Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
 
ภูบักได "High Risk High Return" ภูบักได จ.เลย
    • Posts-1
    Backpackergraphy •  November 20 , 2016

    ภูบักได

    สวัสดีพ่อแม่พี่น้องชาว TripPacker ทุกท่านครับ

    https://backpackergraphy.com/

    ทริปนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ Trekking และ Camping ครั้งแรกของผม ณ ภูบักได อ.ภูเรือ จ.เลย

    "High Risk High Return" ขอใช้เป็นคำเปรียบเปรยทริปนี้ของผม เพราะเป็นทริปการเดินป่าและกางเต๊นท์บนเขาทริปแรกในชีวิต เพราะปกติจะเน้นเที่ยวแบบสบายๆชิลๆตามโรงแรมหรือรีสอรืทมากกว่า ดังนั้นทริปนี้จึงเป็นการออกจากโซนสะดวกสบายในการท่องเที่ยวซึ่งตัดสินใจนานพอสมควร เพราะรีวิวที่อ่านมาเกี่ยวกับภูบักไดนั้น "ทากคลั่ง" "ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีประปา ไม่มีห้องน้ำบนภู" "ไม่มีลูกหาบ" เป็นต้นฯ แต่สุดท้ายเมื่อเรากล้าเอาชนะความกลัวและความขี้เกียจของตัวเองได้ เราก็จะได้พบกับรางวัลที่แสนประทับใจที่รอเราอยุ่ที่จุดหมายปลายทาง ผมจึงขอใช้คำว่า "High Risk High Return" สำหรับทริปนี้

    ภูบักไดชื่อนี้มาได้ยังไง???? มนเสน่ห์หนึ่งอย่างเมื่อเราท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆนั้นก็น่าจะเป็นประวัติและความเป็นมาของสถานทีนั้นๆ ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวคิดว่าถาม10คนอาจได้คำตอบไม่เหมือนกันสักคน โดยจากการถามพี่คนนำทางที่เป็นคนพื้นที่ ได้ความว่าในสมัยที่ประเทศไทยยังมีการรบกับพรรคคอมมิวนิสแห่งประเทศไทยนั้น กองกำลังคอมมิวนิสได้ขึ้นมาตั้งฐานปฎิบัติการด้านบนภูแถวๆนั้น จนชาวบ้านไม่แน่ใจว่าภูแถวนั้นเป็นพื้นที่ของทหารรัฐบาลหรือของกองกำลังคอมมิวนิสกันแน่ พี่จ่อยคนนำทางได้กล่าวไว้ 

    ส่วนที่ว่าใครเป็นคนค้นพบสถานที่เที่ยวแห่งนี้ไม่แน่ชัดนัก แต่พี่จ่อยเล่าคราวๆว่า แต่ก่อนแถวนี้เป็นภูเขาหัวโล้นและทางปตท.ได้เข้ามาบุกเบิกในการปลูกป่า ทำให้มีการทำทางดินขึ้นไปสำรวจยังภูเขาแถวๆนั้น เลยเป็นการเริ่มบุกเบิกจนพบภูบักไดและหินหลอกลวง ส่วนผู้ที่ริเริ่มในการท่องเที่ยวโดยชุมชนนั้นก็คือพ่อกำนันที่ปัจจุบันก็ยังคงขึ้นๆลงๆภูบักไดอยู่เป็นประจำ คำพูดนึงที่ทำให้ผมประทับใจมากในแนวความคิดของชาวบ้านที่นี้คือ "เราจะปลูกป่าไปพร้อมกับทำท่องเที่ยวไปด้วย" พี่จ่อยกล่าว.....

    ภูบักไดตั้งอยู่ใน อ.ภูเรือ ก็จริงครับ แต่ที่ตั้งภูบักไดจริงๆแล้วเป็นพื้นเดียวกันกับเขตรักษาพันธุ์รักษาภูหลวงครับ 

    ปล.บางท่านอาจสงสัยว่าทริปแรกทำไมของจัดเต็มขนาดนี้ ขออกตัวก่อนว่าพวกอุปกรณ์ถ่ายภาพนั้นมาจากงานอดิเรก เครื่องแต่งกายและเป้มาจากตอนไปเที่ยวต่างประเทศ มีแต่เตีนท์กับไม้เท้าที่ซื้อเพื่อทริปนี้โดยเฉพาะครับ....

