ไปเที่ยวกันเถอะ เชียงใหม่หน้าฝน บ้านระเบียงดาว - สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
สวัสดีค่ะทุกคน
เราเป็นอีกคนที่ชอบและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ท่องเที่ยว เวลาว่างก็จะชอบมาหารีวิว กิน เที่ยว หรือสิ่งอื่นๆที่สนใจในพันทิปอ่านเป็นประจำ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากได้อ่านหลายกระทู้ที่เขียนรีวิวทริปเที่ยวในหน้าฝน ก็เกิดกิเลสอยากออกไปสัมผัสอากาศสดชื่นชุ่มฉ่ำดูบ้าง รู้สึกว่ามันก็น่าเที่ยวไปอีกแบบ คนก็น่าจะน้อยด้วย เลยชวนผู้ร่วมเดินทางคนรู้ใจไปเที่ยวเชียงใหม่หน้าฝนกัน และเป้าหมายของเราก็คือ “บ้านระเบียงดาวและสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” ค่ะ ทริปนี้ใช้เวลาเตรียมล่วงหน้าน้อยมากแค่เดือนกว่าๆ ดีใจที่จะได้ไปเชียงใหม่อีกครั้ง เพราะตอนต้นปีก็ตั้งใจจะไปฮันนีมูนกัน แต่ต้องยกเลิกทิ้งตั๋วไปเพราะมีควันไฟทั่วเมือง
ปล.เป็นการเขียนรีวิวครั้งแรกนะคะ ข้อมูลอาจไม่เป๊ะแต่อยากเอามาแบ่งปันกัน ขออภัยหากมีข้อผิดพลาดและยินดีรับคำแนะนำติชมค่ะครั้งแรกกับการเดินทางด้วยสายการบิน Thai Lion Air ตอนจองพี่สิงโตปล่อยโปรแบบถูกมาก ไปกลับสองคนกทม.-เชียงใหม่ 1580 บาทเองค่ะ จากสนามบินดอนเมืองลัดฟ้ามาชั่วโมงนิดๆ พี่สิงโตก็พาเราก็มาถึงเชียงใหม่แล้วเจ้า มองผ่านหน้าต่างไปอากาศสดใส ขอให้ฟ้าฝนเป็นใจด้วยเถอะ
เราจองรถเช่าของบริษัท AVIS ไว้ค่ะ รับรถเสร็จก็ได้เวลามื้อเที่ยงพอดี ตั้งใจไว้แล้วว่ามื้อแรกต้องไปกินข้าวซอย เปิดกูเกิ้ลแมพตรงไป
“ร้านข้าวซอยอิสลาม” กันค่ะ ร้านอยู่ถ.เจริญประเทศซอย 1 ซอยมัสยิดฮิดายาตุ้ลอิสลาม(บ้านฮ่อ) เราถึงร้านประมาณบ่ายโมง คนไม่แน่นร้านเพราะเลยเวลาพักเที่ยงพอดี ร้านหาไม่ยาก เราจอดรถไว้ริมถนนด้านนอกแล้วเดินเข้าซอยมาค่ะ อร่อยถึงเครื่องทุกอย่างเลย ไม่ผิดหวังที่ตั้งใจมา
ข้าวซอยเนื้อกลมกล่อมเข้มข้น
ข้าวหมกแพะ เนื้อนุ่มชุ่มหอมเครื่องเทศมาก
ข้าวหมกไก่ ซุปเนื้อเปื่อยแซ่บถึงใจ ซดจนเกือบหมดชาม
น้ำผึ้งมะนาวและน้ำตะไคร้อีกคนละแก้ว มื้อนี้ค่าเสียหาย 300 บาทถ้วน อิ่มพุงแล้วก็มุ่งหน้าสู่สถานีต่อไป “เชียงดาว”
นั่นไง "ดอยหลวงเชียงดาว" มองไกลๆยังสวยขนาดนี้
แวะ “วัดถ้ำเชียงดาว” กันก่อนเข้าที่พัก ลงจากรถเดินยังไม่ถึงวัดฝนเริ่มลงเม็ดซะงั้น สองคนมองหน้ากัน เอาไงดีร่มก็ไม่มี ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว เร่งฝีเท้าเข้าวัดโลดระหว่างรอฝนหยุดเราก็ให้อาหารปลากัน แต่ฝนฟ้าไม่เห็นใจถล่มมาทั้งลมทั้งฝน หามุมหลบ เก็บกล้องกันแทบไม่ทัน
