ทริปเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน

หนึ่งพันห้าร้อยกิโลเมตร กับการเดินทางฉบับ ทริปเหนือ มาถึงตอนจบกันแล้ว เพื่อนๆ สามารถย้อนอ่านบันทึกการเดินทาง เหนือสิบแสน สู่แดน...ภูลังกา ตอน 1 ได้ที่นี่ค่ะ (คลิกเล้ย) 

 

หลายครั้งที่ 'จุดเริ่มต้น' เล็กๆ พาเราไปพบ 'จุดหมายปลายทาง' ที่ยิ่งใหญ่ 

ภาพเดียวจากรีวิวของนักเดินทางสักคน  [ที่เราไม่รู้จัก]  อาจสร้าง 'แรงฉุด' แบบยั้งไม่อยู่ พาเราออกไปทำความรู้จัก  [โลก]  ที่พวกเขาเคยไป เราพูดได้ว่า 'แรงบันดาลใจ' ทางความรู้สึก มีอยู่ทุกที่นะ และบางทีก็อยู่ในรูปถ่ายที่บังเอิญได้เห็น บทความที่บังเอิญได้อ่าน หรือกระทั่ง...เรื่องราวเล่าขานที่หว่านล้อมกึ่งเชิญชวนให้ติดตามรอยนั้นไป

จะว่าไป...เราก็ชอบ 'ความบังเอิญ' แบบนั้นอยู่เหมือนกัน เพราะการเดินทางครั้งนี้ ก็มี 'ที่มา' อย่างนั้นแหละ :) 

 

"ภูลังการีสอร์ท" อาจเป็นชื่อที่บางคนไม่คุ้นหูนัก จะอยู่ไกลหรือใกล้? อยู่ส่วนไหนของประเทศไทยกันล่ะ? 

จาก 'ชื่อ' ฟังดูไกลพิกล หนทางไปก็น่าจะลำบากมิใช่น้อย แต่ที่นี่ล่ะ เป็น...หนึ่งใน Dream Destination ของบรรดานักเดินทางอีกหลายๆ คน และวันนี้เอง 'ที่นี่' ก็กลายเป็น 'จุดหมาย...ปลายทาง' ในการเดินทางของเรา 

ถนนสายที่พาเราไปมาถึงที่นี่เป็นเส้นทางที่สวยจับตา คล้ายว่ารถคันเล็กๆ กำลังไต่ไปตามถนนที่ตัดผ่านภูเขาสูง และอยู่ใกล้ท้องฟ้าแบบ...เหมือนจะเอื้อมมือถึง ทิวทัศน์ ณ เวลานี้ ดูจะทำให้ความเหน็ดเหนื่อยจากการรอนแรมมาถึงที่นี่...หายไป

เกือบ 17.00 น. เห็นจะได้ ตอนที่เราชะโงกหน้ามองผ่านกระจกหน้ารถออกไป เห็นว่าฟ้าดูครึ้ม เหมือนว่า...วันนี้จะมืดเร็วกว่าปกติ นึกกลัวว่าถ้าถึงที่หมายแล้วติดค่ำอาจจะไม่มีร้านอาหารก็เลยแวะร้านสะดวกซื้อข้างทาง ตุนของกินทั้งข้าว ทั้งขนม น้ำ สำหรับคืนนี้แล้วเดินทางต่อ 

นั่นล่ะ ถนนหนทางจึงเริ่มสูงชันขึ้นเรื่อยๆ ขับเลาะทุ่งหญ้าเขียวๆ สีสันสบายตา เลี้ยวขึ้นสู่ 'ภูเขา' เต็มรูปแบบ เราใช้ GPS ส่องทางเหมือนเดิม แล้วคุณผู้ช่วยผู้แสนจะน่ารักก็นำเราไปสู่  [ทางลัด]   

 