    พูดนำมามากแล้ว มาเริ่มไปภูบักไดกันเลยดีกว่า

    ทริปนี้รวมทีมกันได้10คน เหมารถตู้จากจังหวัดนครราชสีมา จุดหมายปลายทางอยู่ที่ ตำบลปลาบ่า อ.ภูเรือ จ.เลย โดยแวะแวะเที่ยวรายทางบ้างประปราย

    "เอ้าขนกระเป๋าและเสบียงขึ้นรถกันได้แล้ว"

     

    ล้อหมุนประมาณเวลา 00.30 นาฬิกา โชคดีที่ผมได้นั่งหน้าสุดคู่คนขับทำให้ได้มีโอกาสเก็บภาพตามทางที่รถวิ่งผ่านมาบ้าง พี่คนขับก็ใจดีมีหยุดรถแล้วปลุกให้ขึ้นมาถ่ายรูปด้วย ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงในรถตู้อันแสนหนาวเหน็บ พวกเราก็มาถึงยังอำเภอภูเรือ จังหวัดเลยกันแล้ว

    "บรรยายกาศบนรถ เวลาประมาณตี3 หมอกลงจัดมากและหนาวมากด้วยเช่นกัน"

     

    "รถเข้าสู่เขตอ.ภูเรือ เราก็ต้องอ้าปากค้างกับวิวทะเลหมอกที่สามารถมองได้จากบนรถ"

     

    "ทางเข้าไปยังตำบลปลาบ่าจะอยู่ตรงข้ามกับทางขึ้นไปภูเรือครับ"

     

    รถมาจอดพักยังปั๊มน้ำมันประมาณเวลา 06:00 น. โดยทุกคนตกลงกันว่าจะหาอะไรทานกันก่อน เพื่อนในทีมจึงเสนอมาว่าไปทานที่ตลาดสดเทศบาลภูเรือกัน โดยตลาดสดจะอยู่ติดกับทางขึ้นภูเรือเลย ใกล้ๆกันนั้นยังมีร้านสะดวกซื้ออีกด้วย ขาดเหลืออะไรก็แวะซื้อได้ก่อนขึ้นภูบักได

    "ร้านนี้น่าจะขายดีสุดในตลาด คนต่อคิวเยอะมากผมเลยตัดสินใจไปสั่งผัดซีอิ๋วร้านข้างๆทานแทน" 

     

    "ข้าวมื้อแรกที่อ.ภูเรือ ราคา40บาท รสชาติใช้ได้ครับ"

     

    หลังจากอิ่มกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปต่อกันที่น้ำตกปลาบ่าและน้ำตกสองคน ซึ่งเป็นน้ำตกที่อยู่ระหว่างทางก่อนถึงชมรมเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลปลาบ่า โดยน้ำตกปลาบ่าจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆหาง่าย ในGoogle Mapก็มี

    "น้ำตกปลาบ่า น้ำเยอะและแรง แต่ก็มีที่ให้ลงเล่นน้ำซึ่งอยู่บริเวณต้นน้ำ"

     

    "ระหว่างที่ผมกำลังถ่ายรูปน้ำตกอยู่ ก็มีมอเตอร์ไซต์คันนึงขับลุยน้ำผ่านไปแบบชิลๆ เล่นเอาผมงงจนจับภาพเกือบไม่ทัน"

     

    "น้ำตกสองคอน เล่นเป็นสไลด์เดอร์ได้เลย เพราะผมและเพื่อนๆลื่นกันแทบทุกคน ใครไปเยี่ยมชมก็เดินกันดีๆนะครับ กล้องผมเกือบลอยไปกับน้ำตอนลื่นล้ม"