พอฝนซาก็ได้เวลาเข้าชม “ถ้ำเชียงดาว" กัน ทางเข้ามีเจ้าหน้าที่คอยเก็บค่าบำรุงกระแสไฟฟ้าคนละ 20.- บาท ใครนุ่งสั้นจะมีผ้าถุงยาวให้สวมทับก่อนเข้าไปนะคะ สำหรับการเดินชมภายในถ้ำ มี 3 เส้นทาง คือ
เส้นทางที่ 1 ถ้ำพระนอน ยาว 360 ม. มีไฟฟ้าส่องสว่าง สามารถเดินชมได้ด้วยตนเอง
เส้นทางที่ 2 ถ้ำแก้ว-ถ้ำน้ำ ยาว 734 ม.
เส้นทางที่ 3 ถ้ำมืด-ถ้ำม้า ยาว 735 ม.
ในเส้นทางที่ 2-3 จะเป็นถ้ำมืดไม่มีไฟฟ้า ถ้าต้องการจะเข้าชม จะมีไกด์ซึ่งเป็นกลุ่มแม่บ้านอาสาสมัครเชียงดาวถือตะเกียงนำทางให้ค่ะ
ถ้ำพระนอน สามารถเดินเข้าชมได้เลยหลังจ่ายค่าบำรุง ค่าน้ำมันตะเกียงดวงละ 100.- บาท ตามป้ามาเลยลูก!!! ไกด์ของเราเป็นคุณป้า แกแกบอกว่าแกเป็นไกด์นำชมถ้ำมานานเกือบ 30 ปีแล้ว โอ้โห มิน่าละ เดินนำไปเล่าประวัติไปด้วยความความคล่องแคล่ว แถมยังมีอารมณ์ขัน ปล่อยมุขฮาตลอดทางคุณป้าบอกว่าถ้าฝนตกหนักติดต่อกัน 4-5 วันก็ไม่สามารถเข้ามาชมได้ ป้าชี้ให้เราดูระดับน้ำ สูงท่วมหัวเลยค่ะ ทำให้พื้นถ้ำมีทรายละเอียด ใครมาถึงวัดแล้วไม่ได้เข้ามาชมถ้ำถือว่าพลาดมาก ป้าบอกว่าถ้าหน้าท่องเที่ยวคนเยอะจะหายใจยากกว่านี้อีก
มามุดถ้ำชมหินกัน เข้ามาถึงข้างในถึงได้รู้ว่าถ้ำใหญ่และยาวมากแต่ละจุดก็ได้รับการเรียกชื่อตามสภาพรูปร่างที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและความเชื่อ มีทั้งหินงอกหินย้อยก่อตัว สิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์สวยงามจริงๆค่ะ ค้างคาวห้อยหัวเต็มไปหมดเลย อาศรมเจ้าพ่อปู่เทพฤาษี ที่เคารพสักการะของชาวบ้าน ป้าบอกว่าอยากขออะไรก็ขอเลยนะใช้เวลาในการชมถ้ำเกือบชั่วโมง แอบหอบนิดๆ ชมถ้ำเสร็จก็ให้ทิปป้าเป็นสินน้ำใจ ป้านี่ยิ้มแฉ่งแล้วบอกเราให้ขับรถขึ้นที่พักด้วยความระมัดระวัง ฝนเพิ่งตกถนนคงลื่น ความอบอุ่นเล็กๆก่อนจากกัน
ออกมาหน้าถ้ำฝนหยุดตกพอดี อากาศเย็นสดชื่น น้ำในลำธารสวยใสจริงๆ ยกมื้อไหว้ลาพระพุทธรูป แล้วขับรถขึ้นที่พักสุดแสนชิวของคืนนี้กันทางขึ้นบ้านระเบียงดาว เป็นถนนลาดยางทำไว้อย่างดี แต่ค่อนข้างแคบและมีโค้งเป็นระยะๆ ต้องขับด้วยความระมัดระวัง ตลอดสองข้างทางร่มรื่นไปด้วยร่มใบของต้นไม้ใหญ่ ขับไปเรื่อยๆยิ่งขึ้นที่สูงสัญญาณมือถือก็เริ่มขาดๆหายๆ แต่ GPS ยังคงนำทางได้อยู่ จนพาเรามาถึงที่หมาย ลงจากรถขนสัมภาระ เงยหน้ามาเห็นดอยหลวงเชียงดาว จากรูปในรีวิวที่ว่าสวยแล้วเจอของจริงนี่สวยยิ่งกว่าหลายเท่าเลยค่ะเราเลือกพัก “บ้านระเบียงดาวโฮมสเตย์” แบบไม่ลังเลหลังจากดูรีวิวมาหลายกระทู้ ตอนจองนี่โทร.