ใช่! ลัดไปวิ่งบนถนน  [แม้ว]  นู่นเลย ถนนเล็กๆ ที่ทั้งแคบ ทั้งชัน แถมมาด้วยโค้งหักศอกชันๆ ให้ลุ้นกันใจหาย อึดใจหนึ่งนั่นล่ะจึงจะพาตัดออกมาเจอถนนเส้นหลักที่ใหญ่กว่า คราวนี้ขับปร๋อ แล้วอึดใจใหญ่ๆ ถัดมาก็ถึงที่หมายโดยที่ฟ้ายังไม่ทันมืด (แค่สลัวหน่อยๆ เท่านั้นเองล่ะ) 

 

 

ที่พักของเราอยู่ทางซ้ายมือของถนน มีป้ายชื่อรีสอร์ทอันเล็กๆ บอกทางเป็นระยะ เลี้ยวซ้ายเข้าไปในอาณาเขตของ ภูลังการีสอร์ท ขับขึ้นเนินไปเรื่อยๆ จะเจอกับพื้นที่โล่งกว้างที่วันนี้มีรถจอดอยู่เต็มลาน รวมถึงคณะ Big Bike ในชุดหนังเท่ห์ๆ กับผู้คนที่กำลังขนข้าวของลงจากรถกระบะกันคึกคัก 

"ภูลังการีสอร์ท" ใครว่า...ที่นี่ลำบากลำบนจนยากที่จะเข้าถึง ใครว่า...ที่นี่ไม่เป็นที่รู้จักจากโลกภายนอก สงสัยว่าจะได้คำตอบจากภาพที่เห็นในตอนนี้แล้วล่ะ :)  

: : ภูลังการีสอร์ท (Phulangka Resort) : : 

รีสอร์ทกึ่งโฮมสเตย์เล็กๆ ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติของขุนเขาสูง รีสอร์ทแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตอำเภอปง (เขตเชื่อมต่อจังหวัดพะเยาและน่าน) บนเขาของวนอุทยานภูลังกา จังหวัดพะเยา เดิมทีเดียวนั้นพูดได้ว่าเป็นรีสอร์ทหนึ่งเดียว ที่มีทำเลที่ตั้งเหมาะเจาะและสวยงาม ท่ามกลางธรรมชาติป่าเขาของวนอุทยาน

จุดเด่นคือ บ้านพักแต่ละหลังจะมองเห็นวิวทางด้านตะวันออกเป็นหุบผาที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ที่ตั้งของผาหินปูนหนึ่งเดียวซึ่งมีลักษณะคล้ายลูกช้างจนถูกเรียกว่า "ภูช้างน้อย" ซึ่งนับเป็นความงดงามอันเกิดจากธรรมชาติสรรค์สร้าง ยากจะหาสถานที่ใดเหมือน...

 

ภาพถ่ายของนักเดินทางที่เคยมาเยือนบอกเล่าถึงความงามของวิวทิวทัศน์ของ ภูลังการีสอร์ท และบอกกรายๆ อีกว่า...ให้ 'ทำใจ' สักนิดก่อนไป เพราะที่นี่ยังคงความเป็นธรรมชาติค่อนข้างสูง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเรียบง่ายจนอาจหาความสะดวกสบาย ห้องนอนสวยๆ หรืออาหารเลิศหรูอย่างในโรงแรมมิได้ 

สำหรับนักเดินทางอย่างเราๆ เมื่อเลือกที่จะออกเดินทาง เราคิดว่าแต่ละสถานที่ที่ไปเยือน ต่างก็มีเสน่ห์และคุณค่าเฉพาะตัว งดงามได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเฟอร์นิเจอร์หรูหรา อุปกรณ์อำนวยความสะดวก หรือเมนูระดับเชฟมิชลิน 

ปล. การเดินทางจากเชียงราย-พะเยา เราใช้เส้นทาง 1021 เข้าสู่เส้นทาง 1091 และ 1092 ที่ไปบรรจบกับถนนหลวงสาย 1148 ส่วนใหญ่ถนนเป็นพื้นราบ ขึ้นเขาบ้าง แต่ไม่สูงชัน ที่จริง...เส้นทางก็ไม่ได้โหดอย่างที่คิดเลย มอเตอร์ไซด์หรือรถเล็กๆ ก็ขับมาถึงได้ และสามารถเข้าจอดเกือบถึงที่พักได้เลยค่ะ

