ไต่ถนนงู ไปดูหมอก ที่
มาตะลอนเที่ยวไปกับเรา #คู่ซี้ตะลอนโลก
www.facebook.com/bestiewanderer
ตอนนี้เริ่มมีฝนพรำมาหลายวัน ทำให้เราคิดถึงทริปเขาค้อ-ภูทับเบิก ที่พวกเราไปกันมาเมื่อต้นเดือน ก.ค. ปีที่แล้ว วันนี้เราจะขอมารีวิวให้ดูสักนิดหน่อยว่า ไปหน้าฝน ก็เจอหมอก แถมคนน้อยกว่า จองที่พักง่ายกว่าช่วงหน้าหนาวด้วยนะ
ดูวิดีโอ กดตรงนี้
Day 1:
- ขับรถจากรุงเทพ ไปเขาค้อ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง
- นอนเต็นท์ติดแอร์แค่คนละ 600 บาทที่ เดอะ ฮิลล์ เขาค้อ The Hills khaokho
- ดูพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ
Day 2:
- ตื่นเช้าไปดูหมอกหน้าเต็นท์และจุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ
- ขับรถไปชมวิวที่ไปรษณีย์เขาค้อ
- แวะดื่มกาแฟร้าน The Pug Coffee เขาค้อ
- เช็คอินเข้าโรงแรมที่ภูทับเบิก
Day 3:
- ตื่นตีห้าไปรอดูหมอกที่จุดชม #ทะเลหมอกภูทับเบิก แต่แห้ว กว่าหมอกจะมาปาเข้าไปเกือบ 11 โมงจ้า
Day 1: กรุงเทพฯ - เขาค้อ
เราตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหา "ทะเลหมอกในตำนาน" เห็นรูปมาก็เยอะ เพื่อนไปมาก็แยะ เลยอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองนักว่าหมอกมันจะเยอะขนาดนั้นจริงหรอ เริ่มจากขับรถจากกรุงเทพฯ ไปที่เขาค้อ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง บอกเลยว่าพึ่ง google map ล้วนๆ ดีที่มันไม่พาเข้าป่าหลงไปไหน! 5555555
คืนแรกเราเข้าพักที่ เดอะฮิลล์ เขาค้อ เลือกนอนเต็นท์ติดแอร์ ราคาตอนนั้นคือ คนละ 1,200 บาท รวมอาหารเช้า หรือตกคนละ 600 บาทเท่านั้นเอง ที่พักอยู่ใกล้ชุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ อีกหนึ่งจุดชมหมอก และพระอาทิตย์ตก ที่สวยที่สุดอีกจุดหนึ่ง
อ่านรีวิวที่พักที่นี่แบบเต็มๆได้ที่ > https://th.readme.me/p/8731
ช่วงเย็นเราก็ขับรถไปชมพระอาทิตย์ตกที่เขาตะเคียนโง๊ะ ห่างจากโรงแรมประมาณ 15 นาที จุดนนี้เราสามารถมากางเต็นท์นอนได้ด้วยนะ สำหรับคนที่ลุยๆหน่อย เราว่าเหมาะเลย ประหยัดด้วยหละ
Day 2: เขาค้อ - ภูทับเบิก
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จที่รีสอร์ท เราก็เริ่มขับรถจากเขาค้อไปภํทับเบิก ระว่างทางมีแวะ เติมพลังเรียกความสดชื่นที่ร้านกาแฟ The Pug Coffee กันสักหน่อย ร้านจะตกแต่งไปด้วยน้องหมาพันปั้ก จากที่นั่งทานนวิวต้นไม้ วิวภูเขา ดูเขียวสบายตา
ด้านในจะมีที่นั่งประมาณสิบกว่าโต๊ะ มีทั้งพวกชา กาแฟ นมสด เค้ก เบเกอรี่ต่างๆ หรือพวกอาหารอย่างพาสต้าก็มีนะคะ