ไปลุ้นไป เพราะโทร.ติดยากมาก แต่ไม่เกินความสามารถของเราค่ะ ค่าเข้าพักคนละ 500 บาทรวมอาหาร 2 มื้อคือเย็นและเช้า ทุกหลังเป็นบ้านไม้เรียบง่ายมีระเบียงไว้นั่งชมวิวดอยหลวงเชียงดาวจากหน้าบ้านพัก มีหลายหลังอยู่ติดๆกัน บ้านพักไม่เก็บเสียงนะคะ หลังที่อยู่ใกล้ๆกันคุยทีนี่ได้ยินถึงกันหมด มีดวงไฟให้แสงสว่าง ตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดใดทั้งสิ้นค่ะ ภายในห้องพักมีฟูกนอน หมอน มุ้ง พร้อมผ้าห่มผืนหนา ผ้าขนหนูนำมาเองนะคะ ทุกหลังมีห้องน้ำในตัวไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ขอบอกว่าน้ำเย็นมากกก ตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว...ลงบนฟูก นอนชมวิวผ่านประตูห้องพัก ดูไปยิ้มไปสบายใจสุดๆ ซักพักก็มีคนมาถามว่าจะทานข้าวที่หน้าห้องหรือมุมต้อนรับด้านบน เราเลือกทานที่ระเบียงหน้าห้องพักค่ะ ปูเสื่อรอเลยจ้าาา เสื่อผืนใหญ่มีเตรียมให้ทุกห้อง มาแล้วมื้อเย็นของเรากลิ่นหอมมาแต่ไกล ยกมาแบบขันโตกเลย เมนูเป็นกับข้าวธรรมดาค่ะแต่วิวดอยหลวงเชียงดาวตรงหน้ามันทำให้กับข้าวธรรมดาอร่อยขึ้นมากกก
อิ่มแล้วก็นั่งถ่ายรูปเก็บบรรยากาศและอ่านหนังสือที่เตรียมกันมา เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าแทบไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ (จขกท.ใช้ค่ายทรูค่ะ) ตัดขาดจากโซเชี่ยลชั่วคราว เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนจริงๆ
ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ลมโชยพัดมา อากาศเริ่มเย็น เข้าไปนอนเล่นในห้องดีกว่า เข้านอนแต่วันในรอบปีเลยค่ะ“มีหมอกมั๊ยๆ” ได้ยินแต่เสียงคนถามหาสายหมอก รีบลุกออกมา อากาศสดชื่นมาก แต่น่าเสียดายเช้านี้ไม่มีหมอกมาให้เราเห็นเลย ครู่หนึ่งมื้อเช้าก็ยกมาเสิร์ฟถึงหน้าห้องเหมือนเมื่อวานค่ะ ข้าวต้มหมูหนึ่งหม้อร้อนๆ กินไปชมวิวไปเติมไปคนละสองสามรอบ แปปเดียวเกลี้ยงหม้อ รับกาแฟหรือโอวัลตินดีคะ จิบกาแฟแลดอยหลวง ปล่อยเวลาเดินช้าๆ ฟินกว่านี้มีอีกมั๊ย ทำธุระส่วนตัวแล้วเก็บสัมภาระเตรียมตัวเดินทางต่อ ก่อนกลับมาชมจุดต้อนรับกันสักนิด เช็คอินตรงนี้นะคะ มุมรับแขกที่มีวิวสวยไว้คอยต้อนรับ มุมเอนหลังก็มีนะคะ “ตัวคอยใส่ไฟ” จุดรับฝากชาร์ตเพียงจุดเดียว ทุกห้องจะมีแค่ดวงไฟให้แสงสว่าง ไม่มีปลั๊กไฟให้เสียบนะคะ เราเอาปลั๊กพ่วงมาคนอื่นได้ใช้ด้วย