จากตรงนี้...ที่ดึงดูดสายตาให้เดินสำรวจรอบๆ ก็คือ บ้านพักที่มีลักษณะต่างกันไป ตามความตั้งใจของรีสอร์ทที่มีการสร้างบ้านพักเพิ่มในแต่ละปีอย่างไม่เร่งร้อน ตามงบและเป็นแบบไม่ตายตัว 

บางหลังเป็นปูน พร้อมดาดฟ้าชมวิวดาวส่วนตัว  [บ้านชมดาว]  บางหลังวางต่อกันเหมือนกล่อง  [บังเกอร์]  มีวิวพาโนราม่ารับหน้าเป็นฉากที่ตรึงสายตา และบางหลังเป็นไม้ มีสองชั้น พร้อมด้วยระเบียงกว้างขวาง เหมาะจะพักเป็นกลุ่ม ตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างบดบังธรรมชาติเบื้องหน้า นอกจากนี้ยังมีลานตั้งเต้นท์ที่อยู่ในระดับชมวิวได้พอดิบพอดีให้บริการ นับว่าเป็นการปลูกสร้างที่พักได้อย่างผสมกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบข้างจนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน

ส่วน  [บ้านภูสิงห์]  หลังที่ใครๆ มาก็ต้องจับจอง เพราะตั้งอยู่ในมุมเหมาะของการตั้งกล้องถ่ายภาพยามเช้า เป็นหนึ่งของบ้านพักที่น่าอิจฉาผู้เข้าพักจริงๆ

ปล. ครั้งที่เราเดินทางไปนี้ ถือว่าเริ่มเข้าสู่ช่วงของการท่องเที่ยวแล้ว บ้านพักทุกหลังจึงถูกจองล่วงหน้าไปตลอดทั้งเดือนจนถึงปลายปีนู่นเลย เพื่อนๆ ที่สนใจเข้าพักสามารถสอบถามห้องพักได้ที่ FB ภูลังการีสอร์ท ที่นี่นะ :) 

จากลานกว้างด้านบน มีทางเดินเป็นพื้นดินสลับกับปูนลงไปยังบ้านพักแต่ละหลังซึ่งอยู่ระดับล่างลงไป และมองเห็นเจ้า "ภูช้างน้อย" พระเอกของที่นี่ ชัดเและใกล้ขึ้นอีก

ที่พักของเราในคืนนี้ คือ บ้านชมผา จุดเด่นก็คือ...ตั้งอยู่บนหน้าผาที่ไต่ระดับลงมา (ระดับที่สอง) มีระเบียงยาวๆ หน้าห้อง พร้อมทิวทัศน์ในมุมกว้าง อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติด้วยฝั่งซ้ายมือเป็นป่า บ้านชมผาเป็นห้องที่มีขนาดย่อมๆ ไม่กว้างเท่าไรนัก เหมาะสำหรับพักได้ไม่เกิน 2 คน

ห้องพักเป็นห้องแบบพัดลมที่มีการจัดเตรียมที่หลับที่นอน ของใช้จำเป็นอย่างเตียง ฟูก ผ้าเช็ดตัว กระดาษทิชชู่กับน้ำดื่มสะอาดที่ได้รับการกรองตามมาตรฐานระบบของรีสอร์ท และมีห้องน้ำเล็กๆ อยู่ด้านในสุดกับสุขภัณฑ์ ส่วนอ่างล้างหน้ากับกระจกอยู่หน้าห้องน้ำ ภายในห้องนอนนั่นเอง 

 

 

...มองดูแล้วจะเรียกรวมๆ ว่า 'ธรรมดา' ก็ไม่ผิดปากนัก 

สำหรับเราแล้ว 'ธรรมชาติ' ก็คือ ' ธรรมดา' ที่ไม่ต้องปรุงแต่ง ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นตามแต่ประโยชน์ใช้สอยและจุดประสงค์ที่แท้จริงของมัน อะไรที่เกินจากนั้นจึงไม่จำเป็น

