ไม่มีใครว่าง ติดงานกันหมด ไปคนเดียวโลด
เป็นเพราะรูปภาพจากเพจเฟสบุค "ฟองสบู่" ทำให้การเดินทางไปพัทลุงครั้งนี้เกิดขึ้น อยากไปเก็บตะวันที่สะพานเฉลิมพระเกียรติฯ อยากไปเห็นบ้านร้างหลังนั้นที่ทะเลน้อย ตอนแรกก็คิดว่าแค่มองภาพเฉยๆ แล้วก็ชื่นชมความงดงามจากหน้าจอคอมฯ แต่ไม่รู้ว่าทำไมแค่มองมันอย่างเดียวไม่พอ มันอยากจะไปสัมผัสด้วยตัวเอง คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะไปดี ไม่ไปดี แต่สุดท้ายห้ามใจตัวเองไม่อยู่ เอามือจับเม้าส์แล้วคลิกในบัดดล เสิร์ธหาข้อมูลอย่างละเอียดเลยเดี๋ยวนั้นว่าต้องนั่งเครื่องไปลงที่ไหน ต่อรถยังไง พักที่ไหนดี พร้อมกับชวนเพื่อนไปด้วยแต่เพื่อนติดงานเลยไปด้วยไม่ได้ งานนี้จึงต้องไปคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนรักสันโดษอย่างเรา แต่ในใจนี่สิ กลับระริกระรี้ที่จะได้ไปยังที่ที่ฝันอยากไป ช่าย.. อยากไปมากๆ เลย ^o^
เริ่มต้นด้วยการจองเครื่องไปลงตรัง กำหนดไว้ในวันที่ 26 เมษายน 2516 เป็นช่วงเวลาที่ทะเลบัวกำลังเบ่งบานและเป็นช่วงที่นกนานาพันธุ์อพยพ
ใช้เวลาเดินทางจากดอนเมืองถึงสนามบินตรัง 1 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที เมื่อถึงแล้วก็ทำการซื้อตั๋วรถตู้ซึ่งมีบริการอยู่ในสนามบินนั่นแหละ ราคา 90 บาท เพื่อนั่งไปลงที่ขนส่งตรังก่อน
เมื่อนั่งรถตู้มาลงที่ขนส่งแล้วก็ไปซื้อตั๋วที่รถตู้สาย 778 บอกเขาว่าไปทะเลน้อย แต่ขอลงตรงหน้าสวนพฤกษศาสตร์พัทลุง ราคาอยู่ที่ 120 บาท นั่งรอสักพักรถก็ออก
ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงเมืองพัทลุง และลงตรงหน้าสวนพฤกษศาตร์พอดี ตรงนั้นจะเป็นหัวโค้ง
ซึ่งวันที่ไป ป้ายสวนพฤกษศาตร์ฯ ยังทำไม่เสร็จ เลยไม่มีจุดสังเกตว่าตรงนี้คือหน้าสวนฯ แต่สามารถสังเกตเห็นป้าย "วิวยอ" "ศรีปากประ" ตรงบริเวณหัวโค้ง ซึ่งมีศรชี้ไปทางขวา คือเราต้องเดินเข้าไปในซอยนั้นแหละ ส่วนที่พักเราได้จองไว้ที่ Wetlandcamp บ้านชายเล ซึ่งอยู่ก่อนถึงสวนพฤกษศาสตร์ฯ คือถ้าเราไม่เดินเข้าไปเองก็สามารถโทรให้ทางที่พักออกมารับก็ได้ เพราะถ้าเดินไปก็กิโลกว่าๆ น่ะ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นคิดว่าไม่น่าไกลมั้ง ลองเดินชมวิวไปเรื่อยๆ ดีกว่า
เดินครงไปได้หน่อยก็เจอป้ายบอกว่า บ้านชายเล เลี้ยวขวา ก็ไม่ยากเดินเลี้ยวขวาไป
เดินไปสักพักก็เจอป้ายบ้านชายเลอีก อย่างนี้ทำให้เพิ่มความมั่นใจมากขึ้น แต่ร้อนใช้ได้เลย
อืมม.. หนทางช่างยาวไกล
เดินมาสักพักเจอป้าย "ศรีปากประ" นั่นแปลว่าเราใกล้ถึงจุดหมายแล้ว
นั่นไง ป้าย wetland เดินตรงไปอีก
อุ๊ย เริ่มเห็นอะไรแว่บๆ ละ ใกล้ถึงแล้วม้าง
เจอแล้ว บ้านชายเล แหม่เดินไกลใช้ได้เลยนะ แดดก็ร้อน ถ้าใครมาแบคแพ็คโทรให้เขามารับดีกว่าค่ะ แต่ถ้าชอบเดินก็แล้วแต่นะ ตามใจ
ทางเข้าด่านแรกเจอสะพานไม้เก่าๆ ค่ะ ให้เดินตรงไปข้างในได้เลย
ด่านแรกที่เจอก็เป็นโซนรับแขกค่ะ มีโต๊ะนั่งพักผ่อน ตรงนี้ลมเย็นดีจริงๆ
