สวัสดีค่ะ เราเพิ่งกลับจากไปเที่ยวที่ภูทับเบิก ซึ่งเราประทับใจมาก ก็เลยอยากจะมาแชร์เรื่องราว & ชวนให้ทุกคนไปเที่ยวภูทับเบิกกันค่ะ ไปหน้าฝนนี่แหละ ฟินสุดๆ เลย ^^
ทริปนี้เราไปกับเพื่อนแค่ 2 คน เริ่มต้นการเดินทางที่หมอชิต นั่งรถทัวร์เพชรประเสริฐรอบสี่ทุ่ม เดินทางไปถึงอ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์เวลาประมาณตีสี่ครึ่ง พอลงรถทัวร์ก็จะมีคุณลุงสามล้อมาถามว่าจะไปไหน ไปทับเบิกหรือเปล่า เราก็ตกลงให้คุณลุงไปส่งที่ทางขึ้นภูทับเบิกในราคา 150 บาท (เราพยายามต่อรองราคาแล้ว แต่คุณลุงลดให้ไม่ได้จริงๆ 555) นั่งสามล้อในเวลาตีสี่กว่านี่มันก็ขนลุกดีเหมือนกันนะ 555 ตอนแรกคุณลุงจะแนะนำรถเหมาขึ้นภูทับเบิกให้ ราคาไปกลับ 1800 บาท แต่เรากับเพื่อนยืนยันกับคุณลุงว่าจะไปหารถขึ้นภูทับเบิกเอง ให้คุณลุงไปส่งที่ทางขึ้นก็พอ
นั่งรถสามล้อประมาณ 15 นาทีก็มาถึงทางขึ้น ตรงจุดนี้จะเป็นสามแยก มีเซเว่นอยู่มุมถนนทางขึ้นภูทับเบิก สามารถกักตุนเสบียงจากจุดนี้ไปได้เลย ส่วนเรากับเพื่อนได้กักตุนมาจากกรุงเทพแล้ว ^^ ตรงทางขึ้นภูทับเบิกจะมีเต็นท์เหมือนเป็นจุดตรวจก่อนขึ้นภูทับเบิก เพราะช่วงนี้ถนนทางขึ้นภูทับเบิกกำลังซ่อมแซม จนท.จะไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวขึ้นไป ต้องไปขึ้นเส้นนครไทย เขาจะอนุญาตให้เฉพาะชาวม้งขึ้นลงเท่านั้น (อันนี้เรามารู้ทีหลังนะ เพราะวันที่ขึ้นภูทับเบิกเราก็ติดรถคนที่มาจากกรุงเทพขึ้นไป อาจจะเป็นเพราะว่าเราขึ้นไปแต่เช้า ตอนนั้นยังไม่มีจนท.อยู่ที่เต็นท์)
เราไปถึงจุดทางขึ้นประมาณตีห้า ก็มีคุณลุงคนนึงเดินมาถามว่าจะขึ้นไปยังไง เราก็บอกว่าจะขอติดรถชาวม้งขึ้นไป คุณลุงก็มานั่งคอยเป็นเพื่อน แล้วก็ช่วยโบกรถให้ แล้วก็ให้นามบัตรมาบอกว่าถ้าขาลงไม่มีรถลงมาก็ให้โทรหาลุง ลุงแกจะขึ้นไปรับคนข้างบนพอดี จะให้หารกันราคาจะได้ถูกลง
คุณลุงช่วยเราโบกรถก็ยังไม่มีใครขึ้นทับเบิก แกก็ปลอบใจว่ามันยังเช้าอยู่รถยังไม่ค่อยเยอะ จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงก็มีรถจากกรุงเทพมาถามทางคุณลุงว่าขึ้นทับเบิกทางนี้ได้ไหม ลุงก็บอกว่าได้แล้วฝากเรากับเพื่อนขึ้นไปด้วย ต้องขอขอบคุณคุณลุงและเพื่อนผู้ใจดี คุณเป็ดและคุณจินที่ให้เราติดรถขึ้นไปด้วย ^^
เรากับเพื่อนรีบกระโดดขึ้นกระบะหลัง ปฏิเสธคำชวนของเจ้าของรถที่ให้ไปนั่งข้างหน้าด้วยกันด้วยความเกรงใจ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอีกอย่างในชีวิตเลยก็ว่าได้ 555 เพราะระหว่างทางขึ้นวิวสวยมากกกกกก ตอนนั้นเกือบๆ หกโมงเช้า พระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี คือพูดได้แค่คำว่าสวยกับสวยมาก นั่งรถไปก็ยิ้มไป ตอนนั้นมีความสุขมาก