สงบ เรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ สุขใจที่ได้มาเยือน แล้วเราจะกลับมาพบกันใหม่นะ “บ้านระเบียงดาว” ขับผ่านร้าน “ดอยเมฆ” แวะเสพคาเฟอีนกันก่อนตะลอนต่อ สั่งคาราเมลมัคคีอาโต้เย็นแก้วใหญ่ชื่นใจ โซดามะนาวก็เปรี้ยวซ่าดีค่ะ แต่ถ่ายรูปไม่ทันหันไปอีกทีคุณพลขับดูดแปปเดียวจะหมดแก้วละ เปิดเมนูเห็นรูปอาหารดันหิวซะงั้น ข้าวต้มหมูที่บ้านระเบียงดาวไม่อยู่ท้องซะแล้ว เลยสั่งข้าวผัดกุ้ง กับกระเพราะไก่ไข่ดาว มาทานคนละจานเลย ค่าเสียหายมื้อนี้ 250 บาทค่ะ บรรยากาศร้านร่มรื่นดี จัดร้านหลายมุมให้เลือกนั่ง เครื่องดื่มดี อาหารอร่อย ใครผ่านมาทางนี้แนะนำเลยค่ะ ซื้อโปสการ์ดติดมือมาหนึ่งใบด้วย สถานีต่อไป "บ่อน้ำร้อนโป่งอาง" อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแดง เป็นบ่อน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินตามธรรมชาติ บ่อน้ำร้อนมี 2 บ่อ อุณหภูมิต่างกัน มีกลิ่นกำมะถันอ่อน ๆ ลองเอานิ้วจุ่มดูน้ำร้อนจริงค่ะ ปล.ห้ามเอาเท้าแช่นะคะ ทางอุทยานฯ ได้ปรับปรุงบริเวณลำธารให้เป็นบ่อแช่น้ำแร่แบบธรรมชาติ ให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลาย ท่ามกลางความร่มรื่นของเงาไม้ ตอนเราไปมีวัยรุ่นแช่น้ำอยู่ 2 คน เงียบเชียบเชียว ค่าธรรมเนียมสำหรับเข้าชมอุทยาน ครึ่งราคาสำหรับคนไทย ข้อดีของการเที่ยววันธรรมดาค่ะ ไปต่อกันที่ "น้ำตกศรีสังวาลย์" อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแดงเช่นกันค่ะ
เป็นน้ำตกหินปูนที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง สูงประมาณ 20 เมตร ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ
บรรยากาศบริเวณน้ำตกมีความร่มรื่นน่าพักผ่อน เดินเข้ามานี่รู้สึกสดชื่นเลยค่ะ มอสเขียวปกคลุมทั่วตัวแทนของความชุ่มชื้นรถสองแถวประจำทางสีเหลืองวิ่งระหว่างเชียงดาว-บ้านอรุโณทัย เราเลือกขึ้นดอยอ่างขางทางอรุโณทัย ทางขึ้นดอยไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เส้นทางค่อนข้างแคบแต่ไม่ลาดชัน แทบไม่มีรถสวนและขับตามเลย ถ้ามาหน้าท่องเที่ยวรถคงเยอะและคงต้องระวังเป็นพิเศษ ขับรถไปมีแต่วิวภูเขาและต้นไม้สองข้างทง มองไปทางไหนก็สดชื่น อากาศดี เลยปิดแอร์ลดกระจกให้ลมเย็นปะทะหน้า แทบจะหลับตานอน
ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ เราก็มาถึง “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” แล้วค่ะ ติดต่อเจ้าหน้าที่ตรงสโมสรเพื่อเช็คอิน รับกุญแจและบัตรผ่านเข้าออกสำหรับวางไว้หน้ารถ มีค่ามัดจำกุญแจ 500 บาทค่ะ บริเวณล็อบบี้มีเตาผิง และจุดร้องคาราโอเกะด้วยที่นี่เป็นสถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวงนะคะ สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้านผักไผ่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และได้เสด็จผ่านบริเวณดอยอ่างขาง ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าชาวเขาส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ทำการปลูกฝิ่นแต่ยังยากจน ทั้งยังทำลายทรัพยากรป่าไม้ต้นน้ำลำธารที่เป็นแหล่งสำคัญต่อระบบนิเวศน์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนอื่นของประเทศได้ จึงทรงมีพระราชดำริว่าพื้นที่นี้มีภูมิอากาศหนาวเย็น มีการปลูกฝิ่นมาก ไม่มีป่าไม้อยู่เลยและสภาพพื้นที่ไม่ลาดชันนัก ประกอบกับพระองค์ทรงทราบว่าชาวเขาได้เงินจากฝิ่นเท่ากับที่ได้จากการปลูกท้อพื้นเมือง และทรงทราบว่าที่สถานีทดลองไม้ผลเมืองหนาวของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ทดลองวิธีติดตา ต่อกิ่งกับท้อฝรั่ง จึงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1,500 บาท เพื่อซื้อที่ดินและไร่จากชาวเขาในบริเวณดอยอ่างขางส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยทรงแต่งตั้งให้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งประธานมูลนิธิโครงการหลวง ใช้เป็นสถานีวิจัยและทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล ผัก ไม้ดอก เมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขาในการนำพืชเหล่านี้มาเพาะปลูกเป็นอาชีพ ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานนามว่า “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” ค่ะ อ้างอิงข้อมูลจากเว็บของสถานีเกษตร http://www.angkhangstation.com/ ข้อมูลเพิ่มเติมรวมถึงราคาห้องพักเข้าไปดูได้ที่นี่เลย มุมถ่ายรูปที่ใครๆก็มาโพสท่ากัน ร้านขายของที่ระลึก เราชอบซื้อแม่เหล็กกลับมาติดตู้เย็นที่ห้องและก็โปสการ์ดสวยๆกลับมาจะได้รู้ว่าไปไหนมาบ้าง รับนมสดถั่วแดงปั่นรสกลมกล่อมดับกระหายซักแก้วมั๊ยคะ
มาดูโซนบ้านพักกันค่ะ มีให้เลือกพักหลายแบบ ถ่ายมาแค่บางส่วนนะคะ
บ้านซากุระ บ้าน AK 1-20 บ้านริมดอย นามบัตรเบอร์โทร.ติดต่อพร้อมราคาบ้านพักค่ะ เผื่อมีใครสนใจอยากไปพักผ่อนที่นี่บ้าง มาดูบ้านพักของเราดีกว่า “ซากุระ 3” ราคาคืนละ 900 บาทไม่รวมอาหารเช้าค่ะห้องพักซากุระเป็นบ้านแฝด ขนาดห้องกว้าง โล่งสบาย ไม่มีแอร์นะคะ ห้องน้ำแยกส่วนเปียกและแห้ง มีเครื่องทำน้ำอุ่น ไดร์เป่าผมให้ด้วย หลังห้องมีระเบียงให้นั่งเล่นสองมุมด้วย เลือกห้องนี้เพราะมีระเบียงนี่แหละ อากาศกำลังสบาย นั่งพักจิบน้ำกินขนมรับลมสักครู่ เค้กช็อคโกแลตนุ่มอร่อยมากค่ะ ชิ้นละ 20 บาทเอง ออกไปชมวิวที่ "จุดชมวิวชายแดนไทย-พม่า ฐานปฏิบัติการบ้านนอแล" กันต่อ ฝั่งเขาเบื้องหน้าลูกถัดไปก็เป็นฐานที่ตั้งของทหารพม่า มองออกไปจะเห็นวิวทิวเขาน้อยใหญ่ไกลสุดสายตาเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ไม่ควรพลาดค่ะ
กลับมาสถานีเกษตร ชมดอกไม้ใน “สวน๘๐” ฝั่งตรงข้ามสโมสรก่อนทานมื้อเย็นกันสักหน่อย ถึงจะไม่ใช่หน้าหนาวแต่ก็มีดอกไม้งามๆหลายชนิดรอให้ชมนะคะตะลอนมาทั้งวัน เติมพลังกันหน่อย เมนูน่าทานทั้งนั้น อีกหนึ่งข้อดีของการเที่ยวหน้าโลว์ซีซั่นคือเลือกสั่งอาหารได้ตามใจชอบ เพราะถ้าเป็นหน้าท่องเที่ยวทางสโมสรจะบริการเป็นไลน์บุฟเฟต์ทั้งช่วงเช้าและเย็นค่ะ
ปลาสเตอเจียนทอดกระเทียม ไก่อุ๊บ ยอดชาโยเต้ผัดน้ำมันหอย ถั่วแดงกรอบยูนนาน ตบท้ายด้วยของหวาน พีชลอยแก้วอาหารอร่อยสมคำร่ำลือค่ะ มื้อนี้จ่ายไป 550 อิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาหย่อนกลับไปนอนออมแรงไว้เที่ยววันถัดไปดีกว่า แปปเดียวหมดไปอีกหนึ่งวัน
เมื่อคืนอากาศเย็นหลับสบายมากไม่อยากตื่นเลย แต่ก็ต้องลากร่างออกจากเตียง เพราะอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ “จุดชมวิวขอบด้ง” จุดชมวิวนี้ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางที่จะไปหมู่บ้านขอบด้งและหมู่บ้านนอแลค่ะ เดินลัดเลาะไปจนถึงริมผา มองไปจะเห็นวิวเขาโอบล้อมเรียงราย เมฆหนาฟ้าครึ้มหรือเรามาช้าไปไม่เห็นพระอาทิตย์เลย หมอกก็ไม่มีตามระเบียบ
เที่ยวรอบนี้สงสัยลืมพวกดวงมาด้วยนะเรา สูดอากาศสดชื่นให้เต็มปอด แล้วกลับสโมสรทานมื้อเช้ากันดีกว่า