...ดูเหมือน ภูลังการีสอร์ท ก็ไม่ต่างกันนัก ที่คงความเป็นธรรมชาติไว้อย่างชัดเจน และคงจะมีหลายคนทีเดียวผิดหวังทั้งที่อุตส่าห์เดินทางไกล อาจเพราะเขาเหล่านั้นคาดหวังในสิ่งที่หาไม่เจอที่นี่ ในทางกลับกันแค่เพียงแต่ศึกษาถึงสถานที่ที่จะไปก่อนสักนิด ทำใจให้กว้างและยอมรับ การปรับตัวเล็กๆ น้อยๆ ของเราอาจทำให้ความสะดวกสบายที่ใฝ่หาถูกกลบกลืน แล้วเลือกที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ บรรยากาศ และความงดงามของสถานที่นั้นๆ แทนที่ 

นั่นล่ะ ความสุขของการได้ออกเดินทางในแบบของเรา :) 

มื้อเย็นง่ายๆ ของวัน คือ อาหารกล่องและขนมที่ซื้อกลางทาง ก็เลยไม่ได้ใช้บริการร้านอาหารของทางรีสอร์ท ที่สามารถสั่งอาหารไว้ตั้งแต่เข้าเช็คอิน ทางรีสอร์ทจะจัดโต๊ะเตรียมไว้ให้ทานด้านบน 

ที่นี่มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์บางค่ายเท่านั้น ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้หยุดใช้ Social ชั่วขณะ แล้วหันไปสะพายกล้องเดินถ่ายภาพวิวรอบๆ ตั้งแต่เย็นไปจนถึงพลบค่ำก่อนที่ความมืดจะโรยตัวลง เวลานี้ดวงอาทิตย์ลับหายไปกับเหลี่ยมเขาอีกด้านหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงผู้คนแข่งกับแมลงร้องกันระงมเหมือนกำลัง 'ชวน' กันออกจากป่า ยุงกับแมลงที่ไม่รู้จักชื่อพากันเล็ดลอดผ่านทางประตู หน้าต่างมุ้งลวดเข้ามา งานนี้ก็ 'คัน' สินะ จะรออะไร

ปล. ถ้ามาครั้งหน้า บอกตัวเองว่า...ที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ยาทากันยุงกันแมลง และถ้ามาช่วงหน้าหนาวก็เตรียมเสื้อกันหนาวหรือถุงนอนมาด้วย และเนื่องด้วย ภูลังการีสอร์ท ตั้งอยู่ในเขตวนอุทยาน จึงขอความร่วมมือผู้เข้าพักงดใช้เสียง หลังช่วงเวลา 22.00 น. เป็นต้นไปค่ะ 

 

 

"13 องศา ณ ภูลังการีสอร์ท"  

ตกดึก...อากาศเย็นกว่าตอนหัวค่ำ อุณหภูมิลดลงเหลือประมาณ 13 องศาสักตอนตีสี่ (ตอนนั้นก็หลับไม่รู้เรื่องไปแล้ว)

ตอนที่ตื่นมารอพระอาทิตย์ขึ้นนั่นแหละจึงได้สัมผัสกับความหนาวและสายลมเย็นๆ ที่กรูมาปะทะหน้าตอนเปิดประตู ลมเบาๆ พัดมาแต่ก็ชวนขนลุกทีเดียว ตอนนี้อากาศกำลังเย็นสบายนะ อุณหภูมิสัก 17 องศาได้ ยิ้มเลย! อย่างน้อยเสื้อกันหนาวที่อุตส่าห์หอบมาด้วยก็ได้ใช้งานแล้ว

นอกจากนักเดินทางทั้งหลายจะรอนแรมมาที่นี่เพื่อรอชมความงามของพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า บนภูลังกา อีกอย่างหนึ่งที่ตากล้องต่างก็รอคอย นั่นคือ หมอก ที่มักจะลอยตัวเอื่อยๆ อ้อยอิ่งออกมาเต็มแอ่งที่ราบด้านล่าง แต่นั่นก็คงจะต้องพึ่งพา 'โชค' อยู่ไม่น้อย เพราะเราไม่มีโอกาสได้เห็นแสงอาทิตย์ยามเช้าพร้อมสายหมอกขาวราวปุยนุ่น เพราะแรงลมที่พัดแรงได้พัดพาสายหมอกของเราให้หายไปด้วย 