นั่งรถชมวิวสวยๆ ได้ประมาณ 30 นาที ก็ถึงยอดภูทับเบิก พระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว แต่ที่ยังเหลือคือสายหมอกที่ยังลอยตัวอ้อยอิ่ง รอให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้สัมผัสถึงความสดชื่นชุ่มฉ่ำและความสวยงาม มองลงไปข้างล่างก็จะเห็นหมู่บ้านและเส้นทางที่คดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อย โห นั่นเหรอเส้นทางที่เราขึ้นมากัน 5555 เคยเห็นแต่ในรีวิวของคนอื่น ได้มาเห็นกับตาตัวเองนี่ทึ่งไปเลย
พอถึงด้านบนแล้วเพื่อนเจ้าของรถก็ถามว่าจะไปไหนต่อ เขาจะไปวัดผาซ่อนแก้ว แล้วไปนอนเขาค้อ จะไปเที่ยวด้วยกันก็ได้นะ เรากับเพื่อนนี่ตาโตด้วยความสนใจ รีบตอบตกลงไปโดยไม่ได้เกรงใจชาวบ้านเขาเล้ยย 555 แต่เรากับเพื่อนอยากนอนที่ภูทับเบิก ก็เลยขอตัวไปหาที่พักก่อน แล้วค่อยมาเจอกันทีหลัง
แปดโมงแล้วทะเลหมอกยังอยู่ :)
อากาศดีมาก สัมผัสได้ว่าอากาศบริสุทธิ์มาก ในห้องไม่ต้องเปิดแอร์ แค่พัดลมก็หนาวแล้ว
ประมาณเก้าโมงเรากับเพื่อนก็ออกจากห้อง กะว่าจะเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ถ้าเจอรถที่เขาจะไปวัดผาซ่อนแก้วก็ค่อยติดรถไปด้วย พอเดินออกมาถึงถนนเท่านั้นแหละ เจอพอดีเลย 555 โชคชะตาได้ลิขิตมาขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องไปกับเขาแล้วแหละ :)
พอสายมาแดดเริ่มแรง รอบนี้เจ้าของรถยืนยันเสียงแข็งว่าให้เรากับเพื่อนไปนั่งข้างหน้าด้วยกัน เพราะแดดมันร้อน ก็เลยได้มีเวลาคุยกันไปๆ มาๆ พบว่าอายุเราใกล้ๆ กัน ตอนแรกก็เรียกเขาพี่ๆ ตลอด สรุปว่าอายุเท่ากัน 5555
ไปถึงวัดผาซ่อนแก้วเราก็เดินถ่ายรูปแป๊บๆ ก็ไปหลบร้อนที่ร้านข้าวแกงสัณฑมาศ ที่ได้ชื่อว่าอาหารหลักสิบวิวหลักล้าน
จากนั้นเราก็ไปร้านกาแฟที่ชื่อ PINO LATTE นี่ก็วิวหลักล้านเหมือนกัน นั่งกินชาเขียวไปก็มีสายหมอกลอยมาปะทะหน้า สดชื่นมาก แอบมีน้ำมูกไหลนิดๆ ด้วย 555
หลังนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศสักพัก ก็ตัดสินใจแยกกับเพื่อน เพราะไม่อยากไปไกลถึงเขาค้อ กลัวกลับขึ้นภูทับเบิกไม่ได้ 555 เพื่อนเลยไปส่งไว้ที่ศาลารอรถ เราก็กะว่าจะลองโบกรถไปหล่มเก่าดู คิดในแง่ดีว่ามันต้องมีสักคันแหละวะที่รับเรา ...
บางที เราอาจจะใช้โควต้าความโชคดีหมดแล้วก็เป็นได้ ..
