บทที่ 5
“ ดื้อ is real “
ก่อนอื่นเลยผมต้องขอโทษจริงๆที่หายไปนานมาก ผมจัดระเบียบความคิดตัวเองใหม่นิดหน่อย ผมเริ่มรู้สึกว่า ผมเร่งจบไปหน่อยโดยวิธีเขียนยาวๆแบบมาราธอน พอมาย้อนอ่านดูขนาดตัวเองยังรู้สึกขี้เกียจอ่านเลย 55555 แต่ก่อนจะเข้าเรื่องผมขอคุยอะไรนิดนึง ว่าทำไมผมต้องเขียนเรื่องราวยาวนัก ตั้งแต่เริ่มทำพันทิพผมคิดเสมอว่าผมอยากเล่าสิ่งที่ผมรู้สึกกับทริปนั้นๆจริงๆ จริงๆขนาดที่ผมคิดยังไงรู้สึกยังไงเฟลยังไง เพราะครั้งแรกที่ผมเที่ยวตามพันทิพ มันไม่ได้บอกผมว่าตอนขึ้นม่อนจองมันจะชิหายขนาดนั้น ผมไม่อยากเขียนอะไร Feel good หลอกลวงมากนัก ซึ้งในความเป็นจริงมันไม่ใช่ เราเครียด เราฮา เราหมดหนทาง เราตื่นเต้นดีใจ มันหลากหลายอะผมแค่อยากนั่งเล่าการเดินทางให้ใครสักคนฟัง แต่ด้วยความที่ว่าเรื่องที่เจอมันเยอะไปหน่อย(กุว่าไม่หน่อยอะ) มันจึงยาวขนาดนี้ มันมีเรื่องรอบข้างมากมายที่ต้องเจอ และผมอยากยากแชร์ประสบการณ์เหล่านั้นให้ฟัง พูดคุยกันได้ครับ คิดซะว่าเราเป็นเพื่อนกัน ถ้าอยากจะเล่าอยากจะแชร์ เล่ามาได้เลยผมอยากฟัง สุดท้ายนี้ผมขอบคุณสำหรับคำแนะนำจริงๆ ผมสัญญาว่ามันจะยาวเท่าเดิมแต่ไอ้ที่น้ำๆจะน้อยลง และเนื้อๆก็จะน้อยลงเช่นกัน หลอกๆ 55555 ตายห่านละกะว่าจะมาสั้นๆยาวอีกละ พอๆเข้าเรื่อง
ผมเจอเซอร์ไพรแต่เช้าเลย เพราะรถที่จะมารับผมไป อบต. โทรไปไม่รับสายเฉย จอยโทรไปถี่มากแต่พี่เขาก็ไม่รับ ... กุโดนเทอีกแล้วซินะ ทำไมกุไปไหนก็มีแต่คนเทกุว๊ะะะ !! ตั้งแต่สังขระละ T T แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะพี่ที่รีสอร์ทอาสาไปส่งเราที่ อบต. แทนโดยคิดค่าใช้จ่ายเท่ากับที่เราดิวกับทางนู้นไว้ เราเดินทางออกจากรีสอทตอน 9 โมง พี่ที่ขับรถมาส่งเราเขาชื่อพี่ตู่ย เราคุยกันตั้งแต่เรื่องรีสอร์ท ไปจนถึงขนาดที่ว่าพี่เขาเรียนจบอะไรมาซึ้งผมก็งงนะว่าพี่เขาเรียนจบดนตรีมาแต่มาทำรีสอท แถมยังทำไร่ด้วยพี่เขาให้เหตุผลว่า พี่เขาอยู่ในเมืองไม่ได้อะไรมันก็ดูรีบไปหมด เขาใช้ร่างกายหนักมากทำทุกอย่างที่จะทำได้ในสายดนตรีที่เขาจากมาแต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ เลยกลับมาทำธุรกิจทางบ้าน ที่กรุงเทพแป๊บๆก็หมดไป 1 วันละ แต่ที่นี่ 1 วันมันทำอะไรได้เยอะมากและเราก็มีเวลาพักผ่อนด้วย
ผมชอบในการใช้ชีวิตของพี่เขานะ นี้คงเรียกว่าสโลว์ไลฟ์จริงๆละมั้ง แต่เอาตรงๆนะเราอยู่อย่างพี่เขาไม่ได้หรอกผมโตมากับการแข่งขันและความใจร้อนผมชอบไปต่่างจังหวัดเพื่อให้ร่งกายมันพักมันชาลงบ้างก็เท่านั้น แต่ถ้าให้ไปอยู่หรอ ผมว่าผมขี้เบื่อจนไม่เหมาะกับคำว่าสโลว์ไลฟ์ 5555