    หลังจากนั้นเปียกน้ำกันพอเป็นพิธีแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปต่อกันที่โครงการเกษตรที่สูงภูเรือ ซึ่งจะอยู่เลยทางเข้าชมรมส่งเสริมท่องเที่ยวโดยชุมชนฯไปอีกเล็กน้อย โดยนอกจากจะเข้าเยี่ยมชมแล้วยังสามารถพักค้างแรมที่โครงการได้ด้วย โดยทางโครงการมีลานกางเต๊นท์คอยให้บริการ

    "โครงการเกษตรที่สูงภูเรือ"

     

    "โครงการเกษตรที่สูงภูเรือ"

     

    เดินชมดอกไม้ถ่ายรูปเล่นได้สักพัก ก็ถึงเวลาขึ้นรถตู้ไปยังจุดหมายปลายทางของเราในครั้งนี้คือ "ภูบักได" ซึ่งเราได้นัดหมายกับทางชุมชนไว้ที่เวลาเที่ยง โดยเมื่อไปถึงที่ทำการชมรมแล้วเราจะพักทานข้าว โดยกับข้าวที่เราเตรียมมาเอง และเตรียมของเตรียมตัวกัน ก่อนที่จะเริ่มเดินทางโดยรถอีแต๊กขึ้นสู่ภูบักได

    "ป้ายที่ทำการโดดเด่นชัดเจน โดยที่ทำการชมรมใช้บ้านของพ่อกำนันเป้นที่ทำการ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการห้องน้ำและห้องอาบน้ำได้ที่บ้านของกำนันทั้งก่อนขึ้นและหลังจกลงภูมาแล้ว"

     


    "ป้ายลงคิวจองขึ้นภูบักได ตอนนี้มีจองถึงปลายเดือนธันวาคมแล้ว แต่ยังไม่เต็ม โดย1วันจำกัดนักท่่องเที่ยวขึ้นภูอยู่ที่40คน หรืออาจจะมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับชมรมด้วยว่าจะหาคนนำทางและรถอีแต๊กให้ได้มั้ย"

     

    "เตรียมตัวนั่งรถอีแต๊กขึ้นไปยังจุดเริ่มต้นเดิน"

     

    จากที่ทำการชมรมไปยังจุดเริ่มเดิน นั่งรถอีแต๊กใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงทางค่อนข้างขรุขระและสูงชันเป็นระยะๆ มีบางช่วงคนขับต้องหยุดรถเพื่อคล้องโซ่ที่ล้อเนื่องจากทางเป็นโคลน บางช่วงต้องลงมาเอาจอบตีหินให้แตกเนื่องจากรถไม่สามารถปีนข้ามไปได้ บางช่วงคนขับบอกให้คนที่นั่งหน้าลงไปคนนึงเนื่องจากรถหนักไม่สามารถปีนขึ้นทางชันได้ โดยระหว่างทางจะมีสถานีป้องกันไฟป่าและเพาะชำกล้าไม้ของปตท.ที่สร้างไว้ให้กับชาวบ้าน ซึ่งจะเป็นอีก1จุดพักสามรถลงมาเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตากันก่อนนั่งรถอีแต๊กต่อไปยังจุดเริ่มเดิน

    "สภาพทางค่อนทางขรุขระและสูงชันตามสภาพของภูเขา"

     

     "นั่งรถลุยโคลนก็มา นึกว่ามาเที่ยวแบบoff road"

     

    "ถึงทางจะขรุขระและยากลำบาก แต่วิวข้างทางสวยจนลืมลำบากกันเลยทีเดียว"

     

    "เส้นทางที่รถอีแต๊กใช้ขับขึ้น-ลงภู"

     

    "วิวระหว่างทางตอนนั่งรถอีแต๊กครับ"

     

    "วิวจากสถานีป้องกันไฟป่า"

     

    "รถอีแต๊กที่ใช้รับส่งเราขึ้น-ลงภู หน้านั่งได้2คน หลังวางสัมภาระและนั่งได้อีก3คน 1คันนั่งได้5คน"

     

    "รถติดหินปีนขึ้นไม่ไหว พี่คนขับจึงต้องลงมาตีหินให้แตกก่อนจะไปต่อกันได้"

     