ส่วนอันนี้คือทางเข้าไปยังห้องต่างๆ ที่บ้านชายเล หรือ Wetlandcamp มีห้องพักเพียง 4 หลังเท่านั้นค่ะ เรามีโอกาสได้เจอกับคุณหนุ่มซึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ เขาบอกว่ามีแค่ 4 หลังแค่นี้พอละ ไม่อยากให้มันเป็นธุรกิจเกินไป การที่มีคนมาพักที่นี่ไม่เว้นวันเป็นเพราะปากต่อปาก เพราะเขาไม่เคยทำการโฆษณาใดๆ เลย ทั้งหมด 4 หลังนี่ หลังที่ 2 กับ 3 ถือว่าวิวสวยสุดค่ะ เป็นเพราะว่าเราสามารถมองวิวทะเล ท้องฟ้า ได้กว้างๆ โดยไม่มีอะไรมาบังสายตาเหมือนห้อง 1 และห้อง 4 ส่วนราคาแต่ละหลังอยู่ที 2000 ไม่ว่าจะช่วงโลหรือเทศกาลก็ราคานี้เท่านั้น แต่สำหรับใครที่ต้องการประหยัดงบ ยังมีอีกหลังนึงซึ่งนอนได้หลายคน หลังนี้อยู่ด้านในไม่ติดทะเล หัวละ 450 พร้อมอาหารเช้า อันนี้ก็น่าสนใจมิใช่น้อย
แต่ว่าตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว เราหิวมากเลย คนแรกที่ได้เจอคือแม่บ้านชื่อปุก เป็นแม่บ้านทำความสะอาดห้องและทำกับข้าวประจำของที่รีสอร์ทนี้ ความเกรงใจหายไปสิ้น เราถามหาว่ามีอะไรกินบ้าง ที่นี่ไม่มีร้านอาหารนะ ถ้าไม่มีรถมาแบบเรานี่ แนะนำให้ตุนอาหารมาด้วย ไม่งั้นได้หิวโซแน่ แต่ใกล้ๆ กันนี้ก็มีร้านวิวยอ ร้านอาหารร้านเดียวในบริเวณนี้ที่เราสามารถฝากท้องกันได้... และแล้ว แม่บ้านที่แสนใจดีก็จัดแจงหาข้าวปลาอาหารมาให้กินอย่างดีเลย น่ารักจริงๆ ที่สำคัญ อร่อยมากๆ ด้วย
หลังจากกินอิ่มแล้วเราก็ได้เข้าห้องพักหมายเลขสอง หลังที่วิวสวยกว่าห้องอื่นๆ ณ เวลาเช่นนี้เข้าไปหลบร้อน ตากแอร์เย็นๆ ก่อนดีกว่า ก่อนที่จะออกไปท่องเที่ยวในช่วงเย็น ซึ่งได้ทำการพูดคุยกับแม่บ้านเอาไว้ว่าวันนี้สามีของแม่บ้านจะพาไปเที่ยวประมาณ 3 จุด โดยคิดค่าเสียหายอยู่ที่ 1000 บาท อืมก็แพงอยู่นะ แต่ต้องยอมเพราะที่นี่ไม่มีสองแถวหรือรถประจำทางอะไรเลย ถ้าเป็นไปได้มากับเพื่อนจะดีกว่าค่ะ อย่างน้อยก็มีคนช่วยหารค่ารถ ค่าเรือ
ห้องกว้างขวาง สามารถนอนได้ถึง 4-5 คน แต่ความจริงแต่ละหลังพักได้สองคน ถ้ามีเพิ่มก็จ่ายหัวละ 400 บาท
เอาล่ะตอนนี้ก็เกือบๆ สี่โมงเย็นละ ได้เวลาออกไปเตร็ดเตร่กันเสียหน่อย ไปกับ "พิด" สามีของแม่บ้าน "ปุก" นี่เอง
วังเก่าแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อครั้งพระยาอภัยบริรักษ์ ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุง สถานที่แห่งนี้จึงมีฐานะเป็นที่ว่าราชการเมืองพัทลุง จนกระทั่ง พ.ศ.๒๔๓๑ พระยาอภัยบริรักษ์กราบบังคมทูลลาออกจากราชการ ด้วยมีความชราภาพและดวงตามืดมัวเนื่องจากเป็นโรคต้อกระจก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาวรวุฒิไวยวัฒลุงควิสัยอิศรศักดิ์พิทักษ์ราชกิจนริศราชภักดีอภัยพิริยพาหะ จางวางเมืองพัทลุง พระยาวรวุฒิไวยฯ ยังคงพำนักอยู่ ณ วังแห่งนี้ต่อมาจนถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ.๒๔๔๖ วังแห่งนี้จึงเป็นมรดกตกทอดไปยังหลวงศรีวรวัตรและทายาทตามลำดับ
สถานีต่อไปคือ "หาดแสนสุขลำปำ" ตั้งอยู่ ต.ลำปำ อ.เมือง จ.พัทลุง หาดแสนสุขเป็นหาดทรายที่มีทิวสนร่มรื่นอยู่ทางด้านฝั่งทะเลสาบสงขลา เมื่อมองไปด้านหน้าจะเห็นทะเลสาบสงขลา เกาะน้อยใหญ่เรียงรายสวยงาม