 

: : คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอ Time Laps "ความงามของแสงเช้า ณ ภูลังการีสอร์ท" : :  

เราใช้เวลาอยู่ตรงระเบียง นับตั้งแต่...ฟ้ายังมืดสนิท จนกระทั่ง...แสงเรื่อเหลือบค่อยๆ สาดลอดออกมาหลังขุนเขาทีละนิดทีละน้อย จากสีเหลืองแสดเป็นเฉดอมส้มจ้าและกลายเป็นสีแดงฉาน ดุจลูกไฟที่ซ่อนตัวอยู่รำไรใต้หลืบเมฆ ก่อนจะออกมาอวดพสุธาด้วยดวงกลมโตลอยเด่นขึ้นเหนือยอดเขา  

บางครั้ง...การเดินทางนับพันกิโลเมตร ก็เพียงเพื่อจะได้เห็น 'ภาพเดียว' ภาพนี้...เท่านั้น

เมื่อได้เวลาอาหารเช้าผู้คนก็ย้ายมาปักหลักกันด้านบนซึ่งเป็นห้องอาหารจนบรรยากาศคึกคัก มันเป็นอาคารโล่งๆ เปิดด้านเดียวมีหลังคา ติดกับลานชมวิวของ ภูลังการีสอร์ท ที่สวยไม่แพ้หน้าระเบียงห้องพักของเรา 

ตอนนี้หม้อข้าวต้มร้อนๆ ถูกวางไว้ข้างเครื่องเคียง มีต้นหอม กระเทียมเจียว เครื่องปรุงรส ถ้วยชาม และช้อนตั้งไว้ให้บริการตนเองพร้อมสรรพ ตั้งแต่เช้าจนถึงสายหน่อยก็ยังมีคนเข้าคิวกันอยู่เยอะ ส่วนโต๊ะที่นั่งก็ถูกจับจองจนหนาตา ช่วงเวลาอาหารเช้านี่แหละ ที่ทำให้เห็นว่ารีสอร์ทเล็กๆ สามารถรับรองนักเดินทางได้มากพอสมควร

นอกจากข้าวต้มร้อนๆ ยังมีชา กาแฟ ที่กดน้ำร้อนไว้บริการอยู่ใกล้ๆ กัน ให้หยิบชงกันเองตามสะดวก หรือถ้าใครอยากกินอะไรที่มากกว่า...ก็หันไปหาเพิงขายขนมปังปิ้งร้อนๆ แก้หนาว ที่มีสาววัยละอ่อน 'เผ่าเย้า' เป็นแม่ค้า เราลองชิมกาแฟร้อนร้านนี้ สั่งกาแฟโบราณกับขนมปังปิ้ง เขาขายเป็นคู่ก็อร่อยดีเหมือนกัน :)

ในร้านเดียวกันยังขายสมุนไพรชื่อ 'กู่หลัน' สำหรับนำกลับไปต้มน้ำดื่มที่บ้าน สรรพคุณแก้อาการได้หลายอย่างตามแบบฉบับคนเผ่าเย้าเขาล่ะ  

บรรยากาศเย็นสบายกับวิวเขาสะกดให้เจริญอาหารก็เลยเดินตักข้าวต้มกันหนักหน่วง บางคนออกไปนั่งจิบกาแฟร้อนด้านนอกบริเวณลานชมวิว หรือ Landmark ของรีสอร์ท 

กิจกรรมที่น่าสนใจของรีสอร์ท ก็คือการที่ คุณแคะเว่น เจ้าของ ภูลังการีสอร์ท ได้ออกมาถ่ายทอดเรื่องราว ความเป็นมาของ ชนเผ่าเย้าหรือ เผ่าเมี่ยน ซึ่งมีต้นกำเนิดในประเทศจีน ที่ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย ผ่านทางจีน ยูนนาน และผ่านเข้าประเทศไทยมาทางลาว โดยมีหนังสือเดินทางติดตัวที่เรียกว่า "เกีย เซน ป้อง" (ชื่อเรียกในไทย) หรือ "กั้ว เซน ปาง" (ชื่อเรียกในจีน) ซึ่งก็คือ "หนังสือเดินทางข้ามเขตภูเขา" 

