เมื่อลมหนาวเริ่มพาดผ่านพร้อมกับสายฝนที่เริ่มเจือจาง
กลิ่นไอดินและสายหมอกของขุนเขาสีเขียวจับตัวเข้ามาอยู่ในความรู้สึกคิดถึง
บนเส้นทางสายเดิมที่ยังอยู่ในความทรงจำประหนึ่งเมื่อครั้งวันวาน
ที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจและกลับมายืนบนเส้นทางสายนี้อีกครั้ง “ภูลังกา - ปัว”
อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางในแบบฉบับของผม ม่วงมหากาฬLIFE FOR TRAVEL https://www.facebook.com/PEESAT.PANTIP
บันทึกการฉบับนี้เริ่มต้นที่ จ.เชียงรายสู่สนามบินแม่ฟ้าหลวง
ยามนี้ทุ่งนาเขียวขจีเหนือน่านฟ้าเชียงราย
สร้างความรู้สึกสดชื่นตั้งแต่ก้าวแรกของการเดินทาง
หน้าต่างบนฟ้าที่นำพาผมมายังดินแดนเหนือสุดในสยาม
ความแตกต่างของวันนี้เข้ากันกับฤดูกาลปลายฝนต้นหนาว
ที่เลือกมาลงเชียงรายแทนที่น่านเพราะอยากไปสัมผัสเส้นทางสีเขียวของ อ.เชียงคำ จ.พะเยา
ผมเคยมาเส้นทางนี้ครั้งหนึ่งในฤดูร้อน แต่ก็ยังมีเค้าโครงของความสวยงาม
ทำให้เลือกมาในฤดูกาลนี้ วันนี้ วันที่น่าจะสวยสดชื่นที่สุด
จากสนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ผมใช้เส้นทางไปยัง อ.เทิง – อ.เชียงคำ เมื่อมุ่งหน้าสู่ภูลังกาตามแผนที่ครับ
ทุ่งนา อ.เชียงคำ เส้นทางไปยังภูลังกายามนี้เขียวขจี
น้ำค้างบนยอดข้าวยามเช้าทำให้รู้สึกสดชื่นสบายตาสบายใจ
มิตรภาพและรอยยิ้มหาได้ไม่ยากจากการเดินทาง
คุณยายชาวนาส่งรอยยิ้มทักทายมาแต่ไกลท่ามกลางทุ่งนาที่งดงาม
เค้าโครงของความสวยงามในฤดูร้อนกับวันนี้ที่เข้าสู่ปลายฝนต้นหนาว
ความงดงามไม่ได้ผิดไปจากที่คิดไว้จริงๆ เมื่อรวมเข้ากับรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ
เป็นเรื่องราวของการเดินทางที่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ
ชั่วโมงเศษจากเชียงคำลัดเลาะไปตามขุนเขาผ่านหมู่บ้านทุ่งนา
เส้นทางราดยางค่อนข้างดี ผ่านทางขึ้นวนอุทยานแห่งชาติภูลังกา
จนมาถึงจุดชมวิวมหาชนด้านหน้าภูลังการีสอร์ท
สายหมอกที่ชโลมขุนเขาในยามเช้าของวันนี้
สร้างความรู้สึกที่แตกต่างจากครั้งก่อนที่ได้มาเยือนบนความสุขที่ได้ยืนมอง
ใครคนหนึ่งเคยถามผมว่าที่นี่มีวิวแค่ตรงนี้เท่านั้นเหรอ
ผมมักตอบกลับไปเสมอว่า “ก็มีแค่ตรงนี้แหละ”
แท่งภูเขาหินปูนที่ตั้งโด่อยู่ตรงกลางรายล้อมด้วยขุนเขารูปทรงแปลกตา
และก็เป็นแท่งหินปูนนี่แหละที่สร้างความรู้สึกประทับใจ
จนต้องกลับมาเยือนอีกครั้ง
แต่จริงแล้วในความรู้สึกของผมในครั้งก่อนที่ได้มาเยือน
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของขุนเขา เส้นทาง ความเงียบสงบ และสายหมอก
ได้หล่อหลอมรวมกันให้ดินแดนแห่งนี้มีเรื่องราวที่น่าประทับใจมากกว่าแท่งหินอย่างเดียว
ในยามเช้าที่ชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปทำสวนไร่นา
เดินจูงวัวควายอยู่ริมทางพร้อมกับส่งรอยยิ้มทักทาย
สิ่งเหล่านี้คือมนต์เสน่ห์ที่ช่วยเสริมให้ดินแดนแห่งนี้มีแต่ความรู้สึกประทับใจ
บ้านพักของภูลังการีสอร์ทในรูปแบบที่ไม่ได้หรูหราในราคาหลักร้อย