    หลังจากล้างหน้าล้างตาและพักชมวิวที่สถานีป้องกันไฟป่ากันแล้ว ก็ออกเดินทางกันต่อไปยังจุดเริ่มเดิน โดยใช้เวลาซักพักรถก็มาจอดยังตีนเขาที่เราจะต้องไต่ขึ้นไป

    "สมาชิกทีมที่จะขึ้นไปบนภูบักได ในรูปไม่มีผมนะเพราะผมเป็นคนถ่ายภาพนี้เอง"

     

    "ไปครับเริ่มเดินกัน Trekking Campingครั้งแรกในชีวิต ยอมรับแบบแมนๆเลยว่ากลัวน้อง"ทากุ"มาก เลยจัดเต็มแบบนี้ สุดท้ายไม่รอดบริจาคเลือดให้ไป2ตัว ข้อมือซ้ายและขวาข้างละตัว น่าจะโดนตอนล้มรู้ตัวอีกทีเลือดสาดอยู่ที่แคมป์แล้ว หลังจากนั้นหายกลัวเป็นปลิดทิ้ง"

     

    โดยพี่คนขับจะทำหน้าที่เป็นคนนำทางและช่วยถือเสบียงและสัมภาระส่วนกลางให้เราด้วย โดยช่วงแรกต้องไต่เขาเป็นระยะทาง200เมตร ชันประมาณ60องศาขึ้นไปยังต้นไปด้านบนซ้าย ทางค่อนข้างลื่นและแคบมีบางช่วงต้องไต่หินขึ้นไป และ ณ จุดจุดนี้น้องๆทากจะเริ่มาตอนรับเรากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อเดินถึงด้านบนสุดจะเป็นลานกว้างให้แวะพัก ก่อนออกเดินทางราบต่ออีกประมาณ3กิโลเมตร โดยรวมเวลาทั้งหมดตั้งแต่ไต่เขาจนถึงเดินทางราบจะใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมงจะถึงลานกางเต๊นท์

     "วิวจากลานหญ้าด้านบน"

     

    ถึงชื่อจะบอกว่าเป้นทางราบระยะ3กิโลเมตรก็จริง แต่ๆขึ้นชื่อว่าป่าเขายังไงก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ตลอดเวลา3กิโลเมตรนั้นทางเดินค่อนข้างลำบากเพราะเป็นทางที่วัวที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ใช้เดิน เป็นโคลนสลับกับลานหญ้าและเนินหญ้า เนินหินเป็นช่วงๆ ช่วงลานหญ้าก็สามารถหยุดพักถ่ายรูปเล่นได้ แต่ก็หยุดได้ไม่นานเพราะว่าตรงหญ้านั้นแหละดงน้องทากเลย ยืนถ่ายรูปแปบเดียว ขึ้นมาข้างละ4-5ตัว ตัวใหญ่ๆโตๆทั้งนั้น ถ้าจะหยุดพักให้พักบนเนินที่เป็นหิน

    "ทางเดินด้านบนภูบักได พลาดลื่นล้มกันตรงนี้ก็หลายคน"

     

    "ลานนี้เรียกว่าลานฟ้าผ่า ชื่อนี้ได้มากจากต้นไม้ในรูปที่โดนฟ้าผ่าใส่ วิวสวยอากาศดีทากเยอะ"

     

    "ลานหญ้าก่อนถึงจุดกางเต๊นท์ รูปนี้ท้ายตอนกลับ เพราะค่าขึ้นไม่มีแรงยกกล้อง"

     

    เลยเนินหญ้าจากรูปด้านบนไปก็จะเป็นลานกางเต๊นท์และจุดชมวิว ซึ่งหลังจากนี้ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะต้องรีบกางเตีนท์แล้วรีบเดินไปยังจุดชมวิวรอถ่ายพระอาทิตย์ลับสันเขา

    "กางเต๊นท์เสร้จแล้ว รีบไปจองที่ถ่ายรูปดีกว่า"

     

    "พระอาทิตย์ตกดิน ณ ภูบักได"

     

    "พระอาทิตย์ตกดิน ณ ภูบักได"

     

    "ถ่ายรูปเล่นช่วงพระอาทิตย์ตก"

     