ลองโบกรถคันแล้วคันเล่าก็ไม่มีใครจอด สักพักฝนก็เริ่มตกปรอยๆ รู้สึกว่าชีวิตเริ่มสิ้นหวังแล้ว 555 ก็เลยเดินไปถามคุณป้าเจ้าของร้านข้าวว่าพอจะมีรถประจำทางผ่านบ้างไหม คุณป้าตอบว่ามีรถเมล์จากพิษณุโลกไปหล่มสัก รถผ่านทุกชั่วโมง
โอเค อย่างน้อยก็รอดถึงหล่มสักละวะ ระหว่างที่รอรถเมล์เรากับเพื่อนก็ยังพยายามโบกรถด้วยความอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค แต่ผลก็เหมือนเดิม จนเวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ มีรถบัสที่จะไปภูเรือมาแวะจอดรับพอดี อ่านไม่ทันเหมือนกันว่ารถมาจากไหน เรามัวแต่ดีใจรีบวิ่งขึ้นรถ 555 ค่ารถ 40 บาทไปถึงบขส.หล่มสัก
พอไปถึงหล่มสักก็ต้องนั่งรถต่อไปยังหล่มเก่า ค่ารถอีก 15 บาท พอไปถึงหล่มเก่าก็ต้องนั่งรถสามล้อคุณลุงอีก 150 บาทไปทางขึ้นภูทับเบิก นั่งขำกับเพื่อนว่านี่มันเดจาวูชัดๆ คนอะไรขึ้นลงภูทับเบิกถึงสองรอบในวันเดียว
ไปถึงทางขึ้นภูทับเบิกก็เจอรถที่มาจากกรุงเทพอีก พี่เขาจะขึ้นทับเบิกแต่จนท.ไม่อนุญาตให้ขึ้น เราเลยอดติดรถเขาไป พอดีคุณลุงชาวม้งมาจอดรถแวะเซเว่น เราไม่รอช้าเข้าจู่โจมคุณลุง ขอติดรถขึ้นไปด้วย ซึ่งคุณลุงก็ใจดีให้ติดรถขึ้นไป แต่ว่าคุณลุงแกไปไม่ถึงภูทับเบิก เราต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 1 กิโล ณ จุดๆ นั้นเรากับเพื่อนโอเคหมด ขอแค่มีรถขึ้นไป
การขึ้นภูทับเบิกถึง 2 รอบนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะรอบนี้ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล นั่งรถไปสักพักฝนเริ่มลงเม็ด คุณลุงก็เป็นคนดีจอดรถจะให้เรากับเพื่อนเข้าไปนั่งข้างใน แล้วแกจะมานั่งข้างนอก เพราะข้างในรถมีคนนั่งเต็มแล้ว คุณลุงมีน้ำใจมากๆ เลย แต่เรากับเพื่อนมีเสื้อกันฝนก็เลยบอกคุณลุงว่าอยู่ข้างนอกได้ สบายมาก ^^
พอขึ้นไปถึงด้านก็กลับห้องอาบน้ำ เตรียมตัวไปกินข้าว ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกซะแล้ว แต่ที่ไหนได้ พอกำลังจะตักข้าวต้มเข้าปากตาก็หันไปมองวิว ฝนหยุดแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า มันสวยมาก สวยแบบอยากให้ทุกคนมาเห็นด้วยตาตัวเองอ่ะ ปล.ร้านอาหารที่นี่วิวหลักล้านทุกร้านเลย
............