มีมุ้งไว้กาง มีน้ำอุ่น ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม มีสัญญาณเน็ต มีสัญญาณโทรศัพท์
มีอาหารขาย และมีรอยยิ้มแบบเป็นกันเองของพี่ที่ดูแลรีสอร์ท
ตัวบ้านทำด้วยไม้ในแบบธรรมดาแต่ที่สำคัญมีระเบียงแห่งความสุขที่ยื่นออกไปชมวิวทิวทัศน์
มีคนเคยถามผมว่าถ้าเราไม่ได้ไปพักที่รีสอร์ทจะถ่ายรูปวิวนี้ได้ไหม
ริมทางหลัก 1148 สามารถแวะถ่ายรูปได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าพักครับ
เช้าๆ แบบนี้ก็มีนักท่องเที่ยวที่ขับมอเตอร์ไซค์มาจอดแวะถ่ายรูปกันตลอดเวลา
เรียกว่าถ้าใช้เส้นทาง 1148 จากอำเภอเชียงคำไปยังจังหวัดน่านก็ต้องผ่านจุดนี้
จุดที่เป็นเสมือนรอยต่อพรมแดนของจังหวัดพะเยาและจังหวัดน่าน
ดอกไม้เบ่งบานเคล้าไปกับสายหมอกที่ยังมีน้ำค้างปะพรม
ช่วงเวลาดีๆ แบบนี้อยากจะอยู่ตรงนี้ให้นานที่สุด
นอกจากที่พักอย่างภูลังการีสอร์ท มุมนี้ยังเป็นของที่พักที่ชื่อว่า บ้านทะเลหมอก
มีมุมสวยๆ ดอกไม้หลากสีสันให้ได้เก็บภาพความประทับใจโดยมีฉากหลังเป็นแท่งภูเขาหินปูนมหาชน
สำหรับดินแดนแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นภูลังกาหรือเส้นทางสายนี้
คงเป็นฤดูกาลต่อจากนี้ที่เหมาะสมที่สุดในการมาเยี่ยมเยือนจวบจนปลายฤดูหนาว
แต่ใช่ว่าจะเจอทะเลหมอกทุกครั้ง อย่างผมที่มาครั้งนี้เป็นครั้งที่2 ก็ยังไม่ได้เชยชมทะเลหมอก
ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะมีทะเลหมอกแทบทุกวัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและดวงผสมเล็กน้อย
จากภูลังกาผมใช้เส้นทางต่อไปยังจังหวัดน่าน
บนถนนสาย 1148 เป็นอีกเส้นทางที่ผมประทับใจและกำลังจะย้อนรอยในวันวานที่เคยได้มาเยือน
ดอกไม้ริมทางที่ดูไร้ค่าก็อาจสวยในสายตาของคนที่กำลังมีความสุข
เรื่องราวต่างๆ บนเส้นทางสายนี้กำลังค่อยๆ ผุดขึ้น
เมื่อผ่านจุดที่ยังอยู่ในความทรงจำ ในวันวานที่เคยได้มาเยือน
"พ่อหนุ่ม มาแอ๋วก๊ะ? หน้าฝนจะเขียวงามขนาด หมอกจะนักกว่านี้แหม"
ผมยังจำรอยยิ้มและคำทักทายของคุณลุงข้าวโพดได้อย่างแม่นยำ
ชายสูงวัยที่กำลังง่วนในการทำอะไรซักอย่างกับไร่ข้าวโพดอยู่ริมทางหลักตรงนี้
"ครับลุง เดี๋ยวหน้าฝนผมจะมาเยี่ยมใหม่ครับ" ผมตอบคุณลุงพร้อมรอยยิ้ม
แล้ววันนี้ผมก็กลับมายืนที่เดิมอีกครั้งในฤดูฝนต้นหนาว เหมือนเมื่อครั้งก่อนที่ผมมาในเดือนเมษา...แต่ไม่เจอคุณลุง อยากบอกว่ามันเขียวและมีหมอกเยอะเหมือนที่คุณลุงบอกไว้จริงๆ ครับ และผมกลับมาตามสัญญาแล้วนะครับคุณลุงข้าวโพด
ความแตกต่างระหว่างฤดูกาลมองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม
แม้ในยามนี้ไร่ข้าวโพดได้เก็บเกี่ยวลงไปหมดแล้ว
เหลือไว้แต่ตอต้นที่แห้งเหี่ยว แต่ความเขียวสดชื่นโดยทั่วไปก็ยังคงมีอย่างเต็มเปี่ยม
นานๆ ครั้งจะมีรถวิ่งผ่านไปมาซักคัน ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไร่ชาวนาที่มาเพาะปลูกอยู่ริมทาง แต่ความเขียวสดชื่นโดยทั่วไปก็ยังคงมีอย่างเต็มเปี่ยม
การที่ได้มาครั้งแรกเพื่ออยากรู้อยากเห็น การมาครั้งที่สองคือชอบและประทับใจ