สถานีต่อไปคือ ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
ถนนเส้นนี้เปิดใช้งานเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2550 เป็นเส้นทางที่สร้างตามแนวระหว่างทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลา และเป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 8 กม. ซึ่งมีจุดจอดรถให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิวโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นควายน้ำ หรือบ้านสองหลังนี้
บ้านแดงหลังนี้เดิมทีเป็นของคนงานที่สร้างไว้อยู่อาศัยเมื่อตอนที่สร้างสะพานเฉลิมพระเกียรติฯ แต่พอสร้างสะพานเสร็จก็ทิ้งบ้านหลังนี้ไว้ ทางจังหวัดเห็นว่าสวยดีเลยเก็บไว้มิได้รื้อทิ้งแต่อย่างใด กลายเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยงามของนักท่องเที่ยว แต่ชาวบ้านแถวนั้นเขาเล่ากันว่ามีนักการเมืองทำการรุกล้ำพื้นที่แถวนี้ โดยสร้างบ้านหลังนี้ไว้เพื่อประกาศอาณาเขตของตนเอง แต่ไม่สามารถทำได้เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ของอุทยานฯ สุดท้ายนักการเมืองผู้โลภมากก็ต้องจากไป เหลือไว้แต่บ้านแดงร้างหลังนี้ ให้พวกเราได้ดูต่างหน้า
เราสามารถเดินลงมาใต้สะพานได้โดยไต่บันไดไม้ที่เห็นในภาพนี้ลงมา มันจะอยู่ตรงจุดพักรถใกล้ๆ กับบ้านแดงนี่ล่ะ ตอนแรกก็ไม่กล้าลงเพราะดูเสียวๆ กลัวร่วง แต่เอาวะ ไหนๆ ก็ถ่อมาถึงนี่แล้ว มาถึงบ้านในฝันหลังนี้แล้ว ยังไงขอเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ หน่อยละกัน ก็อ้าขากว้างๆ นั่งค่อมขอบสะพานอย่างระวังแล้วเกาะให้แน่น ค่อยๆ ปีนลงมาอย่างช้าๆ ไม่ยากค่ะไม่ยาก
ในที่สุดเราก็ได้ลงมาแลนดิ้งกันตรงนี้
บ้านแดงหลังนี้ ถ้าปรับปรุงให้เป็นร้านกาแฟนะ คงจะฟินน่าดู เนื่องจากบรรยากาศที่งดงาม เป็นจุดพักรถด้วย รับรองว่าตรงนี้ต้องเป็นจุดไฮไลต์ที่โดดเด่นที่สุดของสะพานแห่งนี้
หลังจากชื่นชมบ้านร้างอย่างจุใจแล้ว เราก็ขึ้นรถและนั่งยาวไปจนสุดสะพานฝั่งโน้นเลย ซึ่งฝั่งโน้นเป็นบ้านหัวป่า อ.ระโนด จ.สงขลา ณ ตรงนั้นเราได้เจอฝูงควายที่อยู่ในคอกอย่างใกล้ชิด เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ได้ยลโฉมหน้าของควายอย่างใกล้ชิดขนาดนี้
ควายย่อมมีความงามในตัวของมันเอง เห็นหน้าเขาแล้วคิดเลยว่าชีวิตควายย่อมผ่านอะไรมามากมายจริงๆ
เย็นนี้ที่สะพานเฉลิมพระเกียรติ เราไม่สามารถถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกได้อย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะเมฆบดบังไปทั่ว แต่ไม่เป็นไรไว้ลุ้นพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้เช้าแทนละกัน ก่อนกลับ แวะซื้อน้ำบูดูจากชาวบ้าน ขวดละ 20 บาท กะว่าซื้อไปให้แม่บ้านปุกทำให้กินพรุ่งนี้เช้า อยากกินมานานแล้ว
หลังจากนั้นพระอาทิตย์ก็ร่ำลาท้องฟ้า วันนี้ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้เรามาอยู่ที่พัทลุงแล้วจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย