ไปเที่ยวกันเถอะ เชียงใหม่หน้าฝน บ้านระเบียงดาว - สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
สวัสดีค่ะทุกคน
เราเป็นอีกคนที่ชอบและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ท่องเที่ยว เวลาว่างก็จะชอบมาหารีวิว กิน เที่ยว หรือสิ่งอื่นๆที่สนใจในพันทิปอ่านเป็นประจำ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากได้อ่านหลายกระทู้ที่เขียนรีวิวทริปเที่ยวในหน้าฝน ก็เกิดกิเลสอยากออกไปสัมผัสอากาศสดชื่นชุ่มฉ่ำดูบ้าง รู้สึกว่ามันก็น่าเที่ยวไปอีกแบบ คนก็น่าจะน้อยด้วย เลยชวนผู้ร่วมเดินทางคนรู้ใจไปเที่ยวเชียงใหม่หน้าฝนกัน และเป้าหมายของเราก็คือ “บ้านระเบียงดาวและสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” ค่ะ ทริปนี้ใช้เวลาเตรียมล่วงหน้าน้อยมากแค่เดือนกว่าๆ ดีใจที่จะได้ไปเชียงใหม่อีกครั้ง เพราะตอนต้นปีก็ตั้งใจจะไปฮันนีมูนกัน แต่ต้องยกเลิกทิ้งตั๋วไปเพราะมีควันไฟทั่วเมือง
ปล.เป็นการเขียนรีวิวครั้งแรกนะคะ ข้อมูลอาจไม่เป๊ะแต่อยากเอามาแบ่งปันกัน ขออภัยหากมีข้อผิดพลาดและยินดีรับคำแนะนำติชมค่ะครั้งแรกกับการเดินทางด้วยสายการบิน Thai Lion Air ตอนจองพี่สิงโตปล่อยโปรแบบถูกมาก ไปกลับสองคนกทม.-เชียงใหม่ 1580 บาทเองค่ะ จากสนามบินดอนเมืองลัดฟ้ามาชั่วโมงนิดๆ พี่สิงโตก็พาเราก็มาถึงเชียงใหม่แล้วเจ้า มองผ่านหน้าต่างไปอากาศสดใส ขอให้ฟ้าฝนเป็นใจด้วยเถอะ
เราจองรถเช่าของบริษัท AVIS ไว้ค่ะ รับรถเสร็จก็ได้เวลามื้อเที่ยงพอดี ตั้งใจไว้แล้วว่ามื้อแรกต้องไปกินข้าวซอย เปิดกูเกิ้ลแมพตรงไป
“ร้านข้าวซอยอิสลาม” กันค่ะ ร้านอยู่ถ.เจริญประเทศซอย 1 ซอยมัสยิดฮิดายาตุ้ลอิสลาม(บ้านฮ่อ) เราถึงร้านประมาณบ่ายโมง คนไม่แน่นร้านเพราะเลยเวลาพักเที่ยงพอดี ร้านหาไม่ยาก เราจอดรถไว้ริมถนนด้านนอกแล้วเดินเข้าซอยมาค่ะ อร่อยถึงเครื่องทุกอย่างเลย ไม่ผิดหวังที่ตั้งใจมา
ข้าวซอยเนื้อกลมกล่อมเข้มข้น
ข้าวหมกแพะ เนื้อนุ่มชุ่มหอมเครื่องเทศมาก
ข้าวหมกไก่ ซุปเนื้อเปื่อยแซ่บถึงใจ ซดจนเกือบหมดชาม
น้ำผึ้งมะนาวและน้ำตะไคร้อีกคนละแก้ว มื้อนี้ค่าเสียหาย 300 บาทถ้วน อิ่มพุงแล้วก็มุ่งหน้าสู่สถานีต่อไป “เชียงดาว”
นั่นไง "ดอยหลวงเชียงดาว" มองไกลๆยังสวยขนาดนี้
พอฝนซาก็ได้เวลาเข้าชม “ถ้ำเชียงดาว" กัน ทางเข้ามีเจ้าหน้าที่คอยเก็บค่าบำรุงกระแสไฟฟ้าคนละ 20.- บาท ใครนุ่งสั้นจะมีผ้าถุงยาวให้สวมทับก่อนเข้าไปนะคะ สำหรับการเดินชมภายในถ้ำ มี 3 เส้นทาง คือ
เส้นทางที่ 1 ถ้ำพระนอน ยาว 360 ม. มีไฟฟ้าส่องสว่าง สามารถเดินชมได้ด้วยตนเอง
เส้นทางที่ 2 ถ้ำแก้ว-ถ้ำน้ำ ยาว 734 ม.