ในระหว่างที่คุยกันอย่างสนุกสนานพี่เขาก็ชวนพวกผมไปเสาเฉลียงคู่
"พวกเรารีบกันมั้ย"
"ไม่ครับพี่"
"เดี๋ยวพี่พาไปเสาเฉลียงคู่ ไปมั้ย" เกรงใจนะพูดตรงๆแค่เขาสละเวลามาส่งเราแค่นี้ก็เกรงใจเขามากแล้ว
"ไปครับพี่" (ฟัด !! -*-)
สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดนี้โคตรเป็นอะไรที่ลึกลับซับซ้อนเลย พี่เขาพาเราเข้าไปเส้นทางที่แทบไม่มีป้ายบอกเข้าไปเรื่อยๆ แต่พอบทจะถึงแม่งถึงเลยแบบงงๆ จนบางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาอยากให้เรามาเที่ยวจังหวัดเขามั้ย 5555 จากจุดจอดรถเราจะเห็นเสาเฉลียงคู่แต่ไกล มันคือสโตนเฮนจ์เมืองไทยดีๆเนี่ยแหละ มีลักษณะเป็นหินก้อนใหญ่ๆที่ตั้งเป็นรูป TT จากที่จอดรถจะมีทางขึ้นไปด้านบน ส่วนด้านบนจะเป็นลานหินกว่าๆสามารถมองได้ 360 องศาฟาเรนไฮ พอยิ่งเดินเข้าไปใกล้ยิ่งรู้สึกถึงความน่าเกรงขาม มันตั้งอยู่มากี่ปีแล้ววะ อะไรคือสิ่งที่ทำให้มันยังไม่ล้ม ผมไม่ได้ถามพี่เขาว่ามันเกิดจากอะไร แต่การมีอยู่ของมันก็ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่ามันคงผ่านเรื่องราวมากมาย กว่าที่คนคนนึงจะเข้มแข็งได้ก็คงไม่ต่างกัน บางครั้งเราก็ต้องอดทนความเจ็บที่เกินทนเพื่อที่จะสามารถยืนหยัดได้อย่างเข้มแข็ง ยิ่งคิดผมยิ่งรู้สึกได้เลยว่า กุควรลงไปขึ้นรถก่อนที่กุจะฟุ้งไปมากกว่า = =
พี่ตู่ยพาเรามาส่งที่ อบต.นาโพธิ์กลาง เอ้อ นิดนึง ผมโคตรชอบเรียกชื่ออำเภอนี้ผิดเลย เมื่อวานตอนที่อยู่ สามพันโบกผมได้มีโอกาสได้โทรไปที่เบอร์ของ อบต. ครั้งแรก
"สวัสดีครับ อบต. โพธิ์นากลาง ใช่มั้ยครับ"
"นาโพธิ์กลางครับ" คุยกันเรียบร้อยโทรและพอไปรอบที่ 2
"สวัสดีครับ อบต.นากลางโพธิ์ ใช่มั้ยครับ
"นาโพธิ์กลางครับ" ถ้ามีรอบที่ 3 นี้คง 5555 กุจะโดนนายกสั่งเก็บก็วันนี้แหละ
ที่อบต.ต้อนรับบเราดีมากๆ พี่หน่องหรือลุงหน่องที่เราโทรติดต่อเขาไปได้แบบเราว่าจะมีขึ้นตอนบ่าย 3 ใช้เวลา 1 ชม.กว่าถึงผาชะนะไดระหว่างนี้ก็หาอะไรกินนั่งรอไปก่อนบ่าย 3 และเราถึงตอนเที่ยงเป๊ะ เปื่อยครับสั้นๆ ทั้งอ่านหนังสือ นอน เวลาตั้งรอเนี่ย 3 ชั่วโมงนี้โคตรนานเลยแต่แล้วกรุ๊ปที่จองรถก็มาถึงเป็นครอบครัวเล็กๆที่มากัน 4 พ่อ แม่ ลูกสาว และก็ลูกชายอีก 1 คน เราทำความรู้จักแทบจะทันที แว๊บแรกท่ผมรู้สึกได้เลยคือครอบครัวนี้น่ารัก เขาดูไม่ตึงกับเราเท่าไหรนัก เมื่อคนมากันครอบแล้วก็ได้เวลาเดินทางขึ้นผาชะนะได !!
