หมู่บ้านในสายหมอก ที่บ้านห้วยห้อม
เราไปที่นี่แล้วถึงสี่ครั้ง!! ทั้งที่ไม่มีอะไรโดดเด่นถ้าเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวทั่วๆไป แต่ที่แห่งนี้กลับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ครั้งแรกไปแบบไม่ได้ตั้งใจ ตอนห้าโมงเย็นวันศุกร์เปิดเวปดูเรื่องนาขั้นบันไดแล้วชื่อของห้วยห้อมก็ขึ้นมา ดูเสร็จตัดสินใจเก็บกระเป๋าโดดขึ้นรถเที่ยวหนึ่งทุ่ม รู้อย่างเดียวบ้านห้วยห้อมอยู่อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เรื่องอื่นค่อยหาข้อมูลระหว่างเดินทาง ครั้งแรกนั่งรถไปทางเชียงใหม่แล้วต่อรถตู้ที่อาเขตไปแม่ลาน้อย ครั้งล่าสุดมีรุ่นน้องไปด้วยเลยลองไปทางแม่สะเรียงดูแล้วค่อยหารถต่อไปแม่ลาน้อยอีกที
(เราสามารถเดินทางไป บ้านห้วยห้อม ได้ทั้งจากเชียงใหม่และจากแม่สะเรียง แล้วต่อรถเข้า อำเภอแม่ลาน้อย)
ตารางเดินรถ กทม - เชียงใหม่
ตารางเดินรถ กทม - แม่สะเรียง
เราเลือกที่จะเดินทางกลางคืนเพราะจะถึงที่แม่สะเรียงเช้าพอดีน่าจะสักเจ็ดโมงเช้า เพื่อหารถจะไปแม่ลาน้อย แต่คนที่ท่ารถบอกว่าถ้ารถจะไปแม่ลาน้อยมีอีกทีสิบโมงนะ เอาไงดี!! ถ้าให้นั่งรอตั้งสามชั่วโมงเดี๋ยวจะไปถึงบ้านห้วยห้อมกี่โมงก็ไม่รู้เลยตัดสินใจว่าจะโบกรถไปเองดีกว่า
ท่ารถที่แม่สะเรียงช่วงเช้ายังไม่มีรถโดยสารต้องหารถไปอำเภอแม่ลาน้อยเอง
ว่าแล้วก็เดินถามทางว่าจะไปแม่ลาน้อยไปทางไหน พี่เค้าก็แนะนำว่าให้เดินออกไปทางถนนหลัก แถวนั้นรถจะเยอะลองอาศัยโบกรถหรือหารถโดยสารที่ผ่านมาน่าจะไปไม่ยาก
ระหว่างทางก็แวะถามไปเรื่อยๆเผื่อฟลุ๊คเค้าผ่านไปจะได้ติดรถไปด้วย
หลังจากที่พยายามหารถอยู่นานด้วยอากาศเริ่มจะร้อนขึ้นทุกทีเราจะเลือกรถมากก็ไม่ได้ถึงเป็นรถบรรทุกเราก็จะไปแล้วแหละ!! โชคดีมาได้รถพี่ๆ กรมอนุรักษ์สัตว์ป่าผ่านไปทางอำเภอแม่ลาน้อยพอดี้พอดี อันที่จริงพี่เค้าขับเลยไปแล้วเห็นเราเดินโบกรถเก้ๆกังๆ เค้าเลยจอดรอ (กราบขอบคุณพี่ๆ ณ.จุดนี้ ^^)
หลังจากขึ้นมาเรียบร้อยพี่ๆก็ถามไถ่เป็นไงมาไง
เรา: มาจากกรุงเทพฯ จะไปบ้านห้วยห้อม พี่จะผ่านไหม
พี่: ไม่ผ่านหรอก ส่งได้แค่ปากทาง แม่ลาน้อย ต้องหารถขึ้นไปเองอีกสิบกว่าโลมั้ง
พี่: แล้วปกติรถแม่สะเรียงที่น้องนั่งมาเนี่ยมันผ่านแม่ลาน้อยนะ วันหลังไปลงโน่นเลย จะได้ไม่ต้องโบกรถไปเอง
เรา: ….. โบกรถไปก็อากาศดีไปอีกแบบเน้อะ (แก้เขินกันไป)
อันที่จริงถ้าเราต้องนั่งอยู่ในรถตู้หรือรถทัวร์ ด้วยสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เราคงไม่มีโอกาสได้สูดอากาศดีๆจนชุ่มปอด เจอลมเย็นๆพัดใส่หน้า ชีวิตเหมือนได้ถูกปลดปล่อย ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอะไรให้มันวุ่นวาย
ตลอดสองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาทึบทำให้อากาศร้อนๆเย็นลงขึ้นทันตา
ถึงปากทางขึ้นแม่ลาน้อยแล้วสอบถามจากชาวบ้านก็ได้ความว่า ถ้าเราไม่มีรถส่วนตัวมาเองก็ต้องขออาศัยโบกรถชาวบ้านขึ้นไปจ้าาา ประมาณสิบห้าโลเอง(ระยะทางอาจไม่ตรงนะครับ ประมาณเอา) ซึ่งนานๆจะมีรถจากชาวบ้านผ่านมาที เดินสักพักก็ได้รถครอบครัวชาวบ้านใจดีให้ติดรถไปด้วยแต่ไปถึงแค่หมู่บ้านกลางทางที่เหลือเราก็ต้องหารถต่อไปเองอีก … ไปสิรออะไรดีกว่าเดิน
หลังจากเดินอยู่ไม่นานก็ได้รถขึ้นดอยแล้ว เย่!!
ต้องขอบคุณน้องๆที่ยอมให้ติดรถขึ้นไปด้วย ^^
รถเราเปิดประทุนสามารถเก็บภาพได้ 360 ํ
ด้วยความที่เรามาถึงก็เกือบจะเที่ยงแล้วอากาศค่อนไปทางร้อนถึงร้อนมาก ชุดกันหนาวที่เตรียมมาเหมือนว่าเราจะเตรียมมาผิดที่รึเปล่า!! ทำไมไม่หนาวเลย >< แต่พอรถเริ่มไต่ระดับสู่ยอดดอย เมฆก็เริ่มเยอะขึ้นอากาศที่เคยร้อนก็เริ่มจะเย็นลง และบรรยากาศสองข้างทางที่ทำให้ร้อง....ว้าววววววว ออกมาแบบไม่รู้ตัว
นี่เราขึ้นมาสูงขนาดไหนแล้วเนี่ย ว้าวววววววว
ขึ้นไปยังไม่ถึงยอดดอยดีก็ต้องหารถไปต่อเพราะรถหมดระยะ(พี่เค้าถึงหมู่บ้านเค้าแล้ว) จากตีนดอยที่ร้อนแทบละลาย ขึ้นมาเรื่อยๆอากาศเริ่มเย็นลงมองไปเหมือนมีเมฆมาลอยอยู่ใกล้ๆ จนตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ด!! แต่เรายังต้องเดินต่อไปอีกไกลเท่าไหร่ไม่รู้ โชคยังดีที่เดินต่อไปไม่นานก็มีรถผ่านมา แล้วเค้าจะไปทางบ้านห้วยห้อมพอดีเลยขอติดรถไปด้วย ^^ ไม่งั้นคงเดินตากฝนจนค่ำแน่ๆ
ฝนลงเม็ดพอดี ถ้าไม่ได้รถต้องเดินตากฝนกันแน่ๆเลย
แล้วไม่นาน เราก็มาถึงจุดที่ต้องเดินไปเองจริงๆแล้ว ถามจากชาวบ้านก็ได้ความว่าเดินไปสักสามถึงสี่กิโลก็จะถึงแล้วหละ แต่ด้วยที่เป็นหน้าฝนทางก็เป็นดินโคลนอาจจะเดินลำบากนิดหน่อย ปกตินักท่องเที่ยวถ้าหน้าฝนจะมาได้แค่จุดนี้เพราะรถไปต่อไม่ไหวนอกจากจะเป็นรถกระบะหรือรถโฟวิลไดร์ แต่ฤดูอื่นสามารถเข้าไปได้สบาย ถามว่าเหนื่อยไหมตอบเลยว่าไม่ เพราะด้วยอากาศที่เริ่มเย็นจนต้องหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ กลิ่นดินหอมๆหลังฝนตก ไอหมอกบางๆที่ลอยผ่านหน้า และอากาศบริสุทธิ์ที่มีให้สูดเข้าไปเหมือนไม่มีวันหมดมันทำให้ลืมไปเลยว่าเรามาไกลแค่ไหนกว่าจะถึงตรงนี้
หมอกจางๆที่ลอยผ่านมา เหมือนจะเอามือคว้ามาไว้ได้เลย
แล้วเราก็มาถึงหมู่บ้านในสายหมอก บ้านห้วยห้อม ชาวบ้านที่นี่นับถือศาสนาคริสต์ มีอาชีพหลักทำการเกษตร มีกาแฟรสชาติดี เราจากคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลยจนเราเริ่มหันมาสนใจดื่มกาแฟ เพราะได้ลองกาแฟหอมๆจากที่นี่แหละ และอาชีพเสริมบ้านของชาวบ้านคือการทอผ้าขนแกะและผ้าฝ้าย
ถึงซะทีในตัวหมู่บ้านถนนจะลาดยางแล้ว จะเป็นทางลูกรังแค่ช่วงก่อนถึงหน้าหมู่บ้านเท่านั้น