คืนนั้นเราเข้านอนกันตั้งแต่ 2 ทุ่ม ภาวนาให้คืนนี้ฝนตกหนักๆ เพื่อที่พรุ่งนี้เราจะได้ตื่นมาพบกับทะเลหมอก
แล้วเราก็ไม่ผิดหวังจริงๆ
เราตื่นไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ 6 โมง อากาศหนาวเย็นหน่อยๆ 17 องศา จิบนมอุ่นๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ พระอาทิตย์ไม่มีวี่แววจะมา วันนี้อากาศดูขมุกขมัว มีเมฆฝนอยู่ไกลๆ
พอสายๆ เริ่มมองห็นทะเลหมอกลอยตัวอยู่ไกลๆ ทะเลหมอกสีขาวลอยตัวอยู่ข้างหน้ารู้สึกเหมือนปุยนุ่น เหมือนขนมสายไหม เหมือนอะไรที่ทำให้เรามีความสุข :)
ยืนดื่มด่ำกับทะเลหมอกจนอิ่มหน้าสำราญใจ ก็กลับไปกินอาหารเช้าที่ที่พัก แล้วเดินไปถ่ายรูปบรรยากาศที่เหลืออีกนิดหน่อยก่อนกลับ
ได้เวลากลับกรุงเทพแล้ว ใจไม่อยากกลับ แต่ภาระหน้าที่การทำงานยังรอเราอยู่ ชีวิตก็ต้องหมุนไปตามตารางงาน ไว้เราค่อยหาเวลาว่างมาพักเบรคใหม่
ขากลับฟ้าฝนเหมือนเป็นใจไม่อยากให้เรากลับ ฝนตกลงมาจนท้องฟ้ากลายเป็นสีขาวไปหมด มองไปแทบไม่เห็นภูเขาด้านนอก เรากับเพื่อนก็นอนแช่อยู่ในห้องจนเือบสิบโมงฝนเริ่มซา ค่อยเช็คเอาท์ออกมา ขากลับก็คุยกันว่าจะขอติดรถชาวม้งลงไป ก่อนกลับก็ไปแวะซื้อของฝากซะหน่อย
บริเวณทางลงจะมีร้านขายของฝากของชาวบ้าน เป็นผักผลไม้ต่างๆ พี่ชาวม้งก็ใจดีเรียกให้ชิมเมล่อนกันไม่ขาดปาก เมล่อนของเขาหวานอร่อยจริงๆ นะ ถ้ามีรถส่วนตัวจะซื้อกลับไป แต่นี่มารถทัวร์ไง ก็ไม่อยากแบกสัมภาระหนักเกินไป ก็เลยเลือกซื้ออะโวคาโดกับฟักแม้ว พี่คนขายก็ชวนคุยว่าจะกลับลงไปยังไง พี่ชายพี่จะลงไปข้างล่างพอดี ติดรถไปได้นะ คุณพระ อะไรจะใจดีขนาดนั้น ขากลับมีรถกลับแล้วโว้ยยย
ขากลับเรากับเพื่อนนั่งที่ด้านหลังกระบะเหมือนเดิม แต่มันยังไม่จบแค่นั้น เนื่องจากเมื่อคืนฝนตกหนัก ทำให้มีน้ำท่วมขังอยู่ที่หลังรถ พอขึ้นรถปุ๊บคุณพี่ม้งก็ออกรถปั๊บไม่ได้มีเวลาให้เราได้ตั้งตัว คือตอนนั้นยังช๊อคอยู่ว่าจะเอาตัวรอดยังไงกับสถานการณ์น้ำที่กำลังรอการระบายอยู่ แต่ไม่ทันได้คิดอะไรเยอะ ด้วยแรงเหวี่ยงของรถทำให้น้ำที่เดิมนอนอยู่นิ่งๆ เคลื่อนที่ไปมา แล้วเราก็ไม่รอด มวลน้ำได้ย้ายตัวมาขังอยู่ที่รองเท้าของเราทั้งสองคนเรียบร้อย แล้วเราก็ไม่สามารถนั่งได้ เพราะตูดจะเปียก ก็ต้องยืนเกาะหลังกระบะกันลงไป 555555 ณ จุดนั้นรู้สึกตลกและขำมากกว่าจะรู้สึกอย่างอื่น คือเป็นจุดที่พีคมากในทริปนี้
แต่จุดที่พีคยิ่งกว่าคือขากลับวิวสวยมากกกกก มีหมอกลอยตัวอยู่รอบตัว สัมผัสได้ถึงอากาศเย็นลงไปถึงขั้วปอด ทั้งๆ ที่มือนึงก็ต้องเกาะรถเพื่อเอาชีวิตรอด แต่อีกมือก็อยากถ่ายรูปและวิดิโอเพื่อเก็บบรรยากาศมาไว้ดู ก็เลยได้รูปที่ไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่จะถ่ายเป็นวิดิโอ ภาพนิ่งก็เลยมีเท่านี้ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกความทรงจำที่ประทับใจและลืมไม่ลง ถึงแม้ว่าจะขึ้นลงภูทับเบิกถึง 2 รอบแต่วิวข้างทางและบรรยากาศไม่ซ้ำกันเลย :)