มาถึงตรงนี้หลายคนคงถึงกับอุทานว่า ไอ่สาดเมิงขึ้นเขาสักที ! ทำไมถึงรู้น่ะเหรอ เดี๋ยวมานะผมไปหน้าบ้านแป๊บ .... "โอ๊ยกว่าจะได้ขึ้นชิปหายยย!! " โอเคม่ะต่อ คุณกำลังมองหารถที่จะขึ้นผาชะนะไดอยู่ใช่หรือไม่ กับเส้นทางที่เหมือนวิ่งอยู่บนดวงจันทร์ ทีวีไดเร็กขอนำเสนอรถลุงหน่อง รถกระบะขับ 4 ที่ก็เห็นว่าลุงแกขับอยู่คนเดียว ที่จะพาคุณผาชะนะไดได้อย่างปลอ... อั๊ก ! นี้ขนาดหลุมเล็กๆนะทางมันที่สุดมาก ขนาดเจ้าหน้าที่เขามาทำให้เราเดินทางปลอดภัยขึ้นแล้วนะ คือถ้าใครเคยไปม่อนจองผมบอกเลยว่า same same ดีที่ไม่มีหน้าผาให้ขับเฉียด คุณจะพบประสบการณ์ภาพตัดที่คุณไม่มีทางพบจากที่ไหนแน่นอนนน
หลังจากขับรถมาได้สักระยะเราจะเจอกับป้ายน้ำตกกิ๊ต 55555 ทำไมผมอ่านแล้วฮาวะ คืออ่านในใจไม่เท่าไหรไงแต่ลองออกเสียงดิ งั้นมาลองออกเสียงตามผมนะ น้ำ ตก กิ๊ต !! น้ำ ตก กิ๊ตตต ! โอ้ยกุเหนื่อยย 55555 ลุงหน่องพาเรามาจอดตรงแลนต์มาร์คแรกคือ หินเต่าชมจันทร์ เป็นก้อนหินที่มีลักษณะเหมือนเต่าจริง ลุงหน่องให้เวลาเราเดินเล่นและถ่ายรูปเต่าหินพร้อมกับเล่าให้เราฟังว่า สาเหตุที่เรียกว่าหินเต่าชมจันทร์ก็เพราะว่า ในตอนกลางคืน ดวงจันทร์จะลอยมาอยู่ตรงหน้าเต่าพอดี คนที่มาบุกเบิกที่นี้เลยตั้งชื่อว่าหินเต่าชมจันทร์ ซึ้งตอนนี้ บ่าย 3 ครึ่ง ... เกือบอินละอีกนิดนึงจริงๆ ไปต่อค่ะ
ระหว่างทางลุงหน่องค่อนข้างจะพรีเซ้นดอกไม้ที่อยู่บนนี้หนักมาก ลุงพาเราหยุดดูดอกไม้มากมายแทบจะตลอดทาง แต่เพราะมันหาดูค่อนข้างยากและมันควรจะเยอะมากกว่านี้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีทำให้มันขึ้นไม่เยอะเท่าที่ควร ผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไรบ้างแต่เหมือนว่าจอยจะจดไว้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่เรายังได้เห็นแม้จะมีบางพันธุ์ที่ไม่ออกดอกเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เสียดายเหมือนกัน เราตละหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติเรารู้ว่าธรรมชาติให้อะไรเราได้บ้าง และบางอย่างใช้ได้ผมดีกว่าสิ่งที่มนุษย์สร้างด้วยซ้ำ แต่อย่างว่าเรื่องมันซับซ้อน ทำเท่าที่เราจะทำได้แหละ