วิถีชาวบ้านและกาแฟหอมๆของที่นี่
“ที่พักราคาร้อยบาทกับวิวที่สวยเกินราคา”
โฮมสเตย์ ที่นี่ราคาคืนละหนึ่งร้อยบาทเท่านั้น กับวิวที่สวยเกินราคา อาหารมื้อละห้าสิบบาท เป็นอาหารพื้นบ้าน ใครมีฝีมือทำอาหารสามารถจัดการได้เลย มีปลา มีไข่ มีผักริมรั้ว ฯลฯ เท่าที่จะหาได้
วิวพาโนราม่าจากระเบียงห้องพัก
ครัวในบ้าน นอกจากเป็นครัวหลักที่ใช้ประกอบอาหารแล้วยังช่วยให้ความอบอุ่นในบ้านอีกด้วย
ผักฟักแม้ว - ไข่เจียว - ต้มฟักแม้ว - น้ำพริกถั่วเน่า - ข้าวสวยร้อนๆ
ฟักแม้วริมระเบียง อาหารหลักของเรา
ไปถึงก็ประมาณสาม-สี่โมง ยังมีเวลาเหลือพอให้ออกไปสำรวจรอบๆหมู่บ้าน ว่าแล้วก็ขอยืมมอไซค์ของชาวบ้านขับวนดูสักหน่อย สังเกตว่าที่หมู่บ้านจะมีหมอกลงตลอดเกือบทั้งวันบางวันแทบไม่มีแสงแดดเลย ทำให้อากาศที่นี่เย็นสบายมากๆ รอบๆหมู่บ้านจะเป็นการปลูกผักทำนาขั้นบันได้ และปลูกกาแฟตามเนินเขา ชาวบ้านที่นี่ใช้ชีวิตเรียบง่ายพึ่งพาอาศัยกันสามารถอยู่กันเองได้ แทบจะไม่ต้องออกไปจากหมู่บ้านเลย
ได้มอไซค์แล้วก็ซิ่งเลย
รอบๆหมู่บ้านหมอกจะลงจัดมากนึกว่า ไซเรนฮิว
วิวจากด้านหลังหมู่บ้าน มองไปได้ไกลลิบตา
แปลงผักชาวบ้าน
นาขั้นบันได
เช้าวันใหม่กับกลิ่นคั่วกาแฟหอมฟุ้งทั่วหุบเขา กาแฟอาราบิก้ารสเข้มข้นของที่ห้วยห้อมปลูกที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึงหนึ่งกิโลเมตรและไม่ใช้สารเคมีใดๆ จึงได้กาแฟรสชาติพิเศษเฉพาะตัว และกาแฟของที่นี่ ปลูกเอง คั่วเอง ขายเอง จึงไม่แปลกใจเลยไม่ว่าจะแวะทักทายบ้านหลังไหนเค้าก็จะมีกาแฟกลิ่นหอมๆจากไร่ของเค้าเองมาต้อนรับเราเสมอ
ถูกปลุกให้ตื่นด้วยกลิ่นคั่วกาแฟยามเช้าหอมฟุ้งไปทั่วหุบเขา
คุณตาผู้ใหญ่บ้าน ผู้บุกเบิกกาแฟอาราบิก้าของห้วยห้อมให้ดังไปไกลระดับโลก
วิถีชาวบ้านและกาแฟอาราบิก้าหอมๆ
ความเงียบสงบและเรียบง่าย รอยยิ้มของชาวบ้าน กลิ่นหอมๆของกาแฟยามเช้า อากาศที่ดีจนหาคำบรรยายได้ไม่ถูก ทั้งหมดนี้คือเสน่ห์ของที่นี่ … บ้านห้วยห้อม
หมู่บ้านห้วยห้อม
ขาลงจากดอยก็ไม่ยากเท่าตอนมาเพราะอาศัยติดรถชาวบ้านที่จะเข้าไปทำธุระในเมืองลงมาให้ทันรถเที่ยวค่ำที่จองไว้เพื่อกลับไปใช้ชีวิตในเมืองอีกครั้ง
กลับก่อนนะ แล้วเราจะมาใหม่