    "ถ่ายรูปคู่กับหินหลอกหลวงตอนพระอาทิตย์ตก"

     

    "แสงเย็น ณ จุดชมวิวภูบักได"

     

    "แสงเย็น ณ จุดชมวิวภูบักได"

     

    หลังจากถ่ายรูปเสร็จเพื่อนก็เดินมาตามไปทานข้าว โดยพี่คนนำทางจะกางฟลายชีทให้ก่อไฟให้ มื้อนี้ทานสุกี๊แก้หนาวกัน หลังจากนี้ขอตัดภาพไปตอนเช้าเลยนะครับ เพราะกินเสร็กก็หลับตั้งแต่1ทุ่ม ตื่นอีกที4ทุ่มมาเปลี่ยนเสื้อใส่เสื้อกันหนาวแล้วนอนต่อ เสียดายไม่ได้ถ่ายทางช้างเผือกเพราะต้องเก็บแรงไว้ถ่ายทะเลหมอกตอนเช้า

    "บรรยายบนลานกางเต๊นท์ภูบักได้ตอนเช้า อากาศเย็นและลมค่อนข้างแรง"

     

    "เช้าแล้วตื่นมาถ่ายทะเลหมอกกัน ชุดจัดเต็มเพราะไม่ได้เอาถุงนอนมา เสื้อเอาอยู่แต่ขาหนาวมาก ถุงเท้า3ชั้นยังเอาไม่อยู่ รูปนี้ขาตั้งกล้องและรีโมทช่วยในการถ่าย เพราะตั้งเวลาแล้ววิ่งคงไม่ทันอาจพลาดตกหินลงมาเจ็บอีก"

     

    "ทะเลหมอกมาแล้ว ครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัสทะเลหมอก"

     

    "มีผ้าพันคอเป็นพร็อตถ่ายรูปด้วย เก๋ดี "

     

    "เอ้า 1-2-3 โดด!!!!! คนถ่ายแอบเสียวสันหลังแทนเล็กๆ"

     

    "ทะเลหมอกบนภูบักได สวยไม่แพ้ที่ไหนๆ"

     

    "ทะเลหมอกบนภูบักได สวยไม่แพ้ที่ไหนๆ"

     

    "แบบนี้สินะเค้าถึงเรียกว่าทะเลหมอก มีเกาะกลางหมอกด้วย"

     

    หลังจากเก็บรูปทะเลหมอกเสร็จแล้ว เพื่อนก็เดินมาตามให้ไปเก็บเต๊นท์และทานข้าวเช้า ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ยังลีลาอยู่ถ่ายรูปเล่นอยู่อีกสักพัก ทำให้ลงไปเก็บเต๊นท์เสร้จก็ทานข้าวไม่ทัน เลยต้องอาศัยขนมปังที่พักขึ้นมาด้วยทานเพิ่มพลังเพื่อเดินลงแทนข้าวเช้า ขาลงแวะผ่านหินหลอกหลวงซึ่งเป็นไฮไลท์ของภูบักได เลยแวะเก็บภาพเป็นที่ระลึกซะหน่อยโดยยืนกล้องให้เพื่อนช่วยถ่ายให้

    "หินหลอกลวงคือไฮไลท์ของภูบักได"

     

    หลังจากนั้นก็เดินลงภูไปยังจุดจอดรถอีแต๊กกันซึ่งขาลงจะใช้เวลานานกว่าขาขึ้น ต้องตอนเดินลง และนั่งรถลง

     "เริ่มเดินลงกันแล้ว ที่เห็นในภาพคือพี่คนขับรถ(คนนำทาง)"

     

    "วิวขาเดินลงจะได้อีกอารมณ์ อีกมุมมองจากขาขึ้น"

     

    "ขาลงภู ก็ยังต้องเดินขึ้นนะ"

     

    "พอลงมาถึงลานจอดรถอีแต๊ก ก็ขอเก็บภาพวันฟ้าใสไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย"

     

    "นั่งรถกลับละครับ เค้าว่ายิ่งกล้าเลอะ ยิ่งเยอะประสบการณ์ จริงมั้ยครับ"

     