อิ่มแล้วก็ได้เวลาไปวะกันต่อ จุดหมายต่อไปเราแวะ "ไปรษณีย์เขาค้อ" มาดูวิวไปรษณีย์ที่ชิลที่สุดสักหน่อย บริเวณตรงนี้มีที่ให้กางเต็นท์ด้วย แต่เราไม่แน่เรื่องราคาว่าฟรีหรือต้องเสียเท่าไหร่ ต้องโทรสอบถามทางไปรษณีย์อีกทีนะ
ถ้าเป็นช่วงที่หมอกลง จุดนี้ก็คงจะเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยมากๆแน่ๆ
ทางขึ้นภูทับเบิก ระยะทางประมาณเกือบ 20 กิโลเมตร ทางถือว่าชันเลยหละ มีโค้งคดไปคดมาเยอะมาก จนหลายคนเรียกถนนที่นี่ว่า "ถนนงู" ถนนเป็นแบบสองเลนสวนกัน ระหว่างทางขึ้นภู ก็มีฝนตกเป็นระยะๆ ตกนิดๆหน่อยๆไม่ถึงกับหนักมากจนขับรถไม่ได้ แต่ต้องขับอย่างระมัดระวังมากๆนะคะ ไม่แซงปุบปับและไม่ขับเร็วเกินไป ปลอดภัยไว้ก่อนเนาะ
พอไปถึงที่พักก็ราวๆ 4 โมงเย็นได้ เราเลยกินข้าวกินปลา และชิลอยู่ในห้อง กะว่าคืนนี้จะนอนเร็วหน่อยเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นมาดูหมอกกะเค้าซะหน่อย (ขอไม่บอกชื่อที่พักที่นี่แล้วกันนะคะ เพราะเค้าปิดไปแล้ว)
มาที่นี่ต้องไม่พลาดเมนูกะล่ำปลีต่างๆค่ะ เพราะเค้าปลูกกันสดๆเต็มสองข้างทาง สดกรอบหวานมากๆDay 3: ชมทะเลหมอกภูทับเบิก
เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีห้าเพื่อจะขึ้นไปดูทะเลหมอกที่จุดชมวิว (เรามีโอกาสที่จะเจอทะเลหมอกเพราะว่าเมื่อวานฝนตก) แต่จะร้องไห้จ้า มันหรอมแหรมมาก โชคไม่ดี หมอกไม่ลงหนาขนาดในรูป เรานี่เกือบถอดใจกลับกรุงเทพฯกันเลย...
แปดโมงกว่าแล้วหมอกยังไม่มา แต่ก็ยังต้องฟินไว้ก่อนค่ะ ขับรถมาไกล 5555555
แต่หลังจากที่เราเดินเล่น และนั่งกินอาหารเช้าไปพลางๆแถวๆนั้น ประมาณเกือบ 10 โมงหมอกก็เริ่มมาเยอะสมใจอยากแล้วจ้า! ณ ตอนนั้น ผู้คนฮือฮาดีใจ รีบไปถ่ายรูปกันใหญ่ เราก็เช่นกัน 5555
ช่วงนั้นทุกคนต่างตั้งใจกันถ่ายรูป และพุ่งเข้าหาหมอกกันใหญ่ ก็เรามาเพื่อสิ่งนี้กันนี่เนาะ อิอิ
ก่อนลงจากภูทับเบิก ก็พลาดไม่ได้ที่จะแวะถ่ายรูปกับไร่กะหล่ำปลี ที่ปลูกเรียงรายเต็มสองข้างทาง ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของที่นี่ และก็มีร้านขายกะหล่ำปลีสดๆจากไร่ รวมถึงร้านอาหารที่ทำเมนูต่างๆจากกะหล่ำปลีให้เราลิ้งลองกัน
ทริปดูทะเลหมอกเป็นอะไรที่คาดหวังได้ยาก แล้วแต่ดวงและสภาพอากาศวันนั้นๆ ว่าจะเป็นยังไง ทำใจเผื่อไว้ล่วงหน้าด้วยเด้อ สำหรับการมาเที่ยวที่นี่ เราว่ามันให้อะไรมากกว่ามาดูหมอก เราได้มาพักผ่อนกับธรรมชาติจริงๆ ต้นไม้มีความเขียวชอุ่ม แค่ได้กลิ่นไอฝนปนกับไอหมอก ก็ดีจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วหละ... แล้วพบกันใหม่เร็วๆนี้นะเขาค้อ ภูทับเบิก :)
ติดตามอ่านรีวิวอื่นและดู VDO ท่องเที่ยวแบบฉบับสองสาวคู่ซี้ได้ที่ช่องทางด้านล่าง
Facebook: https://www.facebook.com/bestiewanderer/