"หนังสือเดินทางของชนเผ่าเมี่ยน" ฉบับที่เรามีโอกาสได้เห็นและสัมผัสนี้ มีความเก่าแก่โบราณ บันทึกไว้ตามแบบพงศาวดารด้วยภาพและตัวอักษรจีน โดยฉบับที่นำมาแสดงนั้นเป็นฉบับก็อบปี้ ที่มีความเหมือนฉบับจริงซึ่งเป็นผ้าฝ้ายทุกประการ ที่ก็คงจะหาดู หาฟังไม่ได้จากสถานที่อื่น    

 

 

สำหรับเรา...การเดินทางครั้งนี้จึงมิใช่แค่การเดินทางอย่างที่เคยเป็นมา หากแต่เป็นการเดินทางที่ทำให้ได้ทำความรู้จักกับบุคคล ได้ทราบเรื่องราวที่น่าสนใจของ 'เผ่าเมี่ยน' ที่ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม และความเป็นเอกลักษณ์ที่จะถูกเล่าขานสืบไปไม่รู้จบ...  

: : ขอขอบคุณ คุณญาณิศา บุตรสาวของ คุณแคะเว่น ผู้ดูแลภูลังการีสอร์ท ที่ได้อนุเคราะห์ข้อมูลและเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เราฟังในครั้งนี้ค่ะ :)  

นอกจากภาพทิวเขากับธรรมชาติอันน่าประทับใจ เรายังได้มิตรภาพจากเพื่อนใหม่กับโปสการ์ดสวยๆ ที่จะทำให้คิดถึงผู้คน เผ่าเมี่ยนและทิวทัศน์ของรีสอร์ทกลางขุนเขา และหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะมีโอกาสกลับมาเห็น "ภูช้างน้อย" อยู่ท่ามกลางสายหมอกดังภาพโปสการ์ด ณ ภูลังการีสอร์ท แห่งนี้อีกครั้ง 

ออกเดินทางออกจากรีสอร์ทมาได้ประเดี๋ยวเดียว ที่โค้งถนนก็เจอกับลานช่างภาพ จุดชมวิวทะเลหมอกของ 'ภูลังการีสอร์ท โซน 3' แวะเก็บภาพไม่นานแล้วไปกันต่อค่ะ  

จากนี้เป็นการเดินทางไปยังจังหวัดน่านโดยใช้ถนนหลวงสาย 1148 เชื่อมเส้นทาง อำเภอปง จังหวัดพะเยากับอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ด้วยระยะทาง 176 กิโลเมตร ถนนเส้นนี้ค่อนข้างดี ตลอดเส้นทางเป็นภูเขาสูงคดเคี้ยวที่มีวิวข้างทางสวยๆ ชวนให้ใจละลายจนต้องจอดรถลงไปถ่ายภาพอีกครั้ง 

 

 

: : จุดชมวิวทะเลหมอก ถ้ำสะเกิน บนอุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน จังหวัดน่าน มีจุดชมวิวข้างทางตรงทางเลี้ยวโค้งพอดี เมื่อมองลงไปเบื้องล่างก็จะเห็นพื้นที่ราบ เป็นแอ่งที่ถูกโอบกอดด้วยภูเขาสูงสลับ ลดหลั่นกัน และแซมไว้ด้วยทุ่งดอกทานตะวันที่เรียกความสดใสให้คืนมาท่ามกลางอากาศที่อุ่นขึ้นของเวลาเที่ยงวัน  

ข้ามไปอีกฟาก เป็นทางเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวที่สูงขึ้นอีกจนมองเห็นถนนหนทางบนเขาที่เรากำลังจะผ่าน ระยะทางอีกนับร้อยกว่ากิโลเมตรดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไรหากมาไกลถึงที่นี่ ซึ่งนับเป็นจังหวัดสุดท้ายของ ทริปเหนือ ที่เริ่มต้นจาก เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และมาบรรจบที่ จังหวัดน่าน