    เราเริ่มเดินจากลานกางเต๊นท์ลงมายังลานจอดรถอีแต๊กท์ตั้งแต่ 08:00 น. ถึงที่ทำการชมรมฯประมาณ 11:30น. ทุกคนก็จัดการธุระส่วนตัว อาบน้ำ เก็บของ ทานข้าว แล้วเราก็ต้องโบกมือลาภูบักไดเพื่อนเดินทางกลับบ้านกัน

    "ขอปิดท้ายด้วยรูปที่ถ่ายคุ่กับพี่จ่อย คนขับรถ คนนำทาง คนแบกของ พี่เลี้ยงและครูที่สอนวิชาเดินลงทางชันให้ผม"

     

    --------

    สรุปข้อมูลคราวๆครับ

    แหล่งท่องเที่ยวภูบักได บริหารและจัดการโดยชุมชน ต้องโทรจองและแจ้งจำนวนคนก่อนขึ้นไป โดยจำกัดจำนวนคนอยู่ที่ไม่เกิน 40คนต่อวัน แต่พื้นที่จริงๆรับได้มากกว่านั้น

     

    จากชุมชนขึ้นรถอีแต๊กผ่านทางขรุขระทุรกันดารไปยังจุดเริ่มเดิน ทางน้องๆoff roadใช้เวลาประมาณ 2ชั่วโมง(วิวสวยไม่มีเบื่อ)

     

    ไต่ขึ้นทางชันประมาณ 200เมตร และเดินทางราบ(มีเนินชัน เนินหินเป็นพักๆ) ประมาณ3กิโลเมตร จะถึงลานกางเต๊นท์ ใช้เวลาเดินประมาณ1ชั่วโมง (ทางราบก็ไม่ได้เดินสะดวกเท่าไหร่ เพราะใช้ทางวัวทางควายเดิน ส่วนใหญ่เป็นโคลน ลื่นกันมาหลายคนแล้ว)

     

    ทากเยอะตามคำเล่าลือครับ ช่วงนี้มีทะเลหมอกแล้ว อากาศตอนเช้ากำลังดี แต่ตรงใกล้ๆจุดชมวิวไม่แนะนำให้กางเต๊นท์เพราะลมแรงมาก คนนำทางบอกว่าขนาดวางกระเป๋าไว้ในเต๊นท์ เต๊นท์ยังขยับถ้าไม่ปักสมอบก

     

    ข้างบนภูไม่มีห้องน้ำ ไฟฟ้า หรือประปา ขาลุยน่าจะชอบ แต่ใช้บริการห้องน้ำได้ที่ที่ทำการชมรมทั้งก่อนและหลังขึ้น (มีห้องน้ำ2ห้อง ห้องอาบน้ำ2ห้อง)

     

    เต๊นท์ แผ่นรองนอน ถุงนอนมีให้เช่า แต่สภาพก็ตามการใช้งานครับ ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ นำไปเองได้โดยคนนำทางจะช่วยแบกพวกเต๊นท์และเสบียง

     

    มีถุงกันทากขายที่ที่ทำการชมรม คู่ละ25บาท (เหมือนถุงน่องมากกว่า)

     

    พิกัดชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลปลาบ่า
    https://goo.gl/maps/Ji4zyp3BA172

    พิกัดลานกางเต๊นท์ภูบักได(อันนี้ยังไม่คอนเฟริมร์นะครับ แต่ผมMarkไว้ก่อน ถ้าใครมีข้อมูลมาช่วยยืนยันจะเป็นพระคุณมากครับ)
    https://goo.gl/maps/ERwAv5mpK2L2

     

    ข้อมูลการติดต่อเพื่อจองคิวขึ้นภูบักไดอยู่ในรูปด้านบนครับ

     

    โทร:087-8662648 / 095-7013139

    ชมรูปในทริปนี้และทริปอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่
    https://www.facebook.com/BackpackergraphyViewfinder/

    แบ่งปันเรื่องราวการท่องเที่ยว การเดินทาง ที่พัก อาหารการกินได้ที่
    https://www.facebook.com/Backpackergraphy/

     

    • Posts-2
    Backpackergraphy •  November 21, 2016