เส้นทางที่ 3 ถ้ำมืด-ถ้ำม้า ยาว 735 ม.
ในเส้นทางที่ 2-3 จะเป็นถ้ำมืดไม่มีไฟฟ้า ถ้าต้องการจะเข้าชม จะมีไกด์ซึ่งเป็นกลุ่มแม่บ้านอาสาสมัครเชียงดาวถือตะเกียงนำทางให้ค่ะ
ถ้ำพระนอน สามารถเดินเข้าชมได้เลยหลังจ่ายค่าบำรุงคุณป้าบอกว่าถ้าฝนตกหนักติดต่อกัน 4-5 วันก็ไม่สามารถเข้ามาชมได้ ป้าชี้ให้เราดูระดับน้ำ สูงท่วมหัวเลยค่ะ ทำให้พื้นถ้ำมีทรายละเอียด ใครมาถึงวัดแล้วไม่ได้เข้ามาชมถ้ำถือว่าพลาดมาก ป้าบอกว่าถ้าหน้าท่องเที่ยวคนเยอะจะหายใจยากกว่านี้อีก
มามุดถ้ำชมหินกัน เข้ามาถึงข้างในถึงได้รู้ว่าถ้ำใหญ่และยาวมากใช้เวลาในการชมถ้ำเกือบชั่วโมง แอบหอบนิดๆ ชมถ้ำเสร็จก็ให้ทิปป้าเป็นสินน้ำใจ ป้านี่ยิ้มแฉ่งแล้วบอกเราให้ขับรถขึ้นที่พักด้วยความระมัดระวัง ฝนเพิ่งตกถนนคงลื่น ความอบอุ่นเล็กๆก่อนจากกัน
ออกมาหน้าถ้ำฝนหยุดตกพอดี อากาศเย็นสดชื่น น้ำในลำธารสวยใสจริงๆ ยกมื้อไหว้ลาพระพุทธรูป แล้วขับรถขึ้นที่พักสุดแสนชิวของคืนนี้กันอิ่มแล้วก็นั่งถ่ายรูปเก็บบรรยากาศและอ่านหนังสือที่เตรียมกันมา เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าแทบไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ (จขกท.ใช้ค่ายทรูค่ะ) ตัดขาดจากโซเชี่ยลชั่วคราว เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนจริงๆ
ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ลมโชยพัดมา อากาศเริ่มเย็น เข้าไปนอนเล่นในห้องดีกว่า เข้านอนแต่วันในรอบปีเลยค่ะ“มีหมอกมั๊ยๆ” ได้ยินแต่เสียงคนถามหาสายหมอก รีบลุกออกมา อากาศสดชื่นมาก แต่น่าเสียดายเช้านี้ไม่มีหมอกมาให้เราเห็นเลย ครู่หนึ่งมื้อเช้าก็ยกมาเสิร์ฟถึงหน้าห้องเหมือนเมื่อวานค่ะ
สงบ เรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ สุขใจที่ได้มาเยือน แล้วเราจะกลับมาพบกันใหม่นะ “บ้านระเบียงดาว”
เป็นน้ำตกหินปูนที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง สูงประมาณ 20 เมตร ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ
รถสองแถวประจำทางสีเหลืองวิ่งระหว่างเชียงดาว-บ้านอรุโณทัย เราเลือกขึ้นดอยอ่างขางทางอรุโณทัย ทางขึ้นดอยไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เส้นทางค่อนข้างแคบแต่ไม่ลาดชัน แทบไม่มีรถสวนและขับตามเลย ถ้ามาหน้าท่องเที่ยวรถคงเยอะและคงต้องระวังเป็นพิเศษ ขับรถไปมีแต่วิวภูเขาและต้นไม้สองข้างทง มองไปทางไหนก็สดชื่น อากาศดี เลยปิดแอร์ลดกระจกให้ลมเย็นปะทะหน้า แทบจะหลับตานอน
ที่นี่เป็นสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวงนะคะ สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้านผักไผ่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และได้เสด็จผ่านบริเวณดอยอ่างขาง ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าชาวเขาส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ทำการปลูกฝิ่นแต่ยังยากจน ทั้งยังทำลายทรัพยากรป่าไม้ต้นน้ำลำธารที่เป็นแหล่งสำคัญต่อระบบนิเวศน์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนอื่นของประเทศได้ จึงทรงมีพระราชดำริว่าพื้นที่นี้มีภูมิอากาศหนาวเย็น มีการปลูกฝิ่นมาก ไม่มีป่าไม้อยู่เลยและสภาพพื้นที่ไม่ลาดชันนัก