จุดเด่นของถนนสายนี้ คือความงามและหนาแน่นของพันธุ์ไม้ข้างทาง ภูเขาสูงชันที่ค่อยๆ ลดระดับไปเป็นที่ราบ สีเขียวๆ บ่งบอกถึงความร่มรื่นของป่า ต้นไม้ต้นสูงชลูดที่กำลังท้าทายท้องฟ้าเบื้องบน เมื่อนานเข้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทุ่งสีเหลืองทอง 

นับเป็น 'ภาพระหว่างทาง' ที่สะกดสายตา สวยจับใจคนมอง เมื่อสีของมันตัดกับฉากท้องฟ้าที่เป็น...สีฟ้าเข้ม 

 

 

: : จังหวัดน่าน (Nan Province) เมืองล้านนาตะวันออกซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย โดยมีอาณาเขตทางทิศเหนือ และทิศตะวันออกจดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทางทิศใต้จดจังหวัดอุตรดิตถ์ และทิศตะวันตกจดจังหวัดแพร่ พะเยา และเชียงราย 

น่าน เป็นจังหวัดเล็กๆ ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมแบบล้านนา กับคำขวัญที่ว่า... "แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง" 

ปัจจุบันนักเดินทางรู้จัก นครน่าน ในฐานะเมืองที่เต็มไปด้วย เสน่ห์ ทั้งในเรื่องวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ แหล่งโบราณสถาน วัดวาอารามและแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อบนอุทยานแห่งชาติ เป็นอย่างนี้แล้ว ก่อนเดินทางกลับเราก็คงจะต้องพิสูจน์ด้วยการเข้าไปเยี่ยมเยียนเมืองน่านสักหน่อยเช่นกัน :)  

กว่าสองชั่วโมงของการเดินทาง ตอนนี้เรากำลังลงเขาแล้วเข้าสู่ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน กันแล้ว เริ่มสอดส่ายสายตามองหาร้านอาหารเพราะชาวคณะเริ่มหิว งานนี้ดูจะไม่ง่ายนักจนสุดท้ายก็มาแวะกินอะไรง่ายๆ ตอนที่เข้าถึงอำเภอเมืองน่าน 

เราแวะ ร้านไก่ย่างวิเชียรบุรี ร้านอาหารริมทางเล็กๆ ที่ปรุงอาหารอีสาน ทั้งส้มตำ น้ำตก ต้มแซ่บเผ็ดร้อน มาเสิร์ฟได้เร็วทันใจคนหิว มิหนำซ้ำรสชาติก็อร่อย (ไม่ใช่เพราะหิวนะ) ที่สำคัญราคาย่อมเยาว์ (มากด้วย) เริ่มต้นราคาที่ 25 บ. เท่านั้นเอง ร้านนี้แนะนำเลย :)

ปล. ส่วนไส้กรอกอีสาน เป็นของร้านรถเข็นข้างๆ เขาทำเอง ขายเอง รสชาติเปรี้ยวกำลังดีค่ะ 

สำหรับเรา นับเป็นครั้งที่ 2 ของการมาเยือนเมืองน่าน เราเลือกพักที่เดิม ที่นี่ น่านบูติกโฮเทล ซึ่งก็ทำการจองไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกับที่พักอื่นๆ เหนื่อยกันมาหลายชั่วโมงแล้วจะได้ไม่ต้องไปตระเวณหาที่พักด้วย สะดวกใช่ไหมล่ะ :) 

 

: : น่านบูติกโฮเทล (Nan Boutigue Hotel) ตั้งอยู่ในตัวเมือง บนถนนข้าหลวง เป็นที่พักสไตล์บูทิคโฮเทล อาคารเป็นสีไข่ไก่ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นสบายเหมือนบ้านและบริการเป็นอย่างดี บรรยากาศภายในรีสอร์ทร่มรื่น เต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ ดอกไม้ พันธุ์ไม้ต่างๆ เราชอบที่นี่ตรงที่มีต้นไม้กับมีบริเวณให้เดินเล่นนี่ล่ะ  

