อยู่เมืองไทยได้สองสามวันแล้ว

    มื้อเย็นมื้อสุดท้ายของการอยู่ที่หมู่บ้านนี้ เป็นอะไรที่ฟินมากๆ เพราะลูกชายลุงมาที่บ้าน เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน ฮ่าๆๆๆ นางหล่อมาก หุ่นดีมากๆ และมีแขกพิเศษอีกคนคือ Pieter Crow ซึ่งเป็นคนอเมริกา เป็นเพื่อนกับลุงเปา แกเล่าเรื่องการเดินทางของแกให้ฟังว่าแกไปเส้นทางไหนมาบาง แต่ที่แกแนะนำพิเศษเลยคือ เส้นที่ไป Black lake แกบอกว่าสวยมากๆ ซึ่งตอนที่แกมาลูกลุงเปาเป็นไกด์ให้ แกเป็นนักเขียน แกจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการ Trekking ในแถบยูนนาน ผลงานแกจะอยู่ในเว็บ GoKunming Search ชื่อแกใน Google ก็ขึ้นนะ แกพูดจีนได้ด้วย เพราะแกมีเมียเป็นคนจีน ฮ่าๆๆๆๆ เราล่ะดีใจมากๆที่มีคนที่จะคุยกันรู้เรื่อง 

    เรานอนค้างที่บ้านลุงเปาอีก 1 คืน เช้าก็มีรถมารับ ถึงเวลาต้องแยกทางกันแล้วระหว่าง เรา พี่ปุ๋ย และบ้านลุงเปา เราเป็นทริปที่สนุกมากๆ และจะต้องกลับไปซ่อมอีกครั้ง ก่อนออกจากบ้านลุงเปา เราฝากธงชาติไทยไว้ พร้อมข้อความเล็กๆ ถ้าใครไปก็ไปเขียนต่อได้นะ  

    ทุกวันนี้ก็ยังตลกตัวเองอยู่ ด้วยความกังวล ความกลัวว่าจะเป็น AMS ตาย ทำให้ตอนั้นเราคิดไปว่าจะไม่ไปอีกแล้ว แต่หลังจากกลับมาที่ไทยแล้ว เรากลับหาวิธีการที่จะกลับไปอีกครั้ง พร้อมความหวังอันยิ่งใหญ่ว่าจะต้องขึ้นไปพิชิตยอดเขา Haba ให้ได้

    #FirstTimeAt #China #HabaSnowMountain