ข้าวต้มเห็ดหอมร้อนๆคลายหนาว ขาหมูหมั่นโถวหนึ่งชุด ข้าวไข่ดาวอีกหนึ่งจาน หมั่นโถวแบบทอดที่นี่อร่อยมาก มื้อเช้านี้จ่ายไป 175 บาทค่ะ อิ่มแล้วขับรถวนไปเดินย่อยในสวนบอนไซกันหน่อย ที่นี่ขึ้นชื่อว่ามีบอนไซสวยงามอยู่มาก ต้นไม้ต้นน้อยจัดวางในกระถางวางเรียงราย อีกด้านเป็นโรงเรือนจัดแแสดงพืชทนแล้ง มีกระบองเพชรหลายสายพันธุ์เลยค่ะ ชมกันเพลินเดินผ่านมาสะดุดตามุมถ่ายรูปนี้ I ❤ Uกลับห้องพัก เผลอหลับกันไปตอนไหนไม่รู้ตื่นมาดูนาฬิกา 10.30 กะจะงีบแค่แปปเดียวปาไปชั่วโมงกว่า รีบเก็บของแล้วออกไปชมสถานีเกษตรกันอีกนิดยังไม่ทั่วเลยยย
อีกหนึ่งไฮไลท์ของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ใครใครก็มาถ่ายรูปกัน เรามาหน้าฝนก็จะได้เห็น “สวนบ๊วย” ผลิใบเขียวขจีแบบนี้ มองแล้วสวยสดชื่นสบายตาไปอีกแบบ ปกติดอกบ๊วยจะบานสะพรั่งในเดือนพฤศจิกายน และออกผลเดือนมกราคมค่ะ มาช่วงนี้เจอลูกพลับขายเต็มเลยค่ะ พลับเป็นไม้ผลเขตกึ่งร้อนที่มีการผลัดใบ ในทางพืชสวนแล้วได้มีการแบ่งพลับออกได้เป็น 2 พวกใหญ่ ๆ คือพลับฝาด ( Astringent ) จะแปรรูปเป็นพลับแห้งก่อนรับประทาน และพลับหวาน (Non-astringent) จำหน่ายผลสด ผลผลิตจะเก็บเกี่ยวตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงกันยายน สวนไม้ดอกจะอยู่ทางซ้ายมือ จากทางเข้าด้านหน้าของสถานีเกษตร ดอกไม้สีสันสดใสชูดอกแข่งกันบานรับแดด รอแขกผู้มาเยือนแวะมาเซลฟี่ด้วย มีผึ้งบินตอมดอกไม้เต็มเลย พยายามทำตัวกลมกลืนกับดอกไม้ ร้านกาแฟและจำหน่ายของที่ระลึกแต่ร้านใหญ่กว่าตรงบริเวณสโมสร เที่ยงแล้วทานข้าวกัน อีกมื้อที่สโมสรของสถานีเกษตร แหนมซี่โครงทอด อร่อยกลมกล่อม ยำผักกรอบอ่างขาง เมนูแนะนำเลยค่ะ ปอเปี๊ยะอ่างขาง แป้งกรอบไส้แน่นเต็มคำ กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา หน้าตาธรรมดาแต่ผักหวานกรอบฉ่ำน้ำปลามาก
ยังยืนยันความอร่อยทุกจานและทุกมื้อค่ะ ติดใจหมั่นโถวทอดสั่งใส่กล่องกลับบ้านอีก 1 ชุด ทั้งหมดนี้ 420 บาทค่ะ
ลาเต้เย็นหอมมาก พีชปั่นเปรี้ยวๆหวานๆ ยังไม่อยากกลับเลย สัญญาจะหาโอกาสกลับมาชมดอกนางพญาเสือโคร่งและสัมผัสอากาศหนาวที่นี่ให้ได้ แวะชม “ไร่ชา 2000” จุดเพาะปลูกชาคุณภาพของเชียงใหม่ สร้างเป็นแปลงปลูกลดหลั่นกันไปตามไหล่เขา โอบล้อมไปด้วยภูเขา มองทางไหนก็มีแต่สีเขียว ถ้ามาตอนเช้าคงจะสดชื่นกว่านี้ แวะสักการะ " พระธาตุดอยอ่างขาง " เพื่อสิริมงคลก่อนลงจากดอยอ่างขาง องค์พระธาตุดอยอ่างขางอยู่ห่างจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ประมาณ 3 กิโลเม