ประกอบกับพระองค์ทรงทราบว่าชาวเขาได้เงินจากฝิ่นเท่ากับที่ได้จากการปลูกท้อพื้นเมือง และทรงทราบว่าที่สถานีทดลองไม้ผลเมืองหนาวของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ทดลองวิธีติดตา ต่อกิ่งกับท้อฝรั่ง จึงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1,500 บาท เพื่อซื้อที่ดินและไร่จากชาวเขาในบริเวณดอยอ่างขางส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยทรงแต่งตั้งให้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งประธานมูลนิธิโครงการหลวง ใช้เป็นสถานีวิจัยและทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล ผัก ไม้ดอก เมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขาในการนำพืชเหล่านี้มาเพาะปลูกเป็นอาชีพ ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานนามว่า “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” ค่ะ อ้างอิงข้อมูลจากเว็บของสถานีเกษตร http://www.angkhangstation.com/ ข้อมูลเพิ่มเติมรวมถึงราคาห้องพักเข้าไปดูได้ที่นี่เลย มุมถ่ายรูปที่ใครๆก็มาโพสท่ากัน
มาดูโซนบ้านพักกันค่ะ มีให้เลือกพักหลายแบบ ถ่ายมาแค่บางส่วนนะคะ
บ้านซากุระเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ไม่ควรพลาดค่ะ
กลับมาสถานีเกษตร ชมดอกไม้ใน “สวน๘๐” ฝั่งตรงข้ามสโมสรก่อนทานมื้อเย็นกันสักหน่อยตะลอนมาทั้งวัน เติมพลังกันหน่อย เมนูน่าทานทั้งนั้น อีกหนึ่งข้อดีของการเที่ยวหน้าโลว์ซีซั่นคือเลือกสั่งอาหารได้ตามใจชอบ เพราะถ้าเป็นหน้าท่องเที่ยวทางสโมสรจะบริการเป็นไลน์บุฟเฟต์ทั้งช่วงเช้าและเย็นค่ะ
ปลาสเตอเจียนทอดกระเทียมอาหารอร่อยสมคำร่ำลือค่ะ มื้อนี้จ่ายไป 550 อิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาหย่อนกลับไปนอนออมแรงไว้เที่ยววันถัดไปดีกว่า แปปเดียวหมดไปอีกหนึ่งวัน
เมื่อคืนอากาศเย็นหลับสบายมากไม่อยากตื่นเลย แต่ก็ต้องลากร่างออกจากเตียง เพราะอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ “จุดชมวิวขอบด้ง” จุดชมวิวนี้ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางที่จะไปหมู่บ้านขอบด้งและหมู่บ้านนอแลค่ะ
เที่ยวรอบนี้สงสัยลืมพวกดวงมาด้วยนะเรา สูดอากาศสดชื่นให้เต็มปอด แล้วกลับสโมสรทานมื้อเช้ากันดีกว่า
ข้าวต้มเห็ดหอมร้อนๆคลายหนาว ขาหมูหมั่นโถวหนึ่งชุด ข้าวไข่ดาวอีกหนึ่งจาน หมั่นโถวแบบทอดที่นี่อร่อยมาก มื้อเช้านี้จ่ายไป 175 บาทค่ะกลับห้องพัก เผลอหลับกันไปตอนไหนไม่รู้ตื่นมาดูนาฬิกา 10.30 กะจะงีบแค่แปปเดียวปาไปชั่วโมงกว่า รีบเก็บของแล้วออกไปชมสถานีเกษตรกันอีกนิดยังไม่ทั่วเลยยย
อีกหนึ่งไฮไลท์ของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ใครใครก็มาถ่ายรูปกัน เรามาหน้าฝนก็จะได้เห็น “สวนบ๊วย” ผลิใบเขียวขจีแบบนี้ มองแล้วสวยสดชื่นสบายตาไปอีกแบบ ปกติดอกบ๊วยจะบานสะพรั่งในเดือนพฤศจิกายน และออกผลเดือนมกราคมค่ะ
ยังยืนยันความอร่อยทุกจานและทุกมื้อค่ะ ติดใจหมั่นโถวทอดสั่งใส่กล่องกลับบ้านอีก 1 ชุด ทั้งหมดนี้ 420 บาทค่ะ
ลาเต้เย็นหอมมาก พีชปั่นเปรี้ยวๆหวานๆ ยังไม่อยากกลับเลย สัญญาจะหาโอกาสกลับมาชมดอกนางพญาเสือโคร่งและสัมผัสอากาศหนาวที่นี่ให้ได้