ตลอดเส้นทางที่ถึงแม้มันจะคลุกไปด้วยฝุ่น และหลุมเล็กหลุมน้อยมากมายแต่ก็มีอะไรสวยๆให้ดูตลอดทางด้วยความที่ว่าพื้นที่ราบสูง มันเลยเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับผม ผมลบความเป็นเชียงใหม่ในหัวทิ้ง มันทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อเลย มีอยู่ชั่วนึงอยู่ดีๆลุงก็จอดรถปิดแล้วเปิดหน้าต่างมาบอกเราว่าจับให้แน่นๆนะ ในใจผมตอนนั้นนี้ชิปหายละ และกุแกก็เร่งเครื่องสุดกำลังทะยานขึ้นเนินที่ชันราว 60 องศา เหมือนตัวเองไม่มีน้ำหนักเลยใจมันหวิวมือไม่ค่อยมีแรง แล้วผมก็หันกลับไปมองด้านหลังอื้อหือสูงโคตรจากมือไม้อ่อนแรงกุแทบจะรวมร่างกับรถเลย
และแล้วเราก็มาถึง ลานกางเต้นบนผาชะนะได เป็นลานหินขุรขระที่กว้างมากกก โคตรน่าวิ่งเล่นอะ แต่อย่าได้เผลอไปวิ่งเชียว บนนี้คอนข้างสะดวกสบายกว่าที่ผมคิด มีทั้งห้องน้ำ มีเต้นส์ให้เช่า และที่เด็ดสุดๆเลยคือมีร้านส้มตำด้วย ! เข้ ส้มตำ everywhere ! แต่พอได้คุยก็รู้ว่าที่มีร้านอาหารก็เพราะว่าเขามาบริการนักท่องเที่ยวที่มาดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันปีใหม่ ซึ้งหมายความในวันปรกติ เมิงก็โปรดทำอาหารกินเองซะนะ ง่อววว รอดตายว่ะ กำลังคิดอยู่พอดีว่าจะทำกับข้าวยังไง 5555
ป้าที่ร้านยังบอกพวกเราว่ารู้มั้ยว่าก่อนที่เราจะขึ้นมา บนนี้มีรถถึงคน 200 คันกับคนประมาณ 1000 กว่าคน ! เชี้ย อุ้ยลั่นโทด เห้ยพี่ตูนมาเล่นคอนเสิร์ตบนนี้หรอวะเนี่ย นี้แหละเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ชอบไปเที่ยวในเวลาเทศกาล ผมค่อนข้างจะสนิทกับคนบนนี้เร็วมาก และดูคนที่นี้จะชอบมุขที่ผมยิงใส่ด้วย กลายเป็นว่าเมื่อเจอผมเขาจะยิงมุขใส่ผมตลอดเลยจนบางทีไม่เป็นอันได้ซื้อของ คือมันดีป่าววะ -*-
เคยมีความรู้สึกแอบดื้อบ้างมั้ย มันเป็นความรู้สึกที่ว่ามีสถานที่ทุกคนต้องไป ณ เวลานั้นแล้วอยู่ดีๆก็รู้สึกว่าทำไมกุต้องไปตามเขาวะ เนี่ยเพิ่งมาเป็นก็ตอนเนี้ยแหละ คือ ที่ผาชะนะไดจะมีจุดที่ทุกคนไปชมพระอาทิตย์ตกที่นั้น แต่ด้วยความที่ว่าไอ้ตัวหน้าผาชะนะไดมันเดินไปได้ ผมก็เลยแบบเฮ้ยทำไมเราต้องไปตามเขาวะ เรายังไม่เคยเห็นผาชะนะไดตอนตะวันตกดินเลย มันจะเป็นไปได้ไงที่ผาชะนะไดมันจะดูอาทิตย์ตกไม่ได้ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินไปบอกลุงขับรถเลยลุงผมจะไม่ไปกับลุงนะ ผมจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาชะนะไดลุงหน่องแกก็เหวอๆไปนิดนึง แต่ผมก็ย้ำอีกว่าผมจะไม่ไป อารมณ์ลุงแบบเออๆของมันถึงเมิงจะไปไหนก็ไป 5555