ส่วนต้อนรับอยู่ในอาคารสองชั้นด้านหน้า ที่มีชั้นบนเป็นห้องพักลักษณะเหมือนโรงแรมทั่วไป เราพักอาคารทางฝั่งซ้ายมือ ห้องจะอยู่ชั้นหนึ่ง ฝั่งนี้จะมีสวนด้านหน้าและมีความเป็นส่วนตัวกว่า

ภายในห้องพักกว้างขวาง (พัก 3 คน ไม่อึดอัด) มีเตียงขนาดคิงไซส์ กับเบาะที่นั่งยาวๆ ที่แปลงสภาพไปเป็นเตียงเสริมได้ (จ่ายเพิ่ม 600 : 1 ท่าน) ส่วนของโต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เย็นพร้อมเครื่องดื่มร้อน น้ำดื่ม ส่วนของห้องน้ำอยู่ด้านในค่อนข้างกว้างและแบ่งไว้เป็นสัดส่วน แบ่งพื้นที่ส่วนเปียกส่วนแห้ง และอ่างล้างหน้า เครื่องเรือนสะอาดสะอ้าน โดยรวมน่าพักเลยล่ะ

ปล. ราคาห้องพักอยู่ในระดับกลางแล้วแต่ช่วงเดือน เราว่าสมราคา เป็นสถานที่ที่น่าพัก แต่อาจจะติดต่อลำบาก สื่อสารยากสักหน่อย แต่เมื่อไปถึงที่พักแล้วบริการดีค่ะ 

"นครน่าน...ตราตรึง" 

ความเหน็ดเหนื่อยทำอะไรพวกเราไม่ได้ (มาก) พักกันประเดียวเดี๋ยวก็ออกมาท่องเมืองน่านได้แล้ว ยามเย็นที่แดดร่มลมตกเหมาะแก่การออกไปชมเมือง เยือนวัด ไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล ที่พลาดไม่ได้ก็คือการไปสักการะวัดเก่าแก่คู่เมืองน่านอย่าง วัดภูมินทร์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไรนัก 

 

 

: : วัดภูมินทร์ (Wat Pumin) อยู่ที่บ้านภูมินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน อยู่ตรงข้ามศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เทศบาลเมืองน่านและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เป็นวัดหลวง สร้างมานานสี่ร้อยกว่าปีแล้วโดยมีโบสถ์และวิหาร สร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน ประตูไม้ทั้งสี่ทิศ แกะสลักลวดลายงดงามโดยฝีมือช่างเมืองน่าน  ภายในมีจิตรกรรมภาพวาดชาดกในพุทธศาสนา และภาพจิตรกรรมอันบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของชาวไทลื้อในสมัยนั้น 

รวมถึงจิตรกรรมฝาผนังเลื่องชื่อ "ภาพกระซิบรัก" ซึ่งเป็นภาพของ "ปู่ม่าน ย่าม่าน"  

วัดภูมินทร์ มีพระอุโบสถเป็นทรงจตุรมุข พระประธานจตุรพักตร์นาคสะดุ้งขนาดใหญ่แห่แหนพระอุโบสถเทินไว้กลางลำตัวนาค ใจกลางประดิษฐานพระพุทธรูป "พระพุทธมหาพรหมอุดมศักยมุนี" ขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ออกด้านประตูทั้งสี่ทิศ

ตามพงศาวดารเมืองน่าน วัดภูมินทร์ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2139 โดยพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองเมืองน่านได้สร้างขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี มีปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือ ว่าเดิมชื่อ "วัดพรหมมินทร์" แล้วเพี้ยนมาเป็นชื่อในปัจจุบัน

ในครั้งนี้เรามีมัคคุเทศน์ตัวน้อยถึง 3 คน คอยแนะนำ เล่าถึงประวัติความเป็นมาและเรื่องราว ความหมายของภาพจิตรกรรมภายในพระอุโบสถแห่งนี้ นอกจากนี้ด้านนอกของวัดมีลานกว้างที่เรียกว่า "ข่วงเมือง" (ภาษาล้านนา) คือ ลานหรือที่โล่ง ซึ่งก็หมายถึง "ลานเมือง" ที่ชาวบ้านใช้ทำกิจกรรมนั่นเอง