การมาในอีกหลายๆ ครั้งถัดไปคงเพราะหลงรัก และผมกำลังมีความรู้สึกว่าอยากกลับมาอีกหลายๆ ครั้ง
จุดชมวิวอุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน ตั้งอยู่ริมทางบนถนนสายนี้
ห่างจากภูลังกาออกมาราว 10 กิโลเมตร
เป็นจุดชมวิวริมทางที่ทำให้ผมตื่นเต้น
และสวยงามในความรู้สึกจนต้องแวะเก็บภาพความประทับใจ
ทะเลหมอกที่ท้วมท้นขุนเขาบนความสูงชัน
จนไม่อยากเชื่อว่าความงดงามแบบนี้จะอยู่แค่เพียงริมทางหลัก
นี่แหละคือมนต์เสน่ห์ของจังหวัดน่านที่ทำให้ผมหลงรัก
“น่าน” ที่มีเรื่องราวระหว่างทาง และจุดหมายปลายทางที่งดงามเสมอ จุดชมวิวเล็กๆ แต่กลับยิ่งใหญ่อลังการในความรู้สึกของผู้มาเยือนจากแดนไกล
ราวกั้นที่ดูผุพัง เพิงพักที่ทรุดโทรมตามกาลเวลา
กับวิวทิวทัศน์ทะเลหมอกที่อยู่เบื้องหน้าก็ดูเข้ากันในแบบเรียบง่าย
จริงๆ แล้วจุดชมทะเลหมอกตรงนี้จะอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน
แต่ที่ทำการจะอยู่ห่างออกไปพอสมควร บางทีถ้ามีการทำนุบำรุง มีเจ้าหน้าที่ดูแล
ตรงจุดนี้น่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากทีเดียว
ผมแวะเก็บบรรยากาศอยู่นานพอสมควร ก็ยังพอมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปมาอยู่เรื่อยๆ
ถ้าเปลี่ยนเอาจุดนี้ไปอยู่ภาคกลาง หรือเปลี่ยนเป็นการเดินทางที่สะดวกสบาย
น่าจะมีผู้คนมารอชมทะเลหมอกกันไม่น้อยทีเดียว
เส้นทางที่ทอดยาวในฤดูกาลที่ยังเขียวสดชื่น
ยามเข้าฤดูหนาวอย่างเต็มตัว ความเขียวจะลดลงแต่ไม่เคยห่างหายซึ่งความสวยงาม
ก้าวย่างแรกสู่ อำเภอปัว จังหวัดน่าน รู้สึกดีใจที่ได้กลับมาเยือนอีกครั้ง
ความทรงจำ ความประทับใจดีๆ ไม่เคยห่างหายไปไหน
ทุ่งนายามนี้เริ่มเหลืองทองใกล้ที่จะเก็บเกี่ยวกันแล้ว
บางช่วงก็ยังคงเขียวขจีอยู่ โดยมีดอยภูคาเป็นกำแพงฉากหลังที่ยิ่งใหญ่
อำเภอปัวในความทรงจำที่มีแต่รอยยิ้มมิตรภาพ ความเป็นอยู่และวิถีชีวิตที่เรียบง่าย
เส้นทางที่ลัดเลาะผ่านหมู่บ้านยังคงความเขียวขจีของทุ่งนาตลอดสองข้างทาง
รวมไปถึงเส้นทางสู่ดอยภูคาที่สองข้างทางเขียวสดชื่น เส้นทางที่คดไปมายังคงเหมือนเดิม
ที่เพิ่มเติมคือความทรงจำที่งอกงามมากขึ้น
ขุนเขาที่ยิ่งใหญ่ยังคงความเขียวตลอดสองข้างทางสู่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
บนเส้นทางสายปัว-บ่อเกลือ ที่ยังคงมีเรื่องราวให้เราได้เที่ยวชม
ขุนเขาสูงเสียดฟ้า ดอกชมพูภูคางามเด่น
นมัสการเจ้าหลวงภูคา และแวะหาซื้อเกลือภูเขาเป็นของฝาก
การเดินทางในครั้งนี้เป็นอีกบทบันทึกของความประทับใจ
ตลอดระยะทางกว่า 250 กิโลเมตรจากเชียงรายถึงอำเภอปัว ที่สองข้างทางมีแต่ความเขียวสดชื่น
จุดหมายปลายทางไม่ได้สำคัญว่าจะเป็นที่เดิม
หากแต่เป็นแง่มุมใหม่ๆ ในการมองสิ่งรอบตัวเสียมากกว่า
ขอบคุณทุกท่านที่เดินทางไปกับผม แล้วพบกันใหม่ในบันทึกการเดินทางครั้งต่อไป สวัสดีครับ
อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางในแบบฉบับของผม ม่วงมหากาฬLIFE FOR TRAVELhttps://www.facebook.com/